🌼🌼🌼 ขอนอบน้อมแต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 🌼🌼🌼
นิคคหจตุกกะ (ข้อติเดียน..ที่ 4)
[๓] ป. ก็ถ้าท่านยังจะยืนยันว่า
กล่าวได้ว่า " ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถ ปรมัตถ์ "
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล นั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ดังนี้ไซร้ ด้วยเหตุนั้น ท่านเมื่อยังปฏิญาณอยู่ข้าง " ปฏิเสธบุคคลอย่างนี้ ด้วยปฏิญญานี้ "
ก็ต้องนิคหะ(ถูกติเดียน)อย่างนี้ ดังนั้น เราจึงนิคหะ(ถูกติเดียน)ท่าน ท่านถูกนิคหะ(ถูกติเดียน) ชอบแล้วเทียว.
หากท่านไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะ
ท่านจึงต้อง กล่าวว่า
" สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะ นั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าไม่ หยั่งเห็นบุคคลนั้น
ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด "
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ก็ต้องไม่กล่าวว่า
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า
พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
สภาวะใด เป็น สัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้นตามสภาวะนั้น
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ นี้เป็นความผิดของท่าน "
ส้มวาที: ผมว่า...สกวาที่..เขาสามารถแสดง..การไม่มีบุคคล..แบบสัจฉิกัตถปรมัตถ์..ได้นะ
เขาก็จะยก..ขันธ์๕..ออกมาชำหละ.. โดยยกเอาพระสูตร..คนฆ่าโคและลูกมือ
ที่นั่งชำหละ..ณ. หนทาง 4 แพร่ง หรือไม่..ก็จะยกวชิราสูตร...มาอ้างว่า
" สัตว์ บุคคล มันไม่มี "
มันเป็นเพียงธาตุ..ที่ประกอบกัน....แล้วเรียกว่า " สัตว์ บุคคล มันไม่มี "
ซึ่งมันก็ถูกอยู่ " แค่ " เพียงส่วนเดียว.. คือ " ถูกสำหรับผู้ที่เห็นว่า " อุปาทานขันธ์๕ เป็นตน "
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นว่า.. อุปาทานขันธ์๕ เขาจะเห็น..ว่า
บุคคล..ไม่ใช่...อุปาทานขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕..ไม่ใช่...บุคคล
บุคคล...คือ...สิ่งหนึ่ง และ อุปาทานขันธ์๕...คือ...อีกสิ่งหนึ่ง
นิคคหจตุกกะ จบ
กถาวัตถุ..ตอนที่ - 3
นิคคหจตุกกะ (ข้อติเดียน..ที่ 4)
[๓] ป. ก็ถ้าท่านยังจะยืนยันว่า
กล่าวได้ว่า " ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถ ปรมัตถ์ "
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล นั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ดังนี้ไซร้ ด้วยเหตุนั้น ท่านเมื่อยังปฏิญาณอยู่ข้าง " ปฏิเสธบุคคลอย่างนี้ ด้วยปฏิญญานี้ "
ก็ต้องนิคหะ(ถูกติเดียน)อย่างนี้ ดังนั้น เราจึงนิคหะ(ถูกติเดียน)ท่าน ท่านถูกนิคหะ(ถูกติเดียน) ชอบแล้วเทียว.
หากท่านไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ด้วยเหตุนั้นนะ
ท่านจึงต้อง กล่าวว่า
" สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะ นั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าไม่ หยั่งเห็นบุคคลนั้น
ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด "
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ก็ต้องไม่กล่าวว่า
ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์, ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า
พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ แต่ไม่พึงกล่าวว่า
สภาวะใด เป็น สัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ ข้าพเจ้าไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้นตามสภาวะนั้น
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ นี้เป็นความผิดของท่าน "
ส้มวาที: ผมว่า...สกวาที่..เขาสามารถแสดง..การไม่มีบุคคล..แบบสัจฉิกัตถปรมัตถ์..ได้นะ
เขาก็จะยก..ขันธ์๕..ออกมาชำหละ.. โดยยกเอาพระสูตร..คนฆ่าโคและลูกมือ
ที่นั่งชำหละ..ณ. หนทาง 4 แพร่ง หรือไม่..ก็จะยกวชิราสูตร...มาอ้างว่า
" สัตว์ บุคคล มันไม่มี "
มันเป็นเพียงธาตุ..ที่ประกอบกัน....แล้วเรียกว่า " สัตว์ บุคคล มันไม่มี "
ซึ่งมันก็ถูกอยู่ " แค่ " เพียงส่วนเดียว.. คือ " ถูกสำหรับผู้ที่เห็นว่า " อุปาทานขันธ์๕ เป็นตน "
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นว่า.. อุปาทานขันธ์๕ เขาจะเห็น..ว่า
บุคคล..ไม่ใช่...อุปาทานขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕..ไม่ใช่...บุคคล
บุคคล...คือ...สิ่งหนึ่ง และ อุปาทานขันธ์๕...คือ...อีกสิ่งหนึ่ง
นิคคหจตุกกะ จบ