ต่อจากกระทู้ที่แล้ว สุดท้ายก็มาถึงตอนจบ
การต่อสู้ที่แม้จะไม่ยาวนาน แต่ก็ถือว่าเสียพลังงานชีวิตและสุขภาพจิตมากมายเลยทีเดียว
เมื่อแจ้งออกจากงานแล้ว นายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง โดยให้เหตุผลว่างานไม่เสร็จ ไม่เรียบร้อย ซึ่งการออกกกระทันหัน เข้าใจว่างานไม่มีทางเรียบร้อย การส่งงานก็ไม่มีทางสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ได้ส่งมอบงานไปบางส่วนแล้ว ตอนแจ้งรายละเอียดเงินเดือน ก็ส่งงานที่เหลือให้แกทั้งหมด ว่าเอกสารอยู่ที่ไหน
ซึ่งตอนที่นายจ้างอนุมัติ แกไม่ได้มีปัญหา แกยอมให้ออกแต่โดยดี เพราะเราก็แจ้งเหตุผลอย่างชัดเจนในการออก โดยคิดเงินเดือนตามวันทำงานจริงๆ
แต่ทีนี้ แกที่ตกลงจะจ่ายเงินวันถัดไปหลังจากที่แจ้งออกกลับไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้าง จนยืดเยื้อมาถึงปีใหม่ จขกท ก็คิดว่าคงไม่เอาเรื่องแล้ว ไม่อยากปวดหัวหรือเสียเวลากับนายจ้างแบบนี้ ก็เลยคิดว่าช่างเถอะ ไม่เอาแล้ว และแทนที่นายจ้างจะไม่จ่ายก็ควรปล่อยเงียบไปเลย กลับตามมาจิกด่า ข่มขู่ไม่เลิก จะฟ้องนั่นฟ้องนี่ จนทนไม่ไหว ไม่พูดอะไร ไม่ตอบโต้อะไร วันต่อมา รีบไปกรมสวัสดการแรงงานประจำจังหวัดทันที
พอเล่าเรื่องให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่ก็โทรไปถามนายจ้างว่าจะจ่ายเงินไหม นายจ้างก็บอก...ไม่จ่าย แล้วก็ส่งอิโมจิมาเยาะเย้ยทางไลน์อีก (คงจะเยาะเย้ยว่าคิดว่าแน่มากใช่ไหม แต่ยังไงก็ไม่จ่าย) ซึ่งในกรณีของเจ้าของกระทู้ กรมสวัสดิการก็แจ้งมาว่าอยู่ในเกณฑ์การจ้างการแบบฟรีแลนซ์ต้องไปแจ้งที่ศาลแรงงานโดยตรง ก็เดินเรื่องต่อเลย แต่ที่ศาลแค่ไปเล่าเรื่องให้ฟัง นิติกรยังไม่ได้ยืนฟ้อง นัดเซ็นคำร้องอีกทีวันถัดไป
แต่ด้วย จขกท มีปัญหาสุขภาพ และต้องมีนัดหมอในอีกไม่กี่อาทิตย์ ซึ่งจากสถานการณ์แล้วนายจ้างแบบนี้คงเล่นตัว ยืดเยื้อไม่ยอมจ่ายแน่ อีกทั้งสุขภาพเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าไม่ไหวจากความเครียดที่สะสม ก็เลยแจ้งนิติกรว่าไม่เอาเรื่องแล้ว คิดว่าจะจบกันไปเลย ไม่จ่ายก็ไม่เอา แต่ก็ทำส่วนที่ต้องปกป้องตัวเองไว้ด้วยคือเข้าบันทึกประจำวันกับตำรวจ ว่าถูกนายจ้างตามรังควาน ข่มขู่ แถมยังเอาเรื่องหนังสือรับรองซึ่งไม่มีลายเซ็นหรือตราประทับบริษัทมาข่มขู่ ตำรวจก็บอกว่า เขาฟ้องได้แต่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์จริงว่า จขกท ทำผิดจริง ซึ่ง จขกท ได้เอาใบรับรองแผ่นนั้นไปให้ตำรวจดูเองเลย ตำรวจก็บอกว่าถ้าเขาจะฟ้องก็แค่มายืนยันความบริสุทธิ์เท่านั้น
สุดท้าย วันต่อมาหลังจากที่ไม่คิดเอาเรื่องอะไรนายจ้าง เขาก็ยอมโอนเงินค่าจ้างในที่สุด (ไม่รู้ไปคุยอะไรกับใครยังไงมา) แต่ด้วยนายจ้างโอนเยอดเงินเกินจากยอดที่แจ้งไป ก็เลยโอนยอดเงินที่เกินมาคืนให้นายจ้าง ส่งหลักฐานการโอนทุกอย่างไปให้ (ตรงนี้ มีคำถามหนึ่งว่า หากนายจ้างโอนยอดมาเกินจากจำนวนเงินที่แจ้งไป เขาสามารถเอาเรื่องเราที่หลังได้ไหม แล้วที่ จขกท โอนยอดคืน ถือว่าทำถูกต้องไหม)
สรุป นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างในที่สุด และคิดว่าเหตุผลหลักๆที่เขายอมจ่ายคือ
1. ตอนแรกเขามั่นใจมากว่า การจ้างงานโดยไม่มีสัญญาจ้าง เขาสามารถไม่จ่ายเงินลูกจ้างก็ได้ และ จขกท ก็ไม่สามารถไปเรียกร้องหรือฟ้องศาลแรงงานได้
2. เขาคิดว่าเขาเป็นนายจ้าง เขาสามารถกดเรายังไงก็ได้ แค่ขู่เราหน่อยก็คงกลัวแล้ว
3. เขามั่นใจมากว่า เอกสารหนังสือรับรองการทำงานแผ่นนั้นที่ไม่มีตราประทับหรือลายเซ็นของนายจ้าง เขาสามารถนำไปฟ้องได้จริง
4. เขามั่นใจว่า วิธีนี้เขาจะชนะ เพราะเขาทำกับหลายคนมาแล้ว (แต่พนักงานที่โดนก่อนหน้านี้ ไม่มีใครกล้าฟ้องสักคน)
สุดท้ายความมั่นใจที่เขาคิดว่ายังไงเขาจะชนะ กลายเป็น ตัวเขาเองได้เรียนรู้ว่า ค่าจ้าง ยังไงก็ต้องจ่าย กฏหมายของบริษัทหรือกฏหมายที่ตัวเองสร้างขึ้นหากขัดต่อกฏหมายคุ้มครองแรงงาน ยังไงเขาก็เป็นฝ่ายผิด
ดังนั้น ขอมาเป็นกำลังใจให้ลูกจ้างทุกคนนะคะ นายจ้างไม่ได้ถูกเสมอไป เราเองก็ไม่ได้ถูกเสมอไป แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ผิดสัญญาข้อไหน เราทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยังไงเราก็ต้องได้เงินคืนค่ะ
แต่ที่สำคัญ สุขภาพกาย สุขภาพใจสำคัญที่สุดนะคะ นายจ้างไหนที่เป็นพิษใส่เรา ถอยห่างออกมาเถอะค่ะ อย่าเสียเวลากับพวกเขานาน ไม่งั้น เขาจะคิดว่าเขามีอำนาจเหนือเรา สามารถทำอะไรกับเราก็ได้
ทุกอย่างจบลงด้วยการได้เงินคืน แต่หวังว่าชาตินี้ไม่ต้องพบเจอกันอีกนะคะ ไม่เอาแล้วนายจ้างแบบนี้ เข็ด...
สุดท้ายนายจ้างก็ยอมจ่ายค่าจ้าง
การต่อสู้ที่แม้จะไม่ยาวนาน แต่ก็ถือว่าเสียพลังงานชีวิตและสุขภาพจิตมากมายเลยทีเดียว
เมื่อแจ้งออกจากงานแล้ว นายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง โดยให้เหตุผลว่างานไม่เสร็จ ไม่เรียบร้อย ซึ่งการออกกกระทันหัน เข้าใจว่างานไม่มีทางเรียบร้อย การส่งงานก็ไม่มีทางสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่ได้ส่งมอบงานไปบางส่วนแล้ว ตอนแจ้งรายละเอียดเงินเดือน ก็ส่งงานที่เหลือให้แกทั้งหมด ว่าเอกสารอยู่ที่ไหน
ซึ่งตอนที่นายจ้างอนุมัติ แกไม่ได้มีปัญหา แกยอมให้ออกแต่โดยดี เพราะเราก็แจ้งเหตุผลอย่างชัดเจนในการออก โดยคิดเงินเดือนตามวันทำงานจริงๆ
แต่ทีนี้ แกที่ตกลงจะจ่ายเงินวันถัดไปหลังจากที่แจ้งออกกลับไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้าง จนยืดเยื้อมาถึงปีใหม่ จขกท ก็คิดว่าคงไม่เอาเรื่องแล้ว ไม่อยากปวดหัวหรือเสียเวลากับนายจ้างแบบนี้ ก็เลยคิดว่าช่างเถอะ ไม่เอาแล้ว และแทนที่นายจ้างจะไม่จ่ายก็ควรปล่อยเงียบไปเลย กลับตามมาจิกด่า ข่มขู่ไม่เลิก จะฟ้องนั่นฟ้องนี่ จนทนไม่ไหว ไม่พูดอะไร ไม่ตอบโต้อะไร วันต่อมา รีบไปกรมสวัสดการแรงงานประจำจังหวัดทันที
พอเล่าเรื่องให้เจ้าหน้าที่ฟัง เจ้าหน้าที่ก็โทรไปถามนายจ้างว่าจะจ่ายเงินไหม นายจ้างก็บอก...ไม่จ่าย แล้วก็ส่งอิโมจิมาเยาะเย้ยทางไลน์อีก (คงจะเยาะเย้ยว่าคิดว่าแน่มากใช่ไหม แต่ยังไงก็ไม่จ่าย) ซึ่งในกรณีของเจ้าของกระทู้ กรมสวัสดิการก็แจ้งมาว่าอยู่ในเกณฑ์การจ้างการแบบฟรีแลนซ์ต้องไปแจ้งที่ศาลแรงงานโดยตรง ก็เดินเรื่องต่อเลย แต่ที่ศาลแค่ไปเล่าเรื่องให้ฟัง นิติกรยังไม่ได้ยืนฟ้อง นัดเซ็นคำร้องอีกทีวันถัดไป
แต่ด้วย จขกท มีปัญหาสุขภาพ และต้องมีนัดหมอในอีกไม่กี่อาทิตย์ ซึ่งจากสถานการณ์แล้วนายจ้างแบบนี้คงเล่นตัว ยืดเยื้อไม่ยอมจ่ายแน่ อีกทั้งสุขภาพเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าไม่ไหวจากความเครียดที่สะสม ก็เลยแจ้งนิติกรว่าไม่เอาเรื่องแล้ว คิดว่าจะจบกันไปเลย ไม่จ่ายก็ไม่เอา แต่ก็ทำส่วนที่ต้องปกป้องตัวเองไว้ด้วยคือเข้าบันทึกประจำวันกับตำรวจ ว่าถูกนายจ้างตามรังควาน ข่มขู่ แถมยังเอาเรื่องหนังสือรับรองซึ่งไม่มีลายเซ็นหรือตราประทับบริษัทมาข่มขู่ ตำรวจก็บอกว่า เขาฟ้องได้แต่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์จริงว่า จขกท ทำผิดจริง ซึ่ง จขกท ได้เอาใบรับรองแผ่นนั้นไปให้ตำรวจดูเองเลย ตำรวจก็บอกว่าถ้าเขาจะฟ้องก็แค่มายืนยันความบริสุทธิ์เท่านั้น
สุดท้าย วันต่อมาหลังจากที่ไม่คิดเอาเรื่องอะไรนายจ้าง เขาก็ยอมโอนเงินค่าจ้างในที่สุด (ไม่รู้ไปคุยอะไรกับใครยังไงมา) แต่ด้วยนายจ้างโอนเยอดเงินเกินจากยอดที่แจ้งไป ก็เลยโอนยอดเงินที่เกินมาคืนให้นายจ้าง ส่งหลักฐานการโอนทุกอย่างไปให้ (ตรงนี้ มีคำถามหนึ่งว่า หากนายจ้างโอนยอดมาเกินจากจำนวนเงินที่แจ้งไป เขาสามารถเอาเรื่องเราที่หลังได้ไหม แล้วที่ จขกท โอนยอดคืน ถือว่าทำถูกต้องไหม)
สรุป นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างในที่สุด และคิดว่าเหตุผลหลักๆที่เขายอมจ่ายคือ
1. ตอนแรกเขามั่นใจมากว่า การจ้างงานโดยไม่มีสัญญาจ้าง เขาสามารถไม่จ่ายเงินลูกจ้างก็ได้ และ จขกท ก็ไม่สามารถไปเรียกร้องหรือฟ้องศาลแรงงานได้
2. เขาคิดว่าเขาเป็นนายจ้าง เขาสามารถกดเรายังไงก็ได้ แค่ขู่เราหน่อยก็คงกลัวแล้ว
3. เขามั่นใจมากว่า เอกสารหนังสือรับรองการทำงานแผ่นนั้นที่ไม่มีตราประทับหรือลายเซ็นของนายจ้าง เขาสามารถนำไปฟ้องได้จริง
4. เขามั่นใจว่า วิธีนี้เขาจะชนะ เพราะเขาทำกับหลายคนมาแล้ว (แต่พนักงานที่โดนก่อนหน้านี้ ไม่มีใครกล้าฟ้องสักคน)
สุดท้ายความมั่นใจที่เขาคิดว่ายังไงเขาจะชนะ กลายเป็น ตัวเขาเองได้เรียนรู้ว่า ค่าจ้าง ยังไงก็ต้องจ่าย กฏหมายของบริษัทหรือกฏหมายที่ตัวเองสร้างขึ้นหากขัดต่อกฏหมายคุ้มครองแรงงาน ยังไงเขาก็เป็นฝ่ายผิด
ดังนั้น ขอมาเป็นกำลังใจให้ลูกจ้างทุกคนนะคะ นายจ้างไม่ได้ถูกเสมอไป เราเองก็ไม่ได้ถูกเสมอไป แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเราไม่ได้ผิดสัญญาข้อไหน เราทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยังไงเราก็ต้องได้เงินคืนค่ะ
แต่ที่สำคัญ สุขภาพกาย สุขภาพใจสำคัญที่สุดนะคะ นายจ้างไหนที่เป็นพิษใส่เรา ถอยห่างออกมาเถอะค่ะ อย่าเสียเวลากับพวกเขานาน ไม่งั้น เขาจะคิดว่าเขามีอำนาจเหนือเรา สามารถทำอะไรกับเราก็ได้
ทุกอย่างจบลงด้วยการได้เงินคืน แต่หวังว่าชาตินี้ไม่ต้องพบเจอกันอีกนะคะ ไม่เอาแล้วนายจ้างแบบนี้ เข็ด...