เชียงใหม่ยังวิกฤต! ผู้ว่าฯ ประกาศขอทุกหน่วยงาน "เวิร์คฟรอมโฮม" หลัง PM2.5 พุ่งพรวด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7600448
เชียงใหม่ยังวิกฤต! ผู้ว่าฯ ประกาศขอทุกหน่วยงาน “เวิร์คฟรอมโฮม” หลัง PM2.5 พุ่งพรวด
วันที่ 6 เม.ย.66 นาย
นิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกประกาศจังหวัดเชียงใหม่ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งจัดระบบการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ในส่วนภารกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน เนื่องด้วยจังหวัดเชียงใหม่ มีสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมามีค่าเกินค่ามาตรฐาน (อยู่ระหว่าง 112-398 มคก/ลบ.ม) และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จึงได้ออกประกาศฉบับดังกล่าว เพื่อเป็นการป้องกันและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
โดยขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งจัดระบบการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ในส่วนภารกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน และหากจัดประชุมให้พิจารณาประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสถานบริการ สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ร้านอาหาร ขอให้พิจารณาให้บริการห้องปรับอากาศเป็นอันดับแรก เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) อีกทั้งขอความร่วมมือให้บริษัท ห้างร้าน สถานประกอบการ พิจารณาอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือทำงานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนที่ไม่กระทบต่อกิจการของบริษัทห้างร้าน หรือสถานประกอบการ เพื่อลดการออกนอกเคหสถาน
สำหรับกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ขอให้ลดหรืองดการออกนอกบ้าน พร้อมทั้งให้หน่วยงานของรัฐ พิจารณาเปิดบริการห้องปลอดฝุ่นให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ไม่มีห้องปลอดฝุ่น ให้พิจารณาหยุดการเรียนการสอน และสวนสาธารณะในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ให้พิจารณาปิดพื้นที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเป็นเวลา 1 วัน คือในวันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2566 หากสถานการณ์ฝุ่นละออง ยังไม่คลี่คลายจะได้ออกประกาศให้ประชาชนทราบโดยเร็วต่อไป
‘เศรษฐา’แจงยิบแจกเงินใส่เป๋าตังค์ดิจิทัลคนละ 1 หมื่น หวังกระตุ้น ศก. ชี้ลงทุน 5 แสนล้านทำแค่ปีเดียว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3915533
‘เศรษฐา’แจงยิบแจกเงินใส่เป๋าตังค์ดิจิทัลคนละ 1 หมื่น หวังกระตุ้น ศก. ชี้ลงทุน 5 แสนล้านทำแค่ปีเดียว
เมื่อวันที่ 6 เมษายน นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท.ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาท ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแจกเงินอีกแล้วและจะเอาเงินมาจากไหน
นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโต 2.6% ในขณะที่ประเทศอื่นซึ่งเคยเป็นรองเรา ตอนนี้เขาก็โตขึ้น 5% เราอยู่ในภาวะย่ำแย่ เหมือนคนป่วยที่อยู่ในห้องไอซียู หลายนโยบายของพรรค พท. เราจะเป็นการกระตุ้นครั้งยิ่งใหญ่เพื่อให้เรากลับมาทำมาหากินมีรายได้ที่เหมาะสมได้ ฉะนั้น เราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด จำนวนเงิน 10,000 บาทประกอบไปด้วย
1. ระยะเวลาในการใช้คือ 6 เดือน ร้านค้า เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมทั้งหลายจะได้ซื้อของมาตุนไว้เพื่อจะได้มีการซื้อขาย มีการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้นทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ
2. ระยะทางที่เราวางไว้คือ 4 กิโลเมตร ซึ่งเราตระหนักว่าไม่อยากให้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยในห้างใหญ่ๆ อย่างเดียว เราอยากให้เขาใช้ในพื้นที่ชุมชุม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนขึ้นมา ไม่ใช่มากระจุกตัวอยู่ที่เดียว แต่เมื่อเราเปิดตัวไปก็มีคนบอกว่าในบางพื้นที่รัศมี 4 กิโลเมตรไม่มีอะไรเลย เราอาจจะนำบล็อกเชนมาขีดเส้นรัศมีใหม่ได้
นาย
เศรษฐา กล่าวว่า สำหรับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปมีประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 5 แสนล้านต่อปี เราทำครั้งเดียวไม่ได้ทำทุกปี ให้ใช้หมดภายใน 6 เดือน สมมติพรรค พท. เราได้รับเลือกตั้งเข้ามา เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และการที่จะได้ใช้งบประมาณหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้วนั้นต้องใช้เวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเราจะใส่เงินเข้าไปในกระเป๋า คนเริ่มไปจับจ่ายใช้สอย ได้แวทเพิ่มมากขึ้น ภาษีนิติบุคคลจากห้างร้านก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแสนล้าน การบริหารงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ที่อาจจะมาจากงบประมาณของอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีปีละแสนล้าน อาจจะนำมาใช้ประมาณ 30% หรือประมาณ 3 หมื่นล้าน หรืองบกลาง ซึ่งหากตนได้รับเลือกเข้ามาก็ไม่อยากใช้เงินนี้ เพราะหากเกิดกรณีฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เราควรจะไปโฟกัสรายได้ที่จะมามากกว่า หรือกรณีที่บางคนบอกงให้ไปตัดงบประมาณทหารมา ตรงนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องเข้าใจว่างบประมาณบางตัวก็ยังต้องมีอยู่บ้าง
ส่วนการบริหารจัดการเรื่องภาษี ในปีหน้าเราจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น จากที่ทีมงานเศรษฐกิจของพรรคได้ศึกษามา การจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นมา 2 แสนล้าน ปัจจุบันมีคนยื่นภาษีประมาณ 10 ล้านคน แต่คนที่เสียภาษีจริงๆ มีประมาณ 3.9-4 ล้านคน การที่เราใส่เงินไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลนี้ เราหวังว่าในระยะยาวจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น และการที่เราใส่เงินไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลเราไม่ได้ให้ประโยชน์กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“ผมยืนยันว่าผมมาตรงนี้ไม่ได้มารังแกหรือกีดกันเจ้าสัว 10,000 บาท จะใช้ที่ใดก็ได้ จะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ได้ จะซื้อปุ๋ยหรือเมล็ดพันธ์ก็ได้ หรือหากคุณเป็นหนี้ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถนำไปใช้หนี้ได้หรือไม่ เราก็ยังไม่ได้คุยตรงนี้ ผมจึงบอกว่าอยากเจอประชาชนอยากฟังความคิดเห็นเขา ไม่ใช่เอาความคิดเราเป็นหลักว่าต้องใช้อย่างเดียว ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยอีกปัญหาหนึ่งคือปัญหาหนี้ครัวเรือน หากเราทำให้หนี้เขาลดลง ก็จะมีความสามารถการไปจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ซึ่งเราต้องเข้าใจเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ” นาย
เศรษฐา กล่าว
ด่วน! จับแล้ว ‘แฮกเกอร์9near’ เป็นทหารบก ยศสิบเอก ตั้งข้อหาหนัก ‘ชัยวุฒิ’ แถลงบ่ายสาม
https://www.dailynews.co.th/news/2188852/
จับได้แล้ว 'แฮกเกอร์9near' เป็นทหารบก ยศสิบเอก ตั้ง 2 ข้อหาหนัก หลังสังกัดส่งตัวให้ อ้างคึกคะนอง ขณะที่ 'ชัยวุฒิ' รมว.ดีอีเอส ตั้งโต๊ะแถลงบ่ายสาม
เมื่อวันที่ 7 เม.ย. จากกรณี แฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อ “
9near” ฉกข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านราย อ้างว่าได้มาจากหน่วยงานรัฐ แห่งหนึ่งในไทยนั้น ล่าสุดมีรายงานว่าหลังเกิดเหตุทางพนักงานสอบสวนกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้สืบสวนจนทราบว่าคนร้ายมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป (Hacker) โดยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ประกอบไปด้วย เลขบัตรประจำตัวประชาชน, ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด,ที่อยู่, และหมายเลขโทรศัพท์ สอดรับกับการที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไชเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) พบเนื้อหามีการโพสต์จำหน่ายข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบไปด้วย เลขบัตรประจำตัวประชาชน,ชื่อ-นามสกุล, วัน เดือน ปี เกิด , ที่ อยู่, และหมายเลขโทรศัพท์
ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นาย
เขมรัตน์ (สงวนนามสกุล) ชาว จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.978/2566 ลงวันที่ 2 เม.ย.66 ในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่าปัจุบันรับราชการเป็นทหารบกชั้นประทวนยศสิบเอก อยู่ใน จ.นนทบุรี และมีความใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญซึ่งเป็นนักการเมืองรายหนึ่ง
ทั้งนี้มีรายงานว่า ทางต้นสังกัดของทหารนายดังกล่าวทราบเรื่อง ทางผู้บังคับบัญชาจึงได้นำมามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา เบื้องต้นมีรายงานว่า สิบเอกคนดังกล่าวกระทำไปด้วยความคึกคะนอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้คุมตัวภรรยาของสิบเอกรายนี้ ซึ่งเป็นพยาบาล รพ.แห่งหนึ่งย่านแจ้งวัฒนะ มาสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูลว่าเป็นการจงใจหรือเป็นความคึกคะนองตามที่อ้างหรือไม่ นอกจากนี้หากพบว่าแฟนสาวมีความเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะแถลงข่าวผลการจับกุมคดีนี้ด้วยตนเองในเวลา 15.00 น. วันที่ 7 เม.ย.66.
JJNY : เชียงใหม่ยังวิกฤต!│‘เศรษฐา’แจงยิบแจกเงินใส่เป๋าตังค์ดิจิทัล│จับแล้ว ‘9near’ เป็นทหารบก│กัมพูชาเปิดตัว “ข้าวหอม”
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7600448
วันที่ 6 เม.ย.66 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกประกาศจังหวัดเชียงใหม่ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งจัดระบบการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ในส่วนภารกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน เนื่องด้วยจังหวัดเชียงใหม่ มีสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมามีค่าเกินค่ามาตรฐาน (อยู่ระหว่าง 112-398 มคก/ลบ.ม) และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน จึงได้ออกประกาศฉบับดังกล่าว เพื่อเป็นการป้องกันและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
โดยขอความร่วมมือให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งจัดระบบการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ในส่วนภารกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน และหากจัดประชุมให้พิจารณาประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส่วนสถานบริการ สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ร้านอาหาร ขอให้พิจารณาให้บริการห้องปรับอากาศเป็นอันดับแรก เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) อีกทั้งขอความร่วมมือให้บริษัท ห้างร้าน สถานประกอบการ พิจารณาอนุญาตให้พนักงานทำงานที่บ้าน หรือทำงานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในส่วนที่ไม่กระทบต่อกิจการของบริษัทห้างร้าน หรือสถานประกอบการ เพื่อลดการออกนอกเคหสถาน
สำหรับกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ขอให้ลดหรืองดการออกนอกบ้าน พร้อมทั้งให้หน่วยงานของรัฐ พิจารณาเปิดบริการห้องปลอดฝุ่นให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ไม่มีห้องปลอดฝุ่น ให้พิจารณาหยุดการเรียนการสอน และสวนสาธารณะในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ให้พิจารณาปิดพื้นที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเป็นเวลา 1 วัน คือในวันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2566 หากสถานการณ์ฝุ่นละออง ยังไม่คลี่คลายจะได้ออกประกาศให้ประชาชนทราบโดยเร็วต่อไป
‘เศรษฐา’แจงยิบแจกเงินใส่เป๋าตังค์ดิจิทัลคนละ 1 หมื่น หวังกระตุ้น ศก. ชี้ลงทุน 5 แสนล้านทำแค่ปีเดียว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3915533
‘เศรษฐา’แจงยิบแจกเงินใส่เป๋าตังค์ดิจิทัลคนละ 1 หมื่น หวังกระตุ้น ศก. ชี้ลงทุน 5 แสนล้านทำแค่ปีเดียว
เมื่อวันที่ 6 เมษายน นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรค พท.ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาท ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการแจกเงินอีกแล้วและจะเอาเงินมาจากไหน
นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโต 2.6% ในขณะที่ประเทศอื่นซึ่งเคยเป็นรองเรา ตอนนี้เขาก็โตขึ้น 5% เราอยู่ในภาวะย่ำแย่ เหมือนคนป่วยที่อยู่ในห้องไอซียู หลายนโยบายของพรรค พท. เราจะเป็นการกระตุ้นครั้งยิ่งใหญ่เพื่อให้เรากลับมาทำมาหากินมีรายได้ที่เหมาะสมได้ ฉะนั้น เราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด จำนวนเงิน 10,000 บาทประกอบไปด้วย
1. ระยะเวลาในการใช้คือ 6 เดือน ร้านค้า เอสเอ็มอี อุตสาหกรรมทั้งหลายจะได้ซื้อของมาตุนไว้เพื่อจะได้มีการซื้อขาย มีการจับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้นทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ
2. ระยะทางที่เราวางไว้คือ 4 กิโลเมตร ซึ่งเราตระหนักว่าไม่อยากให้คนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยในห้างใหญ่ๆ อย่างเดียว เราอยากให้เขาใช้ในพื้นที่ชุมชุม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนขึ้นมา ไม่ใช่มากระจุกตัวอยู่ที่เดียว แต่เมื่อเราเปิดตัวไปก็มีคนบอกว่าในบางพื้นที่รัศมี 4 กิโลเมตรไม่มีอะไรเลย เราอาจจะนำบล็อกเชนมาขีดเส้นรัศมีใหม่ได้
นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปมีประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 5 แสนล้านต่อปี เราทำครั้งเดียวไม่ได้ทำทุกปี ให้ใช้หมดภายใน 6 เดือน สมมติพรรค พท. เราได้รับเลือกตั้งเข้ามา เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และการที่จะได้ใช้งบประมาณหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้วนั้นต้องใช้เวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเราจะใส่เงินเข้าไปในกระเป๋า คนเริ่มไปจับจ่ายใช้สอย ได้แวทเพิ่มมากขึ้น ภาษีนิติบุคคลจากห้างร้านก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแสนล้าน การบริหารงบประมาณที่จะเกิดขึ้น ที่อาจจะมาจากงบประมาณของอำนาจนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีปีละแสนล้าน อาจจะนำมาใช้ประมาณ 30% หรือประมาณ 3 หมื่นล้าน หรืองบกลาง ซึ่งหากตนได้รับเลือกเข้ามาก็ไม่อยากใช้เงินนี้ เพราะหากเกิดกรณีฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เราควรจะไปโฟกัสรายได้ที่จะมามากกว่า หรือกรณีที่บางคนบอกงให้ไปตัดงบประมาณทหารมา ตรงนี้ก็ไม่สามารถทำได้ เราต้องเข้าใจว่างบประมาณบางตัวก็ยังต้องมีอยู่บ้าง
ส่วนการบริหารจัดการเรื่องภาษี ในปีหน้าเราจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น จากที่ทีมงานเศรษฐกิจของพรรคได้ศึกษามา การจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นมา 2 แสนล้าน ปัจจุบันมีคนยื่นภาษีประมาณ 10 ล้านคน แต่คนที่เสียภาษีจริงๆ มีประมาณ 3.9-4 ล้านคน การที่เราใส่เงินไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลนี้ เราหวังว่าในระยะยาวจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น และการที่เราใส่เงินไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลเราไม่ได้ให้ประโยชน์กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
“ผมยืนยันว่าผมมาตรงนี้ไม่ได้มารังแกหรือกีดกันเจ้าสัว 10,000 บาท จะใช้ที่ใดก็ได้ จะซื้อที่ร้านสะดวกซื้อที่ไหนก็ได้ จะซื้อปุ๋ยหรือเมล็ดพันธ์ก็ได้ หรือหากคุณเป็นหนี้ธนาคารพาณิชย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถนำไปใช้หนี้ได้หรือไม่ เราก็ยังไม่ได้คุยตรงนี้ ผมจึงบอกว่าอยากเจอประชาชนอยากฟังความคิดเห็นเขา ไม่ใช่เอาความคิดเราเป็นหลักว่าต้องใช้อย่างเดียว ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยอีกปัญหาหนึ่งคือปัญหาหนี้ครัวเรือน หากเราทำให้หนี้เขาลดลง ก็จะมีความสามารถการไปจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ซึ่งเราต้องเข้าใจเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ” นายเศรษฐา กล่าว
ด่วน! จับแล้ว ‘แฮกเกอร์9near’ เป็นทหารบก ยศสิบเอก ตั้งข้อหาหนัก ‘ชัยวุฒิ’ แถลงบ่ายสาม
https://www.dailynews.co.th/news/2188852/
จับได้แล้ว 'แฮกเกอร์9near' เป็นทหารบก ยศสิบเอก ตั้ง 2 ข้อหาหนัก หลังสังกัดส่งตัวให้ อ้างคึกคะนอง ขณะที่ 'ชัยวุฒิ' รมว.ดีอีเอส ตั้งโต๊ะแถลงบ่ายสาม
เมื่อวันที่ 7 เม.ย. จากกรณี แฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อ “9near” ฉกข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านราย อ้างว่าได้มาจากหน่วยงานรัฐ แห่งหนึ่งในไทยนั้น ล่าสุดมีรายงานว่าหลังเกิดเหตุทางพนักงานสอบสวนกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้สืบสวนจนทราบว่าคนร้ายมีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป (Hacker) โดยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ประกอบไปด้วย เลขบัตรประจำตัวประชาชน, ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด,ที่อยู่, และหมายเลขโทรศัพท์ สอดรับกับการที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไชเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) พบเนื้อหามีการโพสต์จำหน่ายข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบไปด้วย เลขบัตรประจำตัวประชาชน,ชื่อ-นามสกุล, วัน เดือน ปี เกิด , ที่ อยู่, และหมายเลขโทรศัพท์
ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ นายเขมรัตน์ (สงวนนามสกุล) ชาว จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.978/2566 ลงวันที่ 2 เม.ย.66 ในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพบว่าปัจุบันรับราชการเป็นทหารบกชั้นประทวนยศสิบเอก อยู่ใน จ.นนทบุรี และมีความใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญซึ่งเป็นนักการเมืองรายหนึ่ง
ทั้งนี้มีรายงานว่า ทางต้นสังกัดของทหารนายดังกล่าวทราบเรื่อง ทางผู้บังคับบัญชาจึงได้นำมามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา เบื้องต้นมีรายงานว่า สิบเอกคนดังกล่าวกระทำไปด้วยความคึกคะนอง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้คุมตัวภรรยาของสิบเอกรายนี้ ซึ่งเป็นพยาบาล รพ.แห่งหนึ่งย่านแจ้งวัฒนะ มาสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูลว่าเป็นการจงใจหรือเป็นความคึกคะนองตามที่อ้างหรือไม่ นอกจากนี้หากพบว่าแฟนสาวมีความเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะแถลงข่าวผลการจับกุมคดีนี้ด้วยตนเองในเวลา 15.00 น. วันที่ 7 เม.ย.66.