ปฏิบัติการตบสั่งสอน และธุรกิจที่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่า GU ก็เป็นเจ้าของ

เมื่อเสี่ยกลางสั่ง คุณจงหัน (ซ้าย / ขวา) ถ้าไม่หัน คุณจะโดนคดี และไม่ใช่แค่คดีความ แต่ยังโดนเรียกค่าเสียหายข่มขู่เพื่อปิดปาก หรือในภาษาอังกฤษที่เราเรียกกันว่า "SLAPP Law" ฟ้องปิดปาก ซึ่งมาจากนักทฤษฎีกฎหมายชาวอเมริกัน ชื่อ Canan และ Pring คิดคำนี้ขึ้นมาจาก Strategic Lawsuit Against Public Participation ขึ้นมาจนนำมาสู่การที่พรรคก้าวไกลเสนอแก้วิ.แพ่ง+วิ.อาญา หวังหยุดคดี SLAPP "ปิดปากการมีส่วนร่วม"
ปัญหาของคดี SLAPP ที่สำคัญที่สุด คือ ทำให้ประชาชนไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะ และประเด็นที่เป็นผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับตัวเอง เนื่องจาก "กลัวถูกฟ้อง" ทำให้ไม่มีโอกาสเข้าร่วมการตัดสินใจในประเด็นที่จะกระทบกับชีวิตของตัวเองได้ และปัญหาที่ตามมา คือ กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งกลไกตำรวจ อัยการ ศาล กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้กลั่นแกล้งกัน ทำให้ "คดีรกโรงรกศาล" เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีภาระงานเยอะเกินไปกับเรื่องที่ไม่ควรเป็นเรื่องขึ้นมาตั้งแต่ต้น

ก่อนที่เรื่องของพรรคก้าวไกลที่พยายามผลักดันชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชนจำนวนห้าฉบับเข้าสู่สภา สมาชิกของพรรคก็ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายไปแล้ว 

จะเห็นได้ว่า "ปฏิบัติการตบปากด้วยกฎหมาย" เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ หรือเรียกร้องความเป็นธรรมนั้น มีราคาที่ต้องจ่าย มักมีหลายคนบอกว่า "ก็ดีเรื่องถึงมือศาลแล้วจะได้เปิดข้อมูลออกมาถกกันเลย"

แต่การขึ้นโรงขึ้นศาลนั้น มีราคาที่ต้องจ่าย และกว่าจะได้ความยุติธรรมมาไม่ใช่ราคาถูกๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าเอกสาร ค่าประกันตัว เรียกได้ว่ามีค่าใช้จ่ายเบี้ยบ้ายรายทางเต็มไปหมด และในค่าใชจ่ายเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่แสนสำคัญก็คือ "ค่าทนายความ" โดยเฉพาะถ้าผู้ที่ถูกฟ้องต้องการความมั่นใจว่า จะมีทนายความที่เปี่ยมด้วยความสามารถและทำงานอย่างเต็มที่ ราคาที่ต้องจ่ายก็อาจจะเพิ่มขึ้นไปอีก ยังไม่รวมถึงค่าเสียเวลา บางครั้งไปศาลแล้ว คู่กรณีไม่มา เอกสารไม่ครบ สำนวนไม่พร้อม ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เรียกได้ว่า บางครั้งแค่ศาลชั้นต้นยังใช้เวลาเป็นปีๆ ยังไม่นับรวมการยื่นอุทธรณ์ต่อศาล และกว่าจะถึงศาลฎีกาเรียกได้ว่า หืดจับ 

อย่างที่พวกเรารู้กันว่ากฎหมายถูกเขียนไว้อย่างคลุมเครือจนสามารถตีความได้กว้าง และหลายครั้งกฎหมายเองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือตีความเข้าข้างเอกชนจนเป็นการปิดปากประชาชนในที่สุดเช่นกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยในตอนนี้ กฎหมายหรือกลไกเพื่อป้องกันการฟ้องร้องปิดปากหรือสแลปยังไม่มี จึงได้แต่หวังว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยที่ชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเข้ามาผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าไปให้สุดซอยเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนต้องมาตกเป็นเหยื่อของผู้มีอำนาจที่มักอ้างว่า ใช้กระบวนการยุติธรรมตรวจสอบ 

แต่แท้จริงแล้ว ..... ผลกระทบของการฟ้องปิดปากนั้น ไม่ได้อยู่ที่ผลของการดำเนินคดี แต่อยู่ที่การสั่งให้ปิดกั้นการนำเสนอข้อมูลที่ผู้มีอำนาจไม่อยากให้ใครนำเสนอ เมื่อไม่มีใครกล้าเอ่ย ประชาชนก็จะไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น เมื่อไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้น ผลกระทบที่เกิดในกลุ่มคนเล็กๆ ก็เลยคิดไปกันเองว่าเกิดแค่ในกลุ่มผู้เสียหาย  แท้ที่จริง ก็มีกลุ่มผู้เสียหายกลุ่มเล็กๆ อีกมากมาย แต่ไม่กล้าออกมาพูดสู่สาธารณะเท่านั้นเอง

ในขณะที่ธุรกิจของเสี่ยกลาง - สารัชถ์ รัตนาวะดี -  เจ้าของทุนพลังงานสำคัญของประเทศ กับการผูกขาด มีอำนาจเหนือตลาดในหลายอุตสาหกรรม 

เรียกได้ว่า เห็นพี่เงียบๆ แต่พี่ก็ฟาดเรียบนะคร้าบบบบบ ...

นอกจากเป็นเจ้าของธุรกิจพลังงานที่สำคัญที่สุดของประเทศ ยังรวมไปถึง ธุรกิจสื่อสาร (AIS) ธุรกิจดาวเทียม(ไทยคม) ธุรกิจท่าเรือ (ในนามธุรกิจร่วมทุน บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC) เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 ร่วมกับ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) ถือหุ้น 30%) และอีกมากมายหลายๆ ธุรกิจ เรียกได้ว่ามีแทบจะทุกอุตสาหกรรม 

ยังไม่นับรวมการได้เป็น "เศรษฐีหุ้นไทย" อันดับหนึ่งติดต่อกัน 4 ปีซ้อน ระหว่างปี 2562-2565   โดยในปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าความมั่งคั่งของเสี่ยกลางพุ่งทะลุเพดานไปถึง 218,981.58 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนแรกที่มีความมั่งคั่งในระดับเกิน 2 แสนล้านบาท ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศที่ประกอบอาชีพหาเช้า-กินค่ำ ต้องนำเงินเดือนส่วนใหญ่มาจ่ายเป็นค่าไฟฟ้าที่แพงสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน

เลยไม่รู้ว่า การที่เสี่ยกลางรวยขึ้น ๆ นั้น มาจากการที่คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพง ที่สูงขึ้น ๆ ด้วยหรือไม่ ???

"ใน 10 ปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรามีการสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น นโยบายที่เอื้อกลุ่มทุนพลังงาน ทำให้มีกำลังไฟฟ้าเกินความจำเป็นถึง 60% นำมาสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นของค่าไฟ ต้องมีค่าพร้อมจ่ายให้กับบริษัทเอกชน คือค่าเสื่อมเครื่องจักร ค่าบำรุงรักษา ค่าดอกเบี้ย แม้แต่โรงไฟฟ้าไม่เดินเครื่องสักวันเดียว แต่รัฐต้องจ่ายเรื่องพวกนี้

พรรคก้าวไกลกล้าและพร้อมชนกลุ่มทุนผูกขาด สิ่งที่เราจะทำทันที จัดสรรก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเสียใหม่ จัดสรรให้เป็นธรรมระหว่างอุตสาหกรรมและประชาชน ยกเลิกนโยบายที่เอื้อนายทุนพลังงานทันที เพราะคือระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม ที่ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนห่างขึ้นทุกที ปล่อยให้นโยบายแบบนี้ทำให้กลุ่มทุน 3-4 กลุ่ม รวยเป็นแสนล้าน จากการขายไฟให้กับรัฐโดยไม่ต้องมีนวัตกรรมอะไรเลย เราจะทำระบบ net metering เพื่อให้ประชาชนติดโซลาร์เซลล์ ขายกลับไปที่กริดได้เหมือนที่ทุนใหญ่ทำได้"

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตัวแทนพรรคก้าวไกล

ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อแดดดี้พิธาเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้วจะจัดการทลายทุนผูกขาด ที่มีอำนาจเหนือตลาดกุมอุตสาหกรรมพลังงานไว้ในมือ และอีกหลายธุรกิจที่เป็นเจ้าใหญ่รายเดียว เรียกได้ว่า มีอำนาจเหนือตลาดชัดเจน จนทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพง  

แถมถ้าใครพูดมาก ก็ถูกฟ้องปิดปากไปสิคร้าบบบบบ


ก็แค่สงสัยนะ เพราะว่า

"ในเชิงทางการเมือง ไม่มีคำว่าบังเอิญ"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่