ชลน่าน เผย ประธานสภา ใครก็ได้ที่เป็นความเห็นร่วมกันของ ‘ก.ก.-เพื่อไทย’ เมิน ‘ส.ว.’ โพสต์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4005258
‘ชลน่าน’ เมิน ‘สมชาย’ ระบุ ‘ชวน’ คือต้นแบบประมุขนิติบัญญัติ ชี้ เป็นแค่ความเห็น ส.ว.คนหนึ่ง ย้ำ พูดคุยต้องจบก่อนเลือกเก้าอี้ประธานสภา
เมื่อเวลา 17.25 น. วันที่ 30 พฤษภาคม ที่พรรคประชาชาติ (ปช.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. โพสต์รูปภาพนายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภา ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมระบุข้อความว่า “ท่านประธานที่เคารพ ต้นแบบประธานรัฐสภาที่ดี ประมุข 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย เลือกให้ดีหาใช่แค่ใครก็เป็นได้ งานการเมืองอย่าทำเล่นเด็กขายของ” ว่า เป็นความเห็นของส.ว.ท่านหนึ่งตนขอไม่มีความเห็น ซึ่งวันนี้คณะเจรจาได้ข้อสรุปที่ดีมาก คือ การเจรจาตำแหน่งประธานสภา ต้องไม่เป็นอุปสรรคในการจัดตั้ง เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด
ฉะนั้น การพูดถึงตำแหน่งประธานสภา เราต้องตัดว่าเป็นโควต้าของพรรคใดออกไป เราต้องจับมือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด จะเป็นใครก็ได้ที่เป็นความเห็นร่วมกันของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรค พท. สำคัญที่สุดคือตำแหน่งประธานสภา ต้องสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่า พรรค พท.ได้มีการวางตัวใครไว้แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ยังไม่มี เพียงแต่เสนอในหลักการ ส่วนตัวบุคคลนั้นยังไม่มีการพูดถึงและเป็นเรื่องภายใน ซึ่งในมุมที่เราพูดคุยกันนั้นต้องเหมาะสมและสามารถคุยกันได้สำหรับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรค พท. หรือพรรค ก.ก.เท่านั้น
ถามต่อว่า ความชัดเจนเรื่องประธานสภา จะทันกรอบการประชุมเพื่อเลือกประธานสภาหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า “ต้องทันครับ” ช้าที่สุดคือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรอง ส.ส. ทั้งนี้ จะไม่ถึงนาทีสุดท้าย เราจะพูดคุยกันไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ อะไรที่สามารถเป็นความเห็นร่วมกันได้เราจะมาแถลงให้กับประชาชนทราบ
โรม ลากไส้ระบบส่วย ต้นตออยู่ที่ตั๋ว-ซื้อขายตำแหน่ง ‘รัฐบาลพิธา’ พร้อมปราบให้สิ้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4004313
โรม ลากไส้ระบบส่วย ต้นตออยู่ที่ตั๋ว-ซื้อขายตำแหน่ง ‘รัฐบาลพิธา’ พร้อมปราบให้สิ้น ได้เวลา ขรก.-ปชช.ได้ดิบได้ดีไปด้วย
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นาย
รังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวขยายความจาก นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เปิดประเด็น ส่วยทางหลวง หรือ ส่วยอีซี่พาส หรือ ส่วยสติ๊กเกอร์ ที่รถบรรทุกจำนวนหนึ่งติดไว้เพื่อให้ผ่านด่านตรวจต่างๆ ได้ ซึ่งนาย
รังสิมันต์โฟกัสถึงรากฐานปัญหา นั่นคือการมีอยู่ของระบบเส้นสาย ระบบตั๋ว และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในหมู่ข้าราชการ
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า รากฐานของ “
สติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวง” คือระบบตั๋วในวงราชการที่รัฐบาล “
พิธา” จะจัดการให้ได้
จากกรณีที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล คุณ
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้เปิดประเด็นเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์พิสดารที่มีคนกลุ่มหนึ่งคอยขายให้กับรถบรรทุกขนส่งต่างๆ แลกเปลี่ยนกับการให้ผ่านด่านทางหลวงได้โดยไม่ต้องชั่งน้ำหนักว่าบรรทุกเกินหรือไม่ หรือตรวจว่าขนของผิดกฎหมายมาหรือไม่
พูดง่ายๆ ตรงๆ นี่คืออีกรูปแบบหนึ่งของการ เก็บส่วย เป็นอีกหนึ่งธุรกิจสีเทาที่คนในวงการขนส่งรู้กันว่ามีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ในขณะที่คนขายสติ๊กเกอร์เหล่านี้กอบโกย ประเทศกลับต้องเสียรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางตามกฎเกณฑ์ที่ควรได้รับอาจถึงหลักหมื่นล้านบาท ถนนที่รับน้ำหนักเกินต้องชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็วจนอาจต้องเป็นภาระต่อภาษีประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก
หรือมากไปกว่านั้นคือบรรดาสิ่งไม่พึงประสงค์ที่อาจเล็ดรอดการตรวจสอบและกระจัดกระจายไปสร้างปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นยาเสพติด อาจเป็นอาวุธเถื่อน หรือแม้แต่คนตัวเป็นๆ ที่ถูกนำไปใช้แรงงานทาสก็เป็นได้
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่สายตาของสังคมจับจ้องไปยังหน่วยงานราชการอย่าง กรมทางหลวง หรือ ตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องป้องกันไม่ให้การเก็บส่วยแบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อในความเป็นจริงมันกลับเกิดขึ้นแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานดังกล่าวมีเอี่ยวด้วยหรือไม่
ในโพสต์นี้ผมขอขยายประเด็นต่อเนื่องไปจากที่คุณ
วิโรจน์เปิดไว้ ซึ่งก็จะกลับไปเน้นย้ำสิ่งที่ผมเคยพูดถึงอยู่หลายครั้งว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นรากฐาน เป็นต้นตอสำคัญของการมีส่วยไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม นั่นคือ การมีอยู่ของระบบเส้นสาย ระบบตั๋ว และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในหมู่ข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจที่ผมพูดถึงบ่อยมาก หรือข้าราชการอื่นๆ ก็ตาม
ภายใต้ระบบเช่นนี้ผู้ที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตได้ ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามขอบข่ายความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นๆ แต่กลับวัดกันที่ความสามารถในการหาเงินหรือผลประโยชน์อื่นๆ มาตอบแทนให้กับ “นาย” ที่คอยขายตั๋วให้ หามาให้ได้โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกหรือผิดอย่างไร ไม่ต้องสนใจว่าวิธีการที่ทำมันจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใครบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วช่องทางหาเงินและผลประโยชน์ที่ข้าราชการเหล่านี้สามารถอ้างใช้อำนาจของตัวเองกอบโกยมาได้ง่ายที่สุดก็หนีไม่พ้น ธุรกิจมืด นั่นเอง
ถ้าระบบแบบนี้ยังมีอยู่ การเก็บส่วยก็ไม่มีวันที่จะหมดไป ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่กำลังจัดตั้งขึ้นจะต้องจัดการให้ได้โดยเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดชื่อว่า
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ด้วยหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะประมุขฝ่ายบริหารที่จะต้องควบคุมการปฏิบัติงานของข้าราชการในทุกกระทรวง ทุกกรม รวมถึงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจทั้งประเทศ นี่คือภารกิจสำคัญในการปฏิรูประบบราชการที่ทั้งคุณพิธาและพรรคก้าวไกลจะต้องบรรลุผลให้ได้ภายในอายุการทำงานของพวกเราครั้งนี้
ถึงเวลาลอกสติ๊กเกอร์ที่ติดประจานความโสมมของประเทศนี้แล้วชำระล้างเสียใหม่ให้กลายเป็นประเทศที่ทั้งข้าราชการและประชาชนสามารถได้ดิบได้ดีไปด้วยกันผ่านการปฏิบัติต่อกันอย่างสุจริตซื่อตรง มิใช่เป็นนาบนหลังคนให้ใครมาเก็บเกี่ยวกินโดยเบียดเบียนคนอื่นๆ ในสังคมอีกต่อไป
https://www.facebook.com/rangsimanrome/posts/803578587791869
ปธ.สหพันธ์ขนส่งฯ หนุนก้าวไกล ปราบส่วยรถบรรทุก ชี้มิติใหม่ ส่งคนมาคุย จบลต.ลุยทันที
https://www.matichon.co.th/economy/news_4004590
ปธ.สหพันธ์ขนส่งฯ หนุนก้าวไกล ปราบส่วยรถบรรทุก ชมเปาะมิติใหม่ ส่งคนมาคุย จบเลือกตั้งลุยทันที อัดยุคคสช.หนักกว่าเก่า
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นาย
อภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวผ่านรายการ
เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีแฉสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกเดือนละพันล้าน ตอนหนึ่งว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในยุคคสช.ก็ไปยื่นร้องเรียน แต่ก็แก้ไม่ได้ ยิ่งหนักกว่าเก่าด้วย การปล่อยปะละเลยให้มีการบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนดเป็นร้อยตัน ทั้งๆที่กฎหมายกำหนด 25 ตันเท่านั้น
“
เรามีกลุ่มไลน์เพื่อชี้ช่องให้ทางกรมทางหลวง กับตำรวจทางหลวงตลอด โดยเรามีสายอยู่ทั่วประเทศ แต่พอแจ้งไป เพื่อให้หน่วยสปอร์ตเช็กตั้งจุดตรวจ แต่ก็มีข่าวรั่วอีก เขาก็จอดรอให้ด่านเลิก เขาก็มาวิ่ง บางครั้งก็จะจับโชว์ 3-5 คันให้เราเห็น แต่จริงๆรถมันมีเป็นแสนคัน มันทำให้เรามีความรู้สึกว่าถูกหักหลัง จากคนไว้วางใจในฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่ในเมื่อเราชี้ช่องไปแล้ว ทำไมสิ่งเหล่านี้ยังทวีคูณขึ้นอีก”
เมื่อถามว่า ทั้งๆที่มีอำนาจล้นมือ ทำไมปัญหานี้ถึงหนักกว่าเก่า นายอภิชาติ กล่าวว่า จริงๆแล้วในช่วงคสช. พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯก็ออกมาตรการดำเนินการเรื่องนี้มาซักระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ เหมือนไฟไหม้ฟาง พอถึงเวลาข่าวจางไปมันก็กลับมาสู่สภาพเดิม
“
มันเป็นความอัดอั้นตันใจที่พวกเราที่อยู่ภายใต้กฎหมาย รณรงค์กันอยู่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งบางครั้งก็ท้อ เมื่อเขาบังคับให้เราเป็นโจร เราต้องเป็นโจรตามเขาไหม”
เมื่อถามถึงความคาดหวังกับรัฐบาลก้าวไกลในการแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก นาย ท่า กล่าวว่า ความหวังมันมีแค่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เท่านั้น แต่จากที่พวกเราได้สัมผัสเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว พรรคก้าวไกลได้เข้ามาที่สมาคมของพวกเรา เพื่อมาถามว่า คุณมีปัญหาอะไร เขาไม่ได้มาแนะนำสมาชิกเท่านั้น แต่เขามาถามหาแล้วเอาปัญหาไป จนกระทั่งเลือกตั้งจบ วันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลโทรมาเลย ให้รวบรวมรายละเอียดมาเลย จะเรียกเข้ามาพบ
“
นี่คือมิติใหม่ที่เราไม่เคยเจอ ไม่เคยพบเห็นเลย แต่วันนี้เราได้เห็น เราได้เจอแล้ว ส่วนความหวังว่าจะสำเร็จหรือไม่ ผมคิดว่า เรื่องนี้ต้องให้โอกาสพรรคก้าวไกล” นาย
อภิชาติ กล่าว
JJNY : ชลน่านเผยประธานสภา ใครก็ได้│โรมลากไส้ระบบส่วย│ปธ.สหพันธ์ขนส่งฯหนุนก้าวไกล│พญ.นงนลินี โพสต์ขอโทษกล่าวหา"สรยุทธ"
https://www.matichon.co.th/politics/news_4005258
‘ชลน่าน’ เมิน ‘สมชาย’ ระบุ ‘ชวน’ คือต้นแบบประมุขนิติบัญญัติ ชี้ เป็นแค่ความเห็น ส.ว.คนหนึ่ง ย้ำ พูดคุยต้องจบก่อนเลือกเก้าอี้ประธานสภา
เมื่อเวลา 17.25 น. วันที่ 30 พฤษภาคม ที่พรรคประชาชาติ (ปช.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว. โพสต์รูปภาพนายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภา ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมระบุข้อความว่า “ท่านประธานที่เคารพ ต้นแบบประธานรัฐสภาที่ดี ประมุข 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย เลือกให้ดีหาใช่แค่ใครก็เป็นได้ งานการเมืองอย่าทำเล่นเด็กขายของ” ว่า เป็นความเห็นของส.ว.ท่านหนึ่งตนขอไม่มีความเห็น ซึ่งวันนี้คณะเจรจาได้ข้อสรุปที่ดีมาก คือ การเจรจาตำแหน่งประธานสภา ต้องไม่เป็นอุปสรรคในการจัดตั้ง เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด
ฉะนั้น การพูดถึงตำแหน่งประธานสภา เราต้องตัดว่าเป็นโควต้าของพรรคใดออกไป เราต้องจับมือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด จะเป็นใครก็ได้ที่เป็นความเห็นร่วมกันของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และพรรค พท. สำคัญที่สุดคือตำแหน่งประธานสภา ต้องสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่า พรรค พท.ได้มีการวางตัวใครไว้แล้วหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ยังไม่มี เพียงแต่เสนอในหลักการ ส่วนตัวบุคคลนั้นยังไม่มีการพูดถึงและเป็นเรื่องภายใน ซึ่งในมุมที่เราพูดคุยกันนั้นต้องเหมาะสมและสามารถคุยกันได้สำหรับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรค พท. หรือพรรค ก.ก.เท่านั้น
ถามต่อว่า ความชัดเจนเรื่องประธานสภา จะทันกรอบการประชุมเพื่อเลือกประธานสภาหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า “ต้องทันครับ” ช้าที่สุดคือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรอง ส.ส. ทั้งนี้ จะไม่ถึงนาทีสุดท้าย เราจะพูดคุยกันไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ อะไรที่สามารถเป็นความเห็นร่วมกันได้เราจะมาแถลงให้กับประชาชนทราบ
โรม ลากไส้ระบบส่วย ต้นตออยู่ที่ตั๋ว-ซื้อขายตำแหน่ง ‘รัฐบาลพิธา’ พร้อมปราบให้สิ้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4004313
โรม ลากไส้ระบบส่วย ต้นตออยู่ที่ตั๋ว-ซื้อขายตำแหน่ง ‘รัฐบาลพิธา’ พร้อมปราบให้สิ้น ได้เวลา ขรก.-ปชช.ได้ดิบได้ดีไปด้วย
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวขยายความจาก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เปิดประเด็น ส่วยทางหลวง หรือ ส่วยอีซี่พาส หรือ ส่วยสติ๊กเกอร์ ที่รถบรรทุกจำนวนหนึ่งติดไว้เพื่อให้ผ่านด่านตรวจต่างๆ ได้ ซึ่งนายรังสิมันต์โฟกัสถึงรากฐานปัญหา นั่นคือการมีอยู่ของระบบเส้นสาย ระบบตั๋ว และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในหมู่ข้าราชการ
นายรังสิมันต์กล่าวว่า รากฐานของ “สติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวง” คือระบบตั๋วในวงราชการที่รัฐบาล “พิธา” จะจัดการให้ได้
จากกรณีที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้เปิดประเด็นเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์พิสดารที่มีคนกลุ่มหนึ่งคอยขายให้กับรถบรรทุกขนส่งต่างๆ แลกเปลี่ยนกับการให้ผ่านด่านทางหลวงได้โดยไม่ต้องชั่งน้ำหนักว่าบรรทุกเกินหรือไม่ หรือตรวจว่าขนของผิดกฎหมายมาหรือไม่
พูดง่ายๆ ตรงๆ นี่คืออีกรูปแบบหนึ่งของการ เก็บส่วย เป็นอีกหนึ่งธุรกิจสีเทาที่คนในวงการขนส่งรู้กันว่ามีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด ในขณะที่คนขายสติ๊กเกอร์เหล่านี้กอบโกย ประเทศกลับต้องเสียรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางตามกฎเกณฑ์ที่ควรได้รับอาจถึงหลักหมื่นล้านบาท ถนนที่รับน้ำหนักเกินต้องชำรุดทรุดโทรมอย่างรวดเร็วจนอาจต้องเป็นภาระต่อภาษีประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก
หรือมากไปกว่านั้นคือบรรดาสิ่งไม่พึงประสงค์ที่อาจเล็ดรอดการตรวจสอบและกระจัดกระจายไปสร้างปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นยาเสพติด อาจเป็นอาวุธเถื่อน หรือแม้แต่คนตัวเป็นๆ ที่ถูกนำไปใช้แรงงานทาสก็เป็นได้
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่สายตาของสังคมจับจ้องไปยังหน่วยงานราชการอย่าง กรมทางหลวง หรือ ตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องป้องกันไม่ให้การเก็บส่วยแบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อในความเป็นจริงมันกลับเกิดขึ้นแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานดังกล่าวมีเอี่ยวด้วยหรือไม่
ในโพสต์นี้ผมขอขยายประเด็นต่อเนื่องไปจากที่คุณวิโรจน์เปิดไว้ ซึ่งก็จะกลับไปเน้นย้ำสิ่งที่ผมเคยพูดถึงอยู่หลายครั้งว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นรากฐาน เป็นต้นตอสำคัญของการมีส่วยไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม นั่นคือ การมีอยู่ของระบบเส้นสาย ระบบตั๋ว และการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในหมู่ข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจที่ผมพูดถึงบ่อยมาก หรือข้าราชการอื่นๆ ก็ตาม
ภายใต้ระบบเช่นนี้ผู้ที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตได้ ไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามขอบข่ายความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นๆ แต่กลับวัดกันที่ความสามารถในการหาเงินหรือผลประโยชน์อื่นๆ มาตอบแทนให้กับ “นาย” ที่คอยขายตั๋วให้ หามาให้ได้โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะถูกหรือผิดอย่างไร ไม่ต้องสนใจว่าวิธีการที่ทำมันจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใครบ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วช่องทางหาเงินและผลประโยชน์ที่ข้าราชการเหล่านี้สามารถอ้างใช้อำนาจของตัวเองกอบโกยมาได้ง่ายที่สุดก็หนีไม่พ้น ธุรกิจมืด นั่นเอง
ถ้าระบบแบบนี้ยังมีอยู่ การเก็บส่วยก็ไม่มีวันที่จะหมดไป ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่กำลังจัดตั้งขึ้นจะต้องจัดการให้ได้โดยเด็ดขาด รัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดชื่อว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ด้วยหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะประมุขฝ่ายบริหารที่จะต้องควบคุมการปฏิบัติงานของข้าราชการในทุกกระทรวง ทุกกรม รวมถึงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจทั้งประเทศ นี่คือภารกิจสำคัญในการปฏิรูประบบราชการที่ทั้งคุณพิธาและพรรคก้าวไกลจะต้องบรรลุผลให้ได้ภายในอายุการทำงานของพวกเราครั้งนี้
ถึงเวลาลอกสติ๊กเกอร์ที่ติดประจานความโสมมของประเทศนี้แล้วชำระล้างเสียใหม่ให้กลายเป็นประเทศที่ทั้งข้าราชการและประชาชนสามารถได้ดิบได้ดีไปด้วยกันผ่านการปฏิบัติต่อกันอย่างสุจริตซื่อตรง มิใช่เป็นนาบนหลังคนให้ใครมาเก็บเกี่ยวกินโดยเบียดเบียนคนอื่นๆ ในสังคมอีกต่อไป
https://www.facebook.com/rangsimanrome/posts/803578587791869
ปธ.สหพันธ์ขนส่งฯ หนุนก้าวไกล ปราบส่วยรถบรรทุก ชี้มิติใหม่ ส่งคนมาคุย จบลต.ลุยทันที
https://www.matichon.co.th/economy/news_4004590
ปธ.สหพันธ์ขนส่งฯ หนุนก้าวไกล ปราบส่วยรถบรรทุก ชมเปาะมิติใหม่ ส่งคนมาคุย จบเลือกตั้งลุยทันที อัดยุคคสช.หนักกว่าเก่า
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีแฉสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกเดือนละพันล้าน ตอนหนึ่งว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในยุคคสช.ก็ไปยื่นร้องเรียน แต่ก็แก้ไม่ได้ ยิ่งหนักกว่าเก่าด้วย การปล่อยปะละเลยให้มีการบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนดเป็นร้อยตัน ทั้งๆที่กฎหมายกำหนด 25 ตันเท่านั้น
“เรามีกลุ่มไลน์เพื่อชี้ช่องให้ทางกรมทางหลวง กับตำรวจทางหลวงตลอด โดยเรามีสายอยู่ทั่วประเทศ แต่พอแจ้งไป เพื่อให้หน่วยสปอร์ตเช็กตั้งจุดตรวจ แต่ก็มีข่าวรั่วอีก เขาก็จอดรอให้ด่านเลิก เขาก็มาวิ่ง บางครั้งก็จะจับโชว์ 3-5 คันให้เราเห็น แต่จริงๆรถมันมีเป็นแสนคัน มันทำให้เรามีความรู้สึกว่าถูกหักหลัง จากคนไว้วางใจในฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่ในเมื่อเราชี้ช่องไปแล้ว ทำไมสิ่งเหล่านี้ยังทวีคูณขึ้นอีก”
เมื่อถามว่า ทั้งๆที่มีอำนาจล้นมือ ทำไมปัญหานี้ถึงหนักกว่าเก่า นายอภิชาติ กล่าวว่า จริงๆแล้วในช่วงคสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯก็ออกมาตรการดำเนินการเรื่องนี้มาซักระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ เหมือนไฟไหม้ฟาง พอถึงเวลาข่าวจางไปมันก็กลับมาสู่สภาพเดิม
“มันเป็นความอัดอั้นตันใจที่พวกเราที่อยู่ภายใต้กฎหมาย รณรงค์กันอยู่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งบางครั้งก็ท้อ เมื่อเขาบังคับให้เราเป็นโจร เราต้องเป็นโจรตามเขาไหม”
เมื่อถามถึงความคาดหวังกับรัฐบาลก้าวไกลในการแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก นาย ท่า กล่าวว่า ความหวังมันมีแค่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เท่านั้น แต่จากที่พวกเราได้สัมผัสเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว พรรคก้าวไกลได้เข้ามาที่สมาคมของพวกเรา เพื่อมาถามว่า คุณมีปัญหาอะไร เขาไม่ได้มาแนะนำสมาชิกเท่านั้น แต่เขามาถามหาแล้วเอาปัญหาไป จนกระทั่งเลือกตั้งจบ วันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลโทรมาเลย ให้รวบรวมรายละเอียดมาเลย จะเรียกเข้ามาพบ
“นี่คือมิติใหม่ที่เราไม่เคยเจอ ไม่เคยพบเห็นเลย แต่วันนี้เราได้เห็น เราได้เจอแล้ว ส่วนความหวังว่าจะสำเร็จหรือไม่ ผมคิดว่า เรื่องนี้ต้องให้โอกาสพรรคก้าวไกล” นายอภิชาติ กล่าว