เจ้าของบริษัทขายสระน้ำ เครียด ปัญหาธุรกิจรมควันในรถ เมียเผยไม่รู้เลยว่าจะคิดสั้น
https://www.matichon.co.th/region/news_3847946
เจ้าของบริษัทขายสระน้ำ เครียด ปัญหาธุรกิจรมควันในรถ เมียเผยไม่รู้เลยว่าจะคิดสั้น
เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ร.ต.ท.
ณัฐิดา สัมดี ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุโพธิ์ทองว่า เกิดเหตุมีผู้รมควันฆ่าตัวตายภายในรถยนต์ ที่บริเวณด้านหน้าโกดัง ซอย 17 ต.โพธิ์ อ.เมืองศรีสะเกษ จึงได้รายงานให้ พ.ต.อ.
ณัฐกิตติ์ เกษสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษทราบ และรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.ท.
บุญธรราม ฝั่งสระ รอง ผกก.(ส.) พ.ต.ท.
อภิรักษ์ บุญหนัก รอง ผกก.(ป.) เจ้าหน้าที่ ตร.ชุดสายตรวจ เจ้าหน้าที่ ตร.พิสูจน์หลักฐานแพทย์เวร รพ.ศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างจิตต์ศรีสะเกษธรรมสถาน
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์ปิคอัพยี่ห้อฟอร์ด 4 ประตู สีดำ หมายเลขทะเบียน กน 1769 ศรีสะเกษ จอดอยู่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าโกดังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นสินค้าประเภทสระน้ำขนาดเล็ก สนามเด็กเล่นจำนวนมาก ภายในรถปิคอัพพบร่างของชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเหลืองและสวมกางเกงขาสั้นสีแสด ทราบชื่อภายหลังคือ นาย
เอกชัย อายุ 50 ปี เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง บริเวณที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับพบเตาอั้งโล่และถาดอะลูมิเนียมวางรองเตาอั้งโล่อยู่ จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายทำให้เสียชีวิตแต่อย่างใด มีภรรยาและญาติพี่น้องพากันร่ำไห้อย่างน่าเวทนา
จากการสอบสวนเบื้องต้น นาย
บุญมาก พวงแสน อายุ 39 ปี พนักงานของบริษัทที่มาพบศพคนแรก เล่าว่า ผู้ที่เสียชีวิตเป็นเจ้าของ บริษัทเกี่ยวกับสระว่ายน้ำ ที่ตนทำงานอยู่ด้วยมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ พวกตนมาทำงานปกติและพบว่า รถปิคอัพของเสี่ย
บอยจอดอยู่ด้านหน้าโกดัง และเมื่อเข้าไปดูพบว่า เสี่ย
บอยนอนอยู่ในรถ ตนจึงได้เคาะกระจกรถ แต่เสี่ย
บอยไม่ยอมตื่น ตนจึงได้ลองเปิดประตูรถและพบว่ารถไม่ได้ล็อก เมื่อเปิดประตูรถออกมาพบว่ามีควันไฟเต็มรถกระจายออกมา และพบว่าเสี่ย
บอยนอนเสียชีวิตภายในรถปิคอัพ ตนจึงได้รีบโทรศัพท์แจ้งให้ภรรยาของเสี่ยบอยทราบ
น.ส.
ฑิฆัมพร ภรรยาของผู้เสียชีวิตเล่าว่า เมื่อคืนนี้ ตนกับเสี่ยบอยสามีก็นอนพูดคุยกันตามปกติ พอตื่นมาพบว่าสามีตื่นไปทำงานก่อนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เสี่ย
บอยสามีของตนจะลุกขึ้นไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน ตนจึงได้ไปส่งลูกที่ ร.ร. และพอได้รับโทรศัพท์จากคนงาน จึงได้รีบมาดูสามีและพบว่ารมควันฆ่าตัวตายแล้ว ส่วนสาเหตุการฆ่าตัวตายนั้น ปัญหาในครอบครัวไม่มีแต่อย่างใด แต่ว่าเสี่ย
บอยมักจะบ่นกับตนเรื่องปัญหาธุรกิจ เนื่องจากว่าช่วงนี้ขายสินค้าไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้มีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ตนไม่คิดว่า สามีของตนจะคิดสั้นมาฆ่าตัวตายแบบนี้ ซึ่งตนไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตแต่อย่างใด
ทางด้าน พ.ต.ท.
บุญธรรม ฝั่งสระ รอง ผกก.(ส.) สภ.เมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า ทางแพทย์ รพ.ศรีสะเกษ จะต้องทำการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตของนาย
เอกชัย ตามระเบียบ จากนั้นเมื่อทางญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ก็จะได้มอบศพให้ญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
‘แอมเนสตี้’ ยื่น 3 ข้อเรียกร้อง ค้าน พ.ร.ก.อุ้มหายฯ ‘ฝ่ายค้าน’ โดดรับ จัดเต็มอภิปราย หวั่นโดนคว่ำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3847860
‘แอมเนสตี้’ ยื่น ฝ่ายค้าน ชง 3 ข้อเรียกร้อง ค้าน พ.ร.ก.อุ้มหายฯ ‘ฝ่ายค้าน’ โดดรับ จัดเต็มอภิปรายในสภา เผย ส่อโดนคว่ำเหตุ ส.ส.ไม่เห็นด้วย
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา กลุ่มแอมเนสตี้ ประเทศไทย ตัวแทนนักกิจกรรมและญาติผู้เสียหายจากการทรมานและอุ้มหายยื่นข้อเรียกร้องต่อ พรรคร่วมฝ่ายค้าน อาทิ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคเสรีรวมไทย (สร.)
โดย น.ส.
ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ กล่าวว่า ทางกลุ่มได้ติดตามความคืบหน้าของพระราชบัญญัติ (พ.ร.ก.) ดังกล่าวที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ มาโดยตลอด แต่การชะลอการบังคับใช้กฎหมายที่มีการผลักดันมามากกว่า 10 ปี และถือเป็นกฎหมายสำคัญที่นำไปสู่การป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลายประการที่ทางการไทยได้ประกาศไว้ในเวทีโลก อีกทั้งยังนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาลในการ ช่วยเหลือผู้เสียหายและครอบครัวให้ได้รับสิทธิเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรมจากกรณีที่ถูกทรมานและบังคับให้สูญหาย
“
การที่ ค.ร.ม.มีมติขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในมาตรา 22-25 ออกไปนั้น ส่งผลให้ผู้เสียหายไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรม และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายคนอื่นไม่กล้าออกมาร้องเรียน ทั้งยังส่งสัญญาณต่อเจ้าพนักงานว่า พวกเขาอาจกระทำการละเมิดเช่นนี้ได้อีกโดยไม่ต้องรับโทษ” น.ส.
ปิยนุชกล่าว
น.ส.
ปิยนุชกล่าวต่อว่า ดังนั้น แอมเนสตี้ จึงมีข้อเรียกร้อง
1. ประกาศใช้ พ.ร.บ.ทั้งฉบับ โดยไม่มีการยกเว้นบางมาตรา
2. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำระเบียบหรือข้อกฎหมายย่อยในระดับกระทรวง เพื่อให้การปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เป็นไปตามกฎหมาย และติดตามการปฏิบัติของหน่วยงานต่างๆ อีกทั้ง ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นในการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างถูกต้องสมบูรณ์และโดยเร็วที่สุด
และ 3. การบังคับใช้จะต้องมีการประกาศ สื่อสาร และทําความเข้าใจกับสังคม ในการเข้าถึงของกลไก มาตรการ และสิทธิที่ประชาชนมีภายใต้กฎหมาย ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อันเป็นผลประโยชน์สูงสุดในการคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิของประชาชน
ด้านนาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวว่า ข้อเสนอแอสเนสตี้นั้นสอดคล้องกับข้อเสนอของพรรค ก.ก.ที่สนับสนุนการออกกฎหมายฉบับนี้มาตลอด เรามีความหวังอย่างสูงว่าในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นั้น จะทำให้ประเทศไทยเข้าถึงอารยประเทศต่อสิทธิ์ที่ทำให้เกิดความมั่นใจต่อประชาชน ต่อสิทธิเสรีภาพของนักเคลื่อนไหว นักกิจกรรมตลอดจนถึงประชาชนทุกคนว่า จะไม่มีการซ้อมทรมานหรือการอุ้มหายเกิดขึ้นอีกในประเทศไทย และต้องให้ความเป็นธรรมกับกรณีที่มีการซ้อมอุ้มหายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่สิ่งที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉบับนี้มา แม้จะเป็นเพียงบางมาตราและอ้างเรื่องเวลาที่ไม่นานนัก คือถึงวันที่ 30 กันยายน และมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเราเป็นอย่างยิ่ง
“
นี่คือเจตนาในการเตะถ่วงและไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญที่พวกเขาอ้างมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาเพื่อเขา ท่านอ้างเรื่องความไม่พร้อม ทั้งที่ท่านมีเวลาเตรียมตัว ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านและมี ส.ส.ของรัฐบาลอีกจำนวนไม่น้อยที่จะโหวตคว่ำร่าง พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลว่า มีความพยายามที่จะเข้าชื่อเพื่อให้มีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เข้าชื่อและยื่นในขณะที่มีการอภิปราย จะทำให้การอภิปรายต้องหยุดทันที ตนคิดว่าเป็นการไม่เคารพต่ออำนาจที่ประชาชนมอบให้พวกเรา
น.ส.
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรค พท. กล่าวว่า มติของพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เห็นชอบต่อกฎหมายฉบับนี้ และจะอภิปรายประเด็นนี้ เพื่อจะคว่ำ พ.ร.ก.ฉบับนี้ออกไป ยืนยันว่าข้อเรียกร้องทุกองค์กรที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เราได้ยินเสียง เรารับไว้และจะดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถและจะเรียกร้องให้ภาครัฐได้ยินเสียงของพวกเรา
พท.เปิด 3 ความจริง สู่ 1 เจตจำนง ยกระดับรายได้ ป.ตรี พลิกชีวิต ขรก. พนักงานเงินเดือน นศ.จบใหม่
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7534532
เพื่อไทย เปิด 3 ความจริง สู่ 1 เจตจำนง ยกระดับรายได้ ปริญญาตรี 25,000 บาท พลิกชีวิต ข้าราชการ พนักงานเงินเดือน นักศึกษาจบใหม่
28 ก.พ. 66 – ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคพท. และผอ.ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทว่า
มีความจริง 3 ข้อ คือ
หนึ่ง 11 ปีที่แล้วรัฐบาล น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยกระดับเงินเดือน ป.ตรี เป็น 15,000 บาทได้สำเร็จ หลังจากนั้นกลับถูกละเลยโดยรัฐบาลต่อมา เงินเดือน ป.ตรี ก็ย่ำอยู่กับที่ ขณะที่ค่าครองชีพขึ้นกว่า 17% ผลิตภาพแรงงานโตกว่า 20%
ตัวเลขทั้งสองชี้ว่า พนักงานเงินเดือนสร้างให้เศรษฐกิจโต แต่กลับไม่ได้ผลตอบแทนที่ควรได้รับ และไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
2. Gen Y และ Gen Z หรือ คนกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ เป็นประชากรวัยทำงานช่วงต้น คือกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่คนกลุ่มนี้กำลังจมอยู่ในวังวนหนี้ และ 25% ของคนเป็นหนี้เป็นหนี้เสีย สาเหตุหลักคือรายได้โตไม่ทันค่าครองชีพ รายได้ไม่พอรายจ่าย ปลายทางจึงคือก่อวงวันหนี้ที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า 3. คนไทยแก่ไปพร้อมกับกองหนี้ สาเหตุหลักคือรายได้ไม่เพียงพอในช่วงวัยทำงาน ซึ่งการแก้โดยสวัสดิการผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ทางออก เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
วันนี้ พรรค พท. จะแก้ที่ต้นเหตุ เราจะสร้างรายได้ให้กับคนวัยทำงาน ให้แก่ไปพร้อมกับเงินเก็บ ไม่ใช่แก่ไปพร้อมกับกองหนี้ ความจริงทั้ง 3 ข้อ เป็นที่มาสู่ 1 เจตจำนงที่ พรรคพท. จะยกระดับรายได้คนวัยทำงานทั้งระบบ ยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงานเงินเดือน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงนักศึกษาที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน ด้วยนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท
นาย
เผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า จริงอยู่ที่ระบบราชการล้าหลังและล้มเหลว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าราชการคือแพะรับบาป พวกเขากำลังลำบาก เงินเดือนข้าราชการเทียบไม่ได้กับภาคเอกชน ทั้งเริ่มต้นต่ำและโตช้า และระบบราชการไม่สามารถดึงดูดคนเก่งเข้าทำงานได้ จากผลตอบแทนที่ต่ำ
นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 จะยกระดับรายได้บุคคลากรภาครัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และผลิตภาพข้าราชการ โดยไม่ให้กระทบภาระทางการคลัง และทำควบคู่กับการยกเครื่องระบบราชการทั้งระบบให้เล็ก เร็ว คล่องตัว ด้วยรัฐบาลดิจิทัล ใช้ Blockchain เข้าบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดทั้งความโปร่งใสและประสิทธิภาพ และประโยชน์ต่อประชาชน
ส่งนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท จะถูกเหนี่ยวนำต่อจากภาครัฐ สร้างตลาดแรงงานที่เกิดการแข่งขันสูงด้วยกลไกตลาด ผนวกกับเมื่อเศรษฐกิจโตขึ้น รายได้ภาคเอกชนมากขึ้น กำลังจ่ายที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนสามารถเดินสู่เป้าหมายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท เช่นเดียวกับภาครัฐ นั่นคือจุดหมายปลายทาง
วันนี้ พท.ต้องการเห็นข้าราชการยิ้มได้ นักศึกษาจบใหม่เข้าตลาดแรงงานด้วยความหวัง และพนักงานเงินเดือนหลุดจากวังวนหนี้ ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือเจตจำนงของเรา
JJNY : เครียด ปัญหาธุรกิจรมควันในรถ│‘แอมเนสตี้’ยื่น 3ข้อเรียกร้อง│พท.เปิด 3ความจริง สู่ 1เจตจำนง│"ปดิพัทธ์"ตามคำท้า"ตู่"
https://www.matichon.co.th/region/news_3847946
เจ้าของบริษัทขายสระน้ำ เครียด ปัญหาธุรกิจรมควันในรถ เมียเผยไม่รู้เลยว่าจะคิดสั้น
เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ร.ต.ท.ณัฐิดา สัมดี ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุโพธิ์ทองว่า เกิดเหตุมีผู้รมควันฆ่าตัวตายภายในรถยนต์ ที่บริเวณด้านหน้าโกดัง ซอย 17 ต.โพธิ์ อ.เมืองศรีสะเกษ จึงได้รายงานให้ พ.ต.อ.ณัฐกิตติ์ เกษสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษทราบ และรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.ท.บุญธรราม ฝั่งสระ รอง ผกก.(ส.) พ.ต.ท.อภิรักษ์ บุญหนัก รอง ผกก.(ป.) เจ้าหน้าที่ ตร.ชุดสายตรวจ เจ้าหน้าที่ ตร.พิสูจน์หลักฐานแพทย์เวร รพ.ศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างจิตต์ศรีสะเกษธรรมสถาน
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์ปิคอัพยี่ห้อฟอร์ด 4 ประตู สีดำ หมายเลขทะเบียน กน 1769 ศรีสะเกษ จอดอยู่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าโกดังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นสินค้าประเภทสระน้ำขนาดเล็ก สนามเด็กเล่นจำนวนมาก ภายในรถปิคอัพพบร่างของชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเหลืองและสวมกางเกงขาสั้นสีแสด ทราบชื่อภายหลังคือ นายเอกชัย อายุ 50 ปี เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง บริเวณที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับพบเตาอั้งโล่และถาดอะลูมิเนียมวางรองเตาอั้งโล่อยู่ จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้ายทำให้เสียชีวิตแต่อย่างใด มีภรรยาและญาติพี่น้องพากันร่ำไห้อย่างน่าเวทนา
จากการสอบสวนเบื้องต้น นายบุญมาก พวงแสน อายุ 39 ปี พนักงานของบริษัทที่มาพบศพคนแรก เล่าว่า ผู้ที่เสียชีวิตเป็นเจ้าของ บริษัทเกี่ยวกับสระว่ายน้ำ ที่ตนทำงานอยู่ด้วยมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ พวกตนมาทำงานปกติและพบว่า รถปิคอัพของเสี่ยบอยจอดอยู่ด้านหน้าโกดัง และเมื่อเข้าไปดูพบว่า เสี่ยบอยนอนอยู่ในรถ ตนจึงได้เคาะกระจกรถ แต่เสี่ยบอยไม่ยอมตื่น ตนจึงได้ลองเปิดประตูรถและพบว่ารถไม่ได้ล็อก เมื่อเปิดประตูรถออกมาพบว่ามีควันไฟเต็มรถกระจายออกมา และพบว่าเสี่ยบอยนอนเสียชีวิตภายในรถปิคอัพ ตนจึงได้รีบโทรศัพท์แจ้งให้ภรรยาของเสี่ยบอยทราบ
น.ส.ฑิฆัมพร ภรรยาของผู้เสียชีวิตเล่าว่า เมื่อคืนนี้ ตนกับเสี่ยบอยสามีก็นอนพูดคุยกันตามปกติ พอตื่นมาพบว่าสามีตื่นไปทำงานก่อนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เสี่ยบอยสามีของตนจะลุกขึ้นไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน ตนจึงได้ไปส่งลูกที่ ร.ร. และพอได้รับโทรศัพท์จากคนงาน จึงได้รีบมาดูสามีและพบว่ารมควันฆ่าตัวตายแล้ว ส่วนสาเหตุการฆ่าตัวตายนั้น ปัญหาในครอบครัวไม่มีแต่อย่างใด แต่ว่าเสี่ยบอยมักจะบ่นกับตนเรื่องปัญหาธุรกิจ เนื่องจากว่าช่วงนี้ขายสินค้าไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้มีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ตนไม่คิดว่า สามีของตนจะคิดสั้นมาฆ่าตัวตายแบบนี้ ซึ่งตนไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตแต่อย่างใด
ทางด้าน พ.ต.ท.บุญธรรม ฝั่งสระ รอง ผกก.(ส.) สภ.เมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า ทางแพทย์ รพ.ศรีสะเกษ จะต้องทำการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตของนายเอกชัย ตามระเบียบ จากนั้นเมื่อทางญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต ก็จะได้มอบศพให้ญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
‘แอมเนสตี้’ ยื่น 3 ข้อเรียกร้อง ค้าน พ.ร.ก.อุ้มหายฯ ‘ฝ่ายค้าน’ โดดรับ จัดเต็มอภิปราย หวั่นโดนคว่ำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3847860
‘แอมเนสตี้’ ยื่น ฝ่ายค้าน ชง 3 ข้อเรียกร้อง ค้าน พ.ร.ก.อุ้มหายฯ ‘ฝ่ายค้าน’ โดดรับ จัดเต็มอภิปรายในสภา เผย ส่อโดนคว่ำเหตุ ส.ส.ไม่เห็นด้วย
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา กลุ่มแอมเนสตี้ ประเทศไทย ตัวแทนนักกิจกรรมและญาติผู้เสียหายจากการทรมานและอุ้มหายยื่นข้อเรียกร้องต่อ พรรคร่วมฝ่ายค้าน อาทิ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคเสรีรวมไทย (สร.)
โดย น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ กล่าวว่า ทางกลุ่มได้ติดตามความคืบหน้าของพระราชบัญญัติ (พ.ร.ก.) ดังกล่าวที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ มาโดยตลอด แต่การชะลอการบังคับใช้กฎหมายที่มีการผลักดันมามากกว่า 10 ปี และถือเป็นกฎหมายสำคัญที่นำไปสู่การป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลายประการที่ทางการไทยได้ประกาศไว้ในเวทีโลก อีกทั้งยังนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาลในการ ช่วยเหลือผู้เสียหายและครอบครัวให้ได้รับสิทธิเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรมจากกรณีที่ถูกทรมานและบังคับให้สูญหาย
“การที่ ค.ร.ม.มีมติขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในมาตรา 22-25 ออกไปนั้น ส่งผลให้ผู้เสียหายไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรม และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายคนอื่นไม่กล้าออกมาร้องเรียน ทั้งยังส่งสัญญาณต่อเจ้าพนักงานว่า พวกเขาอาจกระทำการละเมิดเช่นนี้ได้อีกโดยไม่ต้องรับโทษ” น.ส.ปิยนุชกล่าว
น.ส.ปิยนุชกล่าวต่อว่า ดังนั้น แอมเนสตี้ จึงมีข้อเรียกร้อง
1. ประกาศใช้ พ.ร.บ.ทั้งฉบับ โดยไม่มีการยกเว้นบางมาตรา
2. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำระเบียบหรือข้อกฎหมายย่อยในระดับกระทรวง เพื่อให้การปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เป็นไปตามกฎหมาย และติดตามการปฏิบัติของหน่วยงานต่างๆ อีกทั้ง ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นในการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างถูกต้องสมบูรณ์และโดยเร็วที่สุด
และ 3. การบังคับใช้จะต้องมีการประกาศ สื่อสาร และทําความเข้าใจกับสังคม ในการเข้าถึงของกลไก มาตรการ และสิทธิที่ประชาชนมีภายใต้กฎหมาย ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อันเป็นผลประโยชน์สูงสุดในการคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิของประชาชน
ด้านนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวว่า ข้อเสนอแอสเนสตี้นั้นสอดคล้องกับข้อเสนอของพรรค ก.ก.ที่สนับสนุนการออกกฎหมายฉบับนี้มาตลอด เรามีความหวังอย่างสูงว่าในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นั้น จะทำให้ประเทศไทยเข้าถึงอารยประเทศต่อสิทธิ์ที่ทำให้เกิดความมั่นใจต่อประชาชน ต่อสิทธิเสรีภาพของนักเคลื่อนไหว นักกิจกรรมตลอดจนถึงประชาชนทุกคนว่า จะไม่มีการซ้อมทรมานหรือการอุ้มหายเกิดขึ้นอีกในประเทศไทย และต้องให้ความเป็นธรรมกับกรณีที่มีการซ้อมอุ้มหายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่สิ่งที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉบับนี้มา แม้จะเป็นเพียงบางมาตราและอ้างเรื่องเวลาที่ไม่นานนัก คือถึงวันที่ 30 กันยายน และมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับเราเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือเจตนาในการเตะถ่วงและไม่เคารพต่อรัฐธรรมนูญที่พวกเขาอ้างมาตลอดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาเพื่อเขา ท่านอ้างเรื่องความไม่พร้อม ทั้งที่ท่านมีเวลาเตรียมตัว ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านและมี ส.ส.ของรัฐบาลอีกจำนวนไม่น้อยที่จะโหวตคว่ำร่าง พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลว่า มีความพยายามที่จะเข้าชื่อเพื่อให้มีการยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เข้าชื่อและยื่นในขณะที่มีการอภิปราย จะทำให้การอภิปรายต้องหยุดทันที ตนคิดว่าเป็นการไม่เคารพต่ออำนาจที่ประชาชนมอบให้พวกเรา
น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรค พท. กล่าวว่า มติของพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เห็นชอบต่อกฎหมายฉบับนี้ และจะอภิปรายประเด็นนี้ เพื่อจะคว่ำ พ.ร.ก.ฉบับนี้ออกไป ยืนยันว่าข้อเรียกร้องทุกองค์กรที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เราได้ยินเสียง เรารับไว้และจะดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถและจะเรียกร้องให้ภาครัฐได้ยินเสียงของพวกเรา
พท.เปิด 3 ความจริง สู่ 1 เจตจำนง ยกระดับรายได้ ป.ตรี พลิกชีวิต ขรก. พนักงานเงินเดือน นศ.จบใหม่
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7534532
เพื่อไทย เปิด 3 ความจริง สู่ 1 เจตจำนง ยกระดับรายได้ ปริญญาตรี 25,000 บาท พลิกชีวิต ข้าราชการ พนักงานเงินเดือน นักศึกษาจบใหม่
28 ก.พ. 66 – ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคพท. และผอ.ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทว่า
มีความจริง 3 ข้อ คือ
หนึ่ง 11 ปีที่แล้วรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยกระดับเงินเดือน ป.ตรี เป็น 15,000 บาทได้สำเร็จ หลังจากนั้นกลับถูกละเลยโดยรัฐบาลต่อมา เงินเดือน ป.ตรี ก็ย่ำอยู่กับที่ ขณะที่ค่าครองชีพขึ้นกว่า 17% ผลิตภาพแรงงานโตกว่า 20%
ตัวเลขทั้งสองชี้ว่า พนักงานเงินเดือนสร้างให้เศรษฐกิจโต แต่กลับไม่ได้ผลตอบแทนที่ควรได้รับ และไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
2. Gen Y และ Gen Z หรือ คนกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ เป็นประชากรวัยทำงานช่วงต้น คือกำลังสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่คนกลุ่มนี้กำลังจมอยู่ในวังวนหนี้ และ 25% ของคนเป็นหนี้เป็นหนี้เสีย สาเหตุหลักคือรายได้โตไม่ทันค่าครองชีพ รายได้ไม่พอรายจ่าย ปลายทางจึงคือก่อวงวันหนี้ที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
นายเผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า 3. คนไทยแก่ไปพร้อมกับกองหนี้ สาเหตุหลักคือรายได้ไม่เพียงพอในช่วงวัยทำงาน ซึ่งการแก้โดยสวัสดิการผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ทางออก เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
วันนี้ พรรค พท. จะแก้ที่ต้นเหตุ เราจะสร้างรายได้ให้กับคนวัยทำงาน ให้แก่ไปพร้อมกับเงินเก็บ ไม่ใช่แก่ไปพร้อมกับกองหนี้ ความจริงทั้ง 3 ข้อ เป็นที่มาสู่ 1 เจตจำนงที่ พรรคพท. จะยกระดับรายได้คนวัยทำงานทั้งระบบ ยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงานเงินเดือน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงนักศึกษาที่กำลังเข้าสู่ตลาดแรงงาน ด้วยนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท
นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า จริงอยู่ที่ระบบราชการล้าหลังและล้มเหลว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าราชการคือแพะรับบาป พวกเขากำลังลำบาก เงินเดือนข้าราชการเทียบไม่ได้กับภาคเอกชน ทั้งเริ่มต้นต่ำและโตช้า และระบบราชการไม่สามารถดึงดูดคนเก่งเข้าทำงานได้ จากผลตอบแทนที่ต่ำ
นโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 จะยกระดับรายได้บุคคลากรภาครัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และผลิตภาพข้าราชการ โดยไม่ให้กระทบภาระทางการคลัง และทำควบคู่กับการยกเครื่องระบบราชการทั้งระบบให้เล็ก เร็ว คล่องตัว ด้วยรัฐบาลดิจิทัล ใช้ Blockchain เข้าบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดทั้งความโปร่งใสและประสิทธิภาพ และประโยชน์ต่อประชาชน
ส่งนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท จะถูกเหนี่ยวนำต่อจากภาครัฐ สร้างตลาดแรงงานที่เกิดการแข่งขันสูงด้วยกลไกตลาด ผนวกกับเมื่อเศรษฐกิจโตขึ้น รายได้ภาคเอกชนมากขึ้น กำลังจ่ายที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนสามารถเดินสู่เป้าหมายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท เช่นเดียวกับภาครัฐ นั่นคือจุดหมายปลายทาง
วันนี้ พท.ต้องการเห็นข้าราชการยิ้มได้ นักศึกษาจบใหม่เข้าตลาดแรงงานด้วยความหวัง และพนักงานเงินเดือนหลุดจากวังวนหนี้ ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้คือเจตจำนงของเรา