🌼🌼🌼 ขอนอบน้อมแต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น 🌼🌼🌼
นิคมจตุกกะ
[๕] ป. เราไม่พึงถูกนิคหะ(ตำหนิ)อย่างนี้
ด้วยเหตุนั้นแหละ ที่ท่านนิคหะ(ตำหนิ)เราว่า
"หากว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สภาวะใด เป็น สัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ "
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
ที่ ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่ พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะ นั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็น ปรมัตถะ
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่าข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด
ดังนี้ จึงกลับเป็นความผิดของท่าน ด้วยเหตุนั้นแหละ นิคหะ(ตำหนิ)ที่ท่านทำแล้ว จึงทำไม่ชอบ ปฏิกรรม
ข้าพเจ้าได้ทำชอบแล้ว การดำเนินความข้าพเจ้าได้ทำชอบแล้วแล
ส้มวาที: ท่านปรวาที่... สามาถแสดง...สภาวะของบุคคลได้ไหม?
ส้มวาที...จะตอบว่า " ความมีชีวะ - ความมีชีวิต " ที่แสดงผ่านท่าน...อุปาทานขันธ์๕
นี่หละ...สภาวะที่แสดงว่ามีบุคคล
อย่างที่บอก..ในตอนที่ - 3 และ 4...แล้วว่า
ผมว่า...สกวาที่..เขาสามารถแสดง..การไม่มีบุคคล..แบบสัจฉิกัตถปรมัตถ์..ได้นะ
เขาก็จะยก..ขันธ์๕..ออกมาชำหละ.. โดยยกเอาพระสูตร..คนฆ่าโคและลูกมือ
ที่นั่งชำหละ..ณ. หนทาง 4 แพร่ง หรือไม่..ก็จะยกวชิราสูตร...มาอ้างว่า
" สัตว์ บุคคล มันไม่มี "
มันเป็นเพียงธาตุ..ที่ประกอบกัน....แล้วเรียกว่า " สัตว์ - บุคคล "
ซึ่งมันก็ถูกอยู่ " แค่ " เพียงส่วนเดียว.. คือ " ถูกสำหรับผู้ที่เห็นว่า อุปาทานขันธ์๕ เป็นตน "
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นว่า.. อุปาทานขันธ์๕ เขาจะเห็น..ว่า
บุคคล..ไม่ใช่...อุปาทานขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕..ไม่ใช่...บุคคล
บุคคล...คือ...สิ่งหนึ่ง และ อุปาทานขันธ์๕...คือ...อีกสิ่งหนึ่ง
นิคมจตุกกะ จบ
นิคหะที่ ๑ จบ
กถาวัตถุ..ตอนที่ - 5
นิคมจตุกกะ
[๕] ป. เราไม่พึงถูกนิคหะ(ตำหนิ)อย่างนี้
ด้วยเหตุนั้นแหละ ที่ท่านนิคหะ(ตำหนิ)เราว่า
"หากว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า สภาวะใด เป็น สัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ "
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์,
ที่ ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่ พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะ นั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด,
แต่ถ้าไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็น ปรมัตถะ
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ก็ต้องไม่กล่าวว่า ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ที่ท่านกล่าวในปัญหานั้นว่า พึงกล่าวได้ว่าข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคล โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
แต่ไม่พึงกล่าวว่า สภาวะใด เป็นสัจฉิกัตถะ เป็นปรมัตถะ
ข้าพเจ้าหยั่งเห็นบุคคลนั้น ตามสภาวะนั้น โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ ดังนี้ ผิด
ดังนี้ จึงกลับเป็นความผิดของท่าน ด้วยเหตุนั้นแหละ นิคหะ(ตำหนิ)ที่ท่านทำแล้ว จึงทำไม่ชอบ ปฏิกรรม
ข้าพเจ้าได้ทำชอบแล้ว การดำเนินความข้าพเจ้าได้ทำชอบแล้วแล
ส้มวาที: ท่านปรวาที่... สามาถแสดง...สภาวะของบุคคลได้ไหม?
ส้มวาที...จะตอบว่า " ความมีชีวะ - ความมีชีวิต " ที่แสดงผ่านท่าน...อุปาทานขันธ์๕
นี่หละ...สภาวะที่แสดงว่ามีบุคคล
อย่างที่บอก..ในตอนที่ - 3 และ 4...แล้วว่า
ผมว่า...สกวาที่..เขาสามารถแสดง..การไม่มีบุคคล..แบบสัจฉิกัตถปรมัตถ์..ได้นะ
เขาก็จะยก..ขันธ์๕..ออกมาชำหละ.. โดยยกเอาพระสูตร..คนฆ่าโคและลูกมือ
ที่นั่งชำหละ..ณ. หนทาง 4 แพร่ง หรือไม่..ก็จะยกวชิราสูตร...มาอ้างว่า
" สัตว์ บุคคล มันไม่มี "
มันเป็นเพียงธาตุ..ที่ประกอบกัน....แล้วเรียกว่า " สัตว์ - บุคคล "
ซึ่งมันก็ถูกอยู่ " แค่ " เพียงส่วนเดียว.. คือ " ถูกสำหรับผู้ที่เห็นว่า อุปาทานขันธ์๕ เป็นตน "
ส่วนผู้ที่ไม่เห็นว่า.. อุปาทานขันธ์๕ เขาจะเห็น..ว่า
บุคคล..ไม่ใช่...อุปาทานขันธ์๕ อุปาทานขันธ์๕..ไม่ใช่...บุคคล
บุคคล...คือ...สิ่งหนึ่ง และ อุปาทานขันธ์๕...คือ...อีกสิ่งหนึ่ง
นิคมจตุกกะ จบ
นิคหะที่ ๑ จบ