ปริญญา แนะคนดีที่รับเงินหลายทาง เอาอย่าง ‘อ.ป๋วย’ ขรก.ผู้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดหาประโยชน์ใส่ตัว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3866491
ปริญญา เปิดเหตุผล ‘ป๋วย’ เป็นอมตะ คารวะ ขรก.ผู้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยคิดหาประโยชน์ใส่ตัว แนะคนดีที่รับเงินหลายทาง เอาอย่าง
ในวาระครบรอบ 107 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.
ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาชิกขบวนการเสรีไทย ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะในปี พ.ศ.2508 ซึ่งยูเนสโก เคยยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาล (9 มี.ค.2559) นั้น
เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ผศ.ดร.
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อเขียนรำลึกผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระบุถึงเหตุผลที่ ศ.ดร.ป๋วย เป็นอธิการบดีที่ผู้คนจดจำมากที่สุดว่า
ทำไมอาจารย์ป๋วยจึงเป็นอมตะ?
ข้อเขียนในวาระวันเกิดอาจารย์ป๋วย
อาจารย์ป๋วยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพียงแค่ 2 ปี เพราะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้อาจารย์ป๋วยต้องลี้ภัยไปต่างประเทศจวบจนสิ้นอายุขัยในปี 2542
แต่อาจารย์ป๋วยกลับเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์ที่คนจดจำมากที่สุด อาจจะไม่เป็นรองอาจารย์ปรีดีซึ่งเป็นผู้ประศาสน์การด้วยซ้ำ เหตุผลสำคัญที่สุดคือความเป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต และทำงานให้แก่ส่วนรวมโดยไม่เคยหาประโยชน์ใส่ตนแม้เพียงสักครั้ง ซึ่งก็เหมือนอาจารย์ปรีดี และเป็นคุณงามความดีของอาจารย์ป๋วยมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นอธิการบดี
อย่างในตอนที่เป็น ‘ผู้ว่าการธนาคารชาติ’ แล้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เชิญให้มาเป็น ‘คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์’ ในปี 2507 ระเบียบราชการขณะนั้นคือ ถ้ารับตำแหน่ง 2 ที่ จะต้องเลือกรับเงินเดือนตำแหน่งหนึ่งเพียงครึ่งเดียว เงินเดือนผู้ว่าแบงค์ชาติคือ 50,000 บาท ส่วนเงินเดือนคณบดีเศรษฐศาสตร์คือ 8,000 บาท แทนที่จะเลือกรับเงินเดือนคณบดีครึ่งเดียว อาจารย์ป๋วยกลับเลือกรับเงินเดือนผู้ว่าแบงค์ชาติครึ่งเดียว ผลคือทำงานเพิ่มเป็นสองที่แต่ได้เงินเดือนน้อยลง คือจากที่เคยได้ 50,000 บาท เหลือแค่ 33,000 บาท
คนถามอาจารย์ป๋วยว่าทำไมจึงไม่เลือกรับเงินเดือนครึ่งหนึ่งในตำแหน่งคณบดีเศรษฐศาสตร์? อาจารย์ป๋วยตอบว่า “ผมทำงานให้แบงค์ชาติเหลือครึ่งเดียว ผมจะรับเงินเดือนเต็มได้อย่างไร”
แล้วในตอนที่อาจารย์ป๋วยพ้นตำแหน่งผู้ว่าแบงค์ชาติแล้วลาไปทำวิจัยที่เคมบริดจ์ อาจารย์ป๋วยก็ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัย ขอไม่รับเงินเดือนที่คณะเศรษฐศาสตร์ “เพราะไม่ได้ทำงาน”
นี่แหละคืออาจารย์ป๋วยของชาวธรรมศาสตร์ ข้าราชการผู้ซื่อสัตย์สุจริตที่ไม่เคยคิดหาประโยชน์ใส่ตัว และนี่แหละที่ทำให้ที่ทำให้อาจารย์ป๋วยเป็น ‘อมตะ’ ในวาระที่วันเกิดอาจารย์ป๋วยเวียนมาอีกครั้งในวันที่ 9 มีนาคม ผมจึงขอคารวะอาจารย์ด้วยบทกวีที่ผมแต่งไว้ตอนที่อาจารย์ป๋วยเสีย โดยขอยกมาเฉพาะในท่อนสุดท้ายว่า
“จากไปแล้วแต่จากไปเพียงกายา คุณธรรมสันติประชาไม่อาสัญ ป๋วยจักอยู่คู่ปรีดีที่แดนธรรม์ ไม่มีวันตายจากไปจากใจชน!”
ในยุคสมัยที่มีคนจำนวนไม่น้อยชอบอ้างตนว่าเป็นคนดี หรืออ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่กลับทุจริต มีประโยชน์ทับซ้อน หรือรับเงินเต็มสองสามทาง เราจึงต้องยกย่องและเอาอย่างอาจารย์ป๋วย คือ ทำงานให้ประชาชนโดยไม่แสวงหาประโยชน์ใส่ตน! ขอคารวะอาจารย์ป๋วยครับ
ด้าน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก็ได้โพสต์ข้อความรำลึกด้วยว่า
9 มีนาคม วันป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปี 2566 นี้ครบ 107 ปีชาตกาลของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ศ.ดร.ป๋วย ยังเป็นอธิการบดีคนสำคัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นผู้มีคุณูปการอย่างยิ่งในการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ ทั้งในเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการบริหารบ้านเมือง
“…ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม…
…เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายแบบโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามการเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำ หรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ….”
https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/pfbid0zvkAWjw8yBsHxaRMCQAw9gA1W7LsJN8XyeskHbPxJxLKyx7mTQqfigRSfK4hANXPl
https://www.facebook.com/thaprachan2/posts/pfbid0U75sPGgGVBWP3bo1D6i6hX9XaypNw6jQEcVvU2ueYMQNqZFq7twWkUrHeFQkhrn7l
เศรษฐา บุกฟังปัญหาชาวนาอยุธยา โวพร้อมเพิ่มเงินให้ 3 เท่า รอฟังนโยบายใหญ่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7551988
เศรษฐา บุกอยุธยา รับฟังปัญหาชาวนากลางทุ่งผักไห่ โวพร้อมเพิ่มเงินในกระเป๋าชาวนา 3 เท่า แย้มเตรียมประกาศนโยบายใหญ่ รับรองฮือฮา กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร
เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 10 มี.ค.2566 ที่อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย และนายสัตว
แพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการด้านการเกษตรสมัยใหม่ ฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นาย
อัณณพ อารีย์วงศ์สกุล นาย
สุรเชษฐ์ ชัยโกศล นาย
องอาจ วชิรพงศ์ นาย
จิรทัศ ไกรเดชา และนาย
อาทิตย์ ภาคอินทรีย์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรชาวนา โดยชาวนาได้สะท้อนปัญหาเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร ปุ๋ยแพง รวมถึงอยากให้ข้าวมีราคาสูงขึ้นกว่านี้ ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อตัน และปัญหาหนี้สินของเกษตรกรด้วย
นาย
เศรษฐา กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ลงพื้นที่นี้เป็นจังหวัดแรก เพื่อรับฟังความอัดอั้นตันใจของชาวนา ทราบว่าปัญหาเยอะเหลือเกิน แต่ 8 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในหลุมดำของกับดักรายได้ต่ำ ราคาข้าวไม่ดี ผลผลิตไม่ดี และมีปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งมาตลอด ยืนยันว่าปัญหาน้ำท่วมเรามีแผนงานทำฟลัดเวย์หรือพื้นที่กักน้ำเพื่อแบ่งเบาภาระในช่วงน้ำหลาก เรื่องน้ำแล้งนั้น จะต้องขุดบ่อและนำปั๊มน้ำเข้ามาในพื้นที่
ส่วนปัญหาหนี้สิน เป็นปัญหาใหญ่ที่พรรคตระหนัก เนื่องจากราคาข้าวที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญหรือเปิดตลาดใหม่ ซึ่งพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไม่ทำหน้าที่เซลล์แมนขายของเลย ถ้าพรรค ได้รับความไว้วางใจกรุยทางถนนเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล ก็จะเข้าไปจัดการค้าขายกับต่างประเทศ ยกระดับราคาสินค้าเกษตร รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องระบบสาธารณสุขในการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคด้วย เรามีความจริงใจ ตั้งใจจริงที่จะหาทางแก้และช่วยเหลือพี่น้องอย่างเต็มที่
จากนั้นนาย
เศรษฐา ให้สัมภาษณ์กรณีชาวนาสะท้อนเรื่องปุ๋ยแพงและราคาข้าวตกต่ำว่า ราคาเป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง หากราคาแพงต้นทุนก็จะสูง เงินเข้ากระเป๋าก็จะน้อย หน้าที่ของพรรคเพื่อไทย คือ ต้องเพิ่มเงินสุทธิเข้ากระเป๋าให้มากขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า ทั้งการลดราคาสินค้าและค่าใช้จ่าย ส่วนปัญหาปุ๋ยแพงนั้น ยอมรับว่าเป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกที่ควบคุมได้ยาก จึงมีนโยบายสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในท้องถิ่น เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะทำให้เราควบคุมราคาปุ๋ยได้
เมื่อถามว่า 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาข้าวได้ มั่นใจหรือไม่ว่าพรรคจะทำได้ นาย
เศรษฐา กล่าวว่า คงไม่สามารถพูดถึง 8 ปีที่ผ่านมาได้ แต่ทราบถึงความอึดอัด ไม่มีความสุข ที่ราคาพืชผลตกต่ำ แต่ตนมั่นใจว่าพรรคทำได้ในหลายมิติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ส่วนที่พรรค เคยประสบปัญหาเรื่องนโยบายจำนำข้าว นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้ความสำคัญเรื่องเงินสุทธิที่จะเข้ากระเป๋าชาวนา เรื่องการจำนำข้าวเป็นเรื่องของราคาอย่างเดียว นโยบายของพรรคเป็นนโยบายโดยรวมเพื่อให้ชาวนามีเงินในกระเป๋า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะสูงกว่าเดิมถึง 3 เท่า คงไม่ใช่แค่เรื่องจำนำข้าวอย่างเดียว
เมื่อถามถึงพื้นที่อ.ผักไห่ เป็นพื้นที่รับน้ำและที่ผ่านมารับน้ำนานถึง 4 เดือน พรรคมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องน้ำอย่างไร เพื่อให้มีการระบายน้ำในพื้นที่ได้เร็วขึ้น นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ทั้งระบบ ว่าทำไมถึงเป็นพื้นที่รับน้ำและรับน้ำนานถึง 4 เดือน จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดก่อน แต่แน่นอนว่าพื้นที่ที่เดือดร้อนต้องมีวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน
เมื่อถามถึงเปิดนโยบายอีก 4 นโยบายใหญ่ของพรรคที่วางไว้จะเปิดวันที่ 17 มี.ค. นาย
เศรษฐา กล่าวว่าขอให้รอดู เราจะมีการประกาศนโยบายใหญ่ ซึ่งจะเป็นนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้มโหฬาร
ส่วนที่นาย
เศรษฐาโอนหุ้นและขายหุ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในทางการเมือง นาย
เศรษฐา กล่าวว่า ตนได้โอนหุ้นให้ลูกสาวซึ่งบรรลุนิติภาวะเรียบร้อยแล้ว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการเข้าสู่การเมือง โดยไม่เอาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ของบริษัทมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งผู้ที่รับก็จะต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นาย
เศรษฐา ได้นั่งจับเข่าพูดคุยรับฟังปัญหากับพี่น้องชาวนาบนรถอีแต๊กกลางทุ่งนา และล้อมวงรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกันอย่างเป็นกันเอง โดยเป็นเมนูข้าวแกงและขนมจีนน้ำยา ซึ่งนายเศรษฐา บอกว่า เป็นกับข้าวถูกปากและอร่อยดี
นอกจากนี้ระหว่างนั่งล้อมวงกินข้าว นาย
เศรษฐา ยังกล่าวกับชาวบ้านว่า ทานเป็นอย่างเดียว ทำไม่เป็น ไม่เหมือนพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ท่านน่ารัก ตนว่าท่านทำกับข้าวเก่งจริงๆ แต่ตนทำไม่เป็น
โรม ชี้ ‘เพื่อไทย’ มีสิทธิฝันแลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง ลั่นกวาดส.ส.70 อัพ ยันก้าวไกลไม่ได้ดีแต่พูด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3865954
‘โรม’ ชี้ ‘เพื่อไทย’ มีสิทธิฝันแลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง เผย ‘ก้าวไกล’ พิสูจน์แล้วไม่ได้ดีแต่พูด ปชช.เทใจพาชนะ 70 อัพ หวังป๊อปปูลาร์โหวต 9 ล้านคะแนน ย้ำจุดยืนไม่ร่วมรัฐบาล ‘รทสช.-พปชร.’
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศแลนด์สไลด์ ส.ส. 310 ที่นั่ง และหวังจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ว่า ทุกพรรคมีสิทธิเสนอเป้าหมาย ส่วนพรรค ก.ก. พยายามให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์นโยบาย และใช้ความสดใหม่ของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ลงพื้นที่ เพื่อทำแต้ม และเชื่อว่าคะแนนจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะระดับเขต นอกจากนี้ พรรค ก.ก.ยังมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพราะโจทย์ของประเทศไทยคือการออกจากมรดกของคณะรัฐประหาร เพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
เมื่อถามย้ำว่า การที่พรรค พท. ประกาศตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เป็นการสื่อสารไปถึงใคร เพราะช่วงหลัง พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. อาสาเป็นโซ่กลางก้าวข้ามความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม และฝ่ายเสรีนิยม นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า พล.อ.
ประวิตร จะมาชุบตัว บอกว่า ตัวเองอยู่ข้างประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ ตลอด 8 ปี ที่ผ่านมาไม่ได้พยายามหยุดยั้งความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับระบอบประชาธิปไตย และเข้าร่วมกับ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอด พรรค ก.ก. จึงมองทั้งสองคนเป็นเนื้อเดียวกัน เราจึงไม่ให้ราคาในสิ่งที่ พล.อ.
ประวิตร เสนอ ส่วนพรรค พท. ก็มีสิทธิวาดฝัน แต่เราต้องยอมรับว่า ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องเผชิญกับความท้าทาย ตนเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ การจัดตั้งรัฐบาล ต้องรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าจะให้ปลอดภัย ต้องรวมเสียงให้ได้ 270 เสียง
JJNY : 5in1 ปริญญาแนะคนดี│เศรษฐาฟังปัญหาชาวนา│โรมลั่นกวาดส.ส.70 อัพ│คอมเมนต์พรึบ│จีนสวมบทไกล่เกลี่ยสงครามยูเครน-รัสเซีย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3866491
ปริญญา เปิดเหตุผล ‘ป๋วย’ เป็นอมตะ คารวะ ขรก.ผู้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยคิดหาประโยชน์ใส่ตัว แนะคนดีที่รับเงินหลายทาง เอาอย่าง
ในวาระครบรอบ 107 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และสมาชิกขบวนการเสรีไทย ผู้ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะในปี พ.ศ.2508 ซึ่งยูเนสโก เคยยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในโอกาสฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาล (9 มี.ค.2559) นั้น
เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อเขียนรำลึกผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระบุถึงเหตุผลที่ ศ.ดร.ป๋วย เป็นอธิการบดีที่ผู้คนจดจำมากที่สุดว่า
ทำไมอาจารย์ป๋วยจึงเป็นอมตะ?
ข้อเขียนในวาระวันเกิดอาจารย์ป๋วย
อาจารย์ป๋วยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพียงแค่ 2 ปี เพราะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้อาจารย์ป๋วยต้องลี้ภัยไปต่างประเทศจวบจนสิ้นอายุขัยในปี 2542
แต่อาจารย์ป๋วยกลับเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์ที่คนจดจำมากที่สุด อาจจะไม่เป็นรองอาจารย์ปรีดีซึ่งเป็นผู้ประศาสน์การด้วยซ้ำ เหตุผลสำคัญที่สุดคือความเป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต และทำงานให้แก่ส่วนรวมโดยไม่เคยหาประโยชน์ใส่ตนแม้เพียงสักครั้ง ซึ่งก็เหมือนอาจารย์ปรีดี และเป็นคุณงามความดีของอาจารย์ป๋วยมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นอธิการบดี
อย่างในตอนที่เป็น ‘ผู้ว่าการธนาคารชาติ’ แล้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เชิญให้มาเป็น ‘คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์’ ในปี 2507 ระเบียบราชการขณะนั้นคือ ถ้ารับตำแหน่ง 2 ที่ จะต้องเลือกรับเงินเดือนตำแหน่งหนึ่งเพียงครึ่งเดียว เงินเดือนผู้ว่าแบงค์ชาติคือ 50,000 บาท ส่วนเงินเดือนคณบดีเศรษฐศาสตร์คือ 8,000 บาท แทนที่จะเลือกรับเงินเดือนคณบดีครึ่งเดียว อาจารย์ป๋วยกลับเลือกรับเงินเดือนผู้ว่าแบงค์ชาติครึ่งเดียว ผลคือทำงานเพิ่มเป็นสองที่แต่ได้เงินเดือนน้อยลง คือจากที่เคยได้ 50,000 บาท เหลือแค่ 33,000 บาท
คนถามอาจารย์ป๋วยว่าทำไมจึงไม่เลือกรับเงินเดือนครึ่งหนึ่งในตำแหน่งคณบดีเศรษฐศาสตร์? อาจารย์ป๋วยตอบว่า “ผมทำงานให้แบงค์ชาติเหลือครึ่งเดียว ผมจะรับเงินเดือนเต็มได้อย่างไร”
แล้วในตอนที่อาจารย์ป๋วยพ้นตำแหน่งผู้ว่าแบงค์ชาติแล้วลาไปทำวิจัยที่เคมบริดจ์ อาจารย์ป๋วยก็ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัย ขอไม่รับเงินเดือนที่คณะเศรษฐศาสตร์ “เพราะไม่ได้ทำงาน”
นี่แหละคืออาจารย์ป๋วยของชาวธรรมศาสตร์ ข้าราชการผู้ซื่อสัตย์สุจริตที่ไม่เคยคิดหาประโยชน์ใส่ตัว และนี่แหละที่ทำให้ที่ทำให้อาจารย์ป๋วยเป็น ‘อมตะ’ ในวาระที่วันเกิดอาจารย์ป๋วยเวียนมาอีกครั้งในวันที่ 9 มีนาคม ผมจึงขอคารวะอาจารย์ด้วยบทกวีที่ผมแต่งไว้ตอนที่อาจารย์ป๋วยเสีย โดยขอยกมาเฉพาะในท่อนสุดท้ายว่า
“จากไปแล้วแต่จากไปเพียงกายา คุณธรรมสันติประชาไม่อาสัญ ป๋วยจักอยู่คู่ปรีดีที่แดนธรรม์ ไม่มีวันตายจากไปจากใจชน!”
ในยุคสมัยที่มีคนจำนวนไม่น้อยชอบอ้างตนว่าเป็นคนดี หรืออ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่กลับทุจริต มีประโยชน์ทับซ้อน หรือรับเงินเต็มสองสามทาง เราจึงต้องยกย่องและเอาอย่างอาจารย์ป๋วย คือ ทำงานให้ประชาชนโดยไม่แสวงหาประโยชน์ใส่ตน! ขอคารวะอาจารย์ป๋วยครับ
ด้าน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก็ได้โพสต์ข้อความรำลึกด้วยว่า
9 มีนาคม วันป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปี 2566 นี้ครบ 107 ปีชาตกาลของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์
ศ.ดร.ป๋วย ยังเป็นอธิการบดีคนสำคัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเป็นผู้มีคุณูปการอย่างยิ่งในการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ ทั้งในเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการบริหารบ้านเมือง
“…ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม…
…เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายแบบโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามการเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำ หรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ….”
https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/pfbid0zvkAWjw8yBsHxaRMCQAw9gA1W7LsJN8XyeskHbPxJxLKyx7mTQqfigRSfK4hANXPl
https://www.facebook.com/thaprachan2/posts/pfbid0U75sPGgGVBWP3bo1D6i6hX9XaypNw6jQEcVvU2ueYMQNqZFq7twWkUrHeFQkhrn7l
เศรษฐา บุกฟังปัญหาชาวนาอยุธยา โวพร้อมเพิ่มเงินให้ 3 เท่า รอฟังนโยบายใหญ่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7551988
เศรษฐา บุกอยุธยา รับฟังปัญหาชาวนากลางทุ่งผักไห่ โวพร้อมเพิ่มเงินในกระเป๋าชาวนา 3 เท่า แย้มเตรียมประกาศนโยบายใหญ่ รับรองฮือฮา กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร
เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 10 มี.ค.2566 ที่อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย และนายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการด้านการเกษตรสมัยใหม่ ฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายอัณณพ อารีย์วงศ์สกุล นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล นายองอาจ วชิรพงศ์ นายจิรทัศ ไกรเดชา และนายอาทิตย์ ภาคอินทรีย์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรชาวนา โดยชาวนาได้สะท้อนปัญหาเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร ปุ๋ยแพง รวมถึงอยากให้ข้าวมีราคาสูงขึ้นกว่านี้ ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อตัน และปัญหาหนี้สินของเกษตรกรด้วย
นายเศรษฐา กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ลงพื้นที่นี้เป็นจังหวัดแรก เพื่อรับฟังความอัดอั้นตันใจของชาวนา ทราบว่าปัญหาเยอะเหลือเกิน แต่ 8 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในหลุมดำของกับดักรายได้ต่ำ ราคาข้าวไม่ดี ผลผลิตไม่ดี และมีปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งมาตลอด ยืนยันว่าปัญหาน้ำท่วมเรามีแผนงานทำฟลัดเวย์หรือพื้นที่กักน้ำเพื่อแบ่งเบาภาระในช่วงน้ำหลาก เรื่องน้ำแล้งนั้น จะต้องขุดบ่อและนำปั๊มน้ำเข้ามาในพื้นที่
ส่วนปัญหาหนี้สิน เป็นปัญหาใหญ่ที่พรรคตระหนัก เนื่องจากราคาข้าวที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญหรือเปิดตลาดใหม่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไม่ทำหน้าที่เซลล์แมนขายของเลย ถ้าพรรค ได้รับความไว้วางใจกรุยทางถนนเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาล ก็จะเข้าไปจัดการค้าขายกับต่างประเทศ ยกระดับราคาสินค้าเกษตร รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องระบบสาธารณสุขในการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรคด้วย เรามีความจริงใจ ตั้งใจจริงที่จะหาทางแก้และช่วยเหลือพี่น้องอย่างเต็มที่
จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์กรณีชาวนาสะท้อนเรื่องปุ๋ยแพงและราคาข้าวตกต่ำว่า ราคาเป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง หากราคาแพงต้นทุนก็จะสูง เงินเข้ากระเป๋าก็จะน้อย หน้าที่ของพรรคเพื่อไทย คือ ต้องเพิ่มเงินสุทธิเข้ากระเป๋าให้มากขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า ทั้งการลดราคาสินค้าและค่าใช้จ่าย ส่วนปัญหาปุ๋ยแพงนั้น ยอมรับว่าเป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกที่ควบคุมได้ยาก จึงมีนโยบายสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในท้องถิ่น เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งจะทำให้เราควบคุมราคาปุ๋ยได้
เมื่อถามว่า 8 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาข้าวได้ มั่นใจหรือไม่ว่าพรรคจะทำได้ นายเศรษฐา กล่าวว่า คงไม่สามารถพูดถึง 8 ปีที่ผ่านมาได้ แต่ทราบถึงความอึดอัด ไม่มีความสุข ที่ราคาพืชผลตกต่ำ แต่ตนมั่นใจว่าพรรคทำได้ในหลายมิติ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
ส่วนที่พรรค เคยประสบปัญหาเรื่องนโยบายจำนำข้าว นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้ความสำคัญเรื่องเงินสุทธิที่จะเข้ากระเป๋าชาวนา เรื่องการจำนำข้าวเป็นเรื่องของราคาอย่างเดียว นโยบายของพรรคเป็นนโยบายโดยรวมเพื่อให้ชาวนามีเงินในกระเป๋า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะสูงกว่าเดิมถึง 3 เท่า คงไม่ใช่แค่เรื่องจำนำข้าวอย่างเดียว
เมื่อถามถึงพื้นที่อ.ผักไห่ เป็นพื้นที่รับน้ำและที่ผ่านมารับน้ำนานถึง 4 เดือน พรรคมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องน้ำอย่างไร เพื่อให้มีการระบายน้ำในพื้นที่ได้เร็วขึ้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ทั้งระบบ ว่าทำไมถึงเป็นพื้นที่รับน้ำและรับน้ำนานถึง 4 เดือน จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดก่อน แต่แน่นอนว่าพื้นที่ที่เดือดร้อนต้องมีวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน
เมื่อถามถึงเปิดนโยบายอีก 4 นโยบายใหญ่ของพรรคที่วางไว้จะเปิดวันที่ 17 มี.ค. นายเศรษฐา กล่าวว่าขอให้รอดู เราจะมีการประกาศนโยบายใหญ่ ซึ่งจะเป็นนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้มโหฬาร
ส่วนที่นายเศรษฐาโอนหุ้นและขายหุ้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในทางการเมือง นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนได้โอนหุ้นให้ลูกสาวซึ่งบรรลุนิติภาวะเรียบร้อยแล้ว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการเข้าสู่การเมือง โดยไม่เอาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์ของบริษัทมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งผู้ที่รับก็จะต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายเศรษฐา ได้นั่งจับเข่าพูดคุยรับฟังปัญหากับพี่น้องชาวนาบนรถอีแต๊กกลางทุ่งนา และล้อมวงรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกันอย่างเป็นกันเอง โดยเป็นเมนูข้าวแกงและขนมจีนน้ำยา ซึ่งนายเศรษฐา บอกว่า เป็นกับข้าวถูกปากและอร่อยดี
นอกจากนี้ระหว่างนั่งล้อมวงกินข้าว นายเศรษฐา ยังกล่าวกับชาวบ้านว่า ทานเป็นอย่างเดียว ทำไม่เป็น ไม่เหมือนพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ท่านน่ารัก ตนว่าท่านทำกับข้าวเก่งจริงๆ แต่ตนทำไม่เป็น
โรม ชี้ ‘เพื่อไทย’ มีสิทธิฝันแลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง ลั่นกวาดส.ส.70 อัพ ยันก้าวไกลไม่ได้ดีแต่พูด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3865954
‘โรม’ ชี้ ‘เพื่อไทย’ มีสิทธิฝันแลนด์สไลด์ 310 ที่นั่ง เผย ‘ก้าวไกล’ พิสูจน์แล้วไม่ได้ดีแต่พูด ปชช.เทใจพาชนะ 70 อัพ หวังป๊อปปูลาร์โหวต 9 ล้านคะแนน ย้ำจุดยืนไม่ร่วมรัฐบาล ‘รทสช.-พปชร.’
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศแลนด์สไลด์ ส.ส. 310 ที่นั่ง และหวังจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ว่า ทุกพรรคมีสิทธิเสนอเป้าหมาย ส่วนพรรค ก.ก. พยายามให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์นโยบาย และใช้ความสดใหม่ของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ลงพื้นที่ เพื่อทำแต้ม และเชื่อว่าคะแนนจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะระดับเขต นอกจากนี้ พรรค ก.ก.ยังมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่จับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพราะโจทย์ของประเทศไทยคือการออกจากมรดกของคณะรัฐประหาร เพื่อสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
เมื่อถามย้ำว่า การที่พรรค พท. ประกาศตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เป็นการสื่อสารไปถึงใคร เพราะช่วงหลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. อาสาเป็นโซ่กลางก้าวข้ามความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม และฝ่ายเสรีนิยม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะมาชุบตัว บอกว่า ตัวเองอยู่ข้างประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ ตลอด 8 ปี ที่ผ่านมาไม่ได้พยายามหยุดยั้งความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับระบอบประชาธิปไตย และเข้าร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอด พรรค ก.ก. จึงมองทั้งสองคนเป็นเนื้อเดียวกัน เราจึงไม่ให้ราคาในสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร เสนอ ส่วนพรรค พท. ก็มีสิทธิวาดฝัน แต่เราต้องยอมรับว่า ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องเผชิญกับความท้าทาย ตนเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ การจัดตั้งรัฐบาล ต้องรวมเสียงให้ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าจะให้ปลอดภัย ต้องรวมเสียงให้ได้ 270 เสียง