ยุทธพงศ์ จี้ ตร.ตั้งด่านตรวจช่วงสงกรานต์ ให้โปร่งใส หวั่นการรีดไถประชาชน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3838265
 
 
ยุทธพงศ์ จี้ ตร.ตั้งด่านตรวจช่วงสงกรานต์ ให้โปร่งใส หวั่นการรีดไถประชาชน
 
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ประธานคณะกรรมาธิการป้องและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย (ปภ.) สภาผู้แทนรราษฎร พร้อมด้วยคณะ กมธ. ปภ กล่าวว่า วันนี้ 22 กุมภาพันธ์ เวลา 9.30 น.อาคารรัฐสภา ทางคณะ กมธ.ได้ทำหนังสือเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาหารือ เพื่อเตรียมมาตรการป้องกันในการลดอุบัติเหตุการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย เพื่อป้องกัน และลดอุบัติเหตุ
 
โดยมีหน่วยงานระดับกระทรวง และกรมหลายหน่วมงานเข้าร่วมการประชุม ได้แก่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, พล.ต.ต.วีรพัฒน์ ศิวัแพทย์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.วรพจน์ ดิษยบุตร ผู้บังคับการอำนวยการกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง กรมทางหลวง และกรมการขนส่งทางบก
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เบาบางลง คาดว่าปีนี้การเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะหนาแน่น และแออัดมาก สะท้อนจากช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาเกิดความล่าช้า  และการจราจรติดขัดหลายเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางสายมิตรภาพ จึงได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้ามาร่วมกันหารือ โดยตนเอง และคณะ กมธ.ตั้งข้อสังเกตุว่า การตั้งด่านสกัดจับเพื่อตรวจสารเสพติด ตรวจปริมาณแอลกอฮอลล์ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุเป็นสิ่งจำเป็น แต่กลับพบว่ามีด่านตรวจจับบางจุดด่านตรวจกลายเป็นจุดตรวจที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทาง และบางทีอาจเป็นช่องทางการทุจริตคอร์รัปชั่น
 
ในกรณีที่กระทำความผิดเล็กน้อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาในการเดินทาง เช่น ความเร็วเกิน ลืมคาดเข็มขัดนิรภัย ฯลฯ จึงเรียนสอบถามทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า มีหลักเกณฑ์ในการตั้งด่าน ช่วงเวลาการตั้งด่านอย่างไร วัตถุประสงค์การตั้งด่าน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกราต์ที่กำลังจะมาถึง
 
“ความปลอดภัย และสะดวกในการเดินทางของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย การเตรียมความพร้อม การตั้งด่านสกัดจับที่จำเป็นต้องเป็นไป เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และบรรเทาภัย ไม่ใช่การรีดไถ และต้องไม่สร้างอุปสรรคในการเดินทางให้ประชาชน ด่านต่างๆ ต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการทำงาน” นายยุทธพงศ์ กล่าวปิดท้าย

---

พิธา โพสต์รูปกอดคอปิยบุตร เปิดอกหลังวิวาทะเดือด มั่นใจยังมีฝันเดียวกัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3838154

พิธา โพสต์รูปกอดคอปิยบุตร เปิดอกหลังวิวาทะเดือด มั่นใจยังมีฝันเดียวกัน  
 
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ภาพคู่กับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า หลังวิวาทะร้อน โดยนายพิธากล่าวว่า “ได้คุยกับอาจารย์ปิยบุตรแล้วนะครับ ปรับความเข้าใจกันได้ด้วยดี ในการทำงานการเมืองแน่นอนว่ามีความเห็นที่แตกต่างกัน มีแนวทางการทำงานไม่เหมือนกันเป็นเรื่องปกติ แต่สุดท้ายเราทั้งสองคนยังมีอุดมการณ์ เป้าหมาย และความฝันเดียวกัน ดังนั้น เราจะเดินทางร่วมกันต่อไป”
 
“ผมต้องขอโทษพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจด้วยครับ แต่ผมยืนยันว่าการพูดคุยกันแบบเปิดอกครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น เรียนรู้ร่วมกัน และจะทำให้พรรคเติบโต แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
 
ด้าน นายปิยบุตร ก็โพสต์รูปเดียวกัน พร้อมระบุว่า “ผมได้คุยกับคุณทิมเรียบร้อยแล้วครับ ปรับความเข้าใจกันได้ดี ผมยืนยันว่าในสถานการณ์หัวต่อหัวเลี้ยวทางการเมืองเช่นนี้ จำเป็นต้องมีพรรคก้าวไกล ผมสนับสนุนให้พิธาและผู้บริหารพรรคนำพาพรรคก้าวไกลสู้ต่อไปในสนามการเลือกตั้ง

“ผมต้องขอโทษพนักงานพรรค ทีมงานที่ประจำอยู่ทุกจังหวัด เครือข่ายต่างๆ เพื่อน ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคทุกคน ที่สร้างความกังวลใจและทำให้ทำงานกันอย่างยากลำบาก
 
ขอให้ทุกคนร่วมต่อสู้ด้วยกัน ช่วยกันทำตามความฝันของทุกคนที่ร่วมกันสร้างมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ จนมาถึงพรรคก้าวไกลครับ”

---

 
จี้ปรับโครงสร้างผลิตไฟไทย กฟผ.รับภาระ-ขาดสภาพคล่อง โรงไฟฟ้าเอกชนโกยกำไร
https://www.matichon.co.th/economy/news_3837519
 
จี้ปรับโครงสร้างผลิตไฟไทย กฟผ.รับภาระ-ขาดสภาพคล่อง โรงไฟฟ้าเอกชนโกยกำไร
 
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวด 2/2566 หรือ พ.ค.-ส.ค. 66 มีแนวโน้มลดลงจากราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่อ่อนตัว ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ฯลฯ อย่างไรก็ตามส.อ.ท.ยังคงเห็นว่าระยะยาวค่าจำเป็นต้องมองการแก้ไขทั้งโครงสร้างโดยเฉพาะด้านการผลิตที่ขณะนี้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเอกชนมีมากกว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ค่อนข้างมากส่งผลให้
 
1. ค่าไฟฟ้า แพงขึ้นจากค่าความพร้อมจ่าย( AP )(จ่าย IPP) และ ค่าพลังไฟฟ้า CP (จ่าย SPP) ตามสัญญาเสือนอนกินที่ยังไม่มีใครแก้ไข
 
2. กฟผ.แบกรับภาระหนี้ ค่าไฟฟ้าเพียงรายเดียว (จากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ที่ต้องแบกภาระช่วยกลุ่มเปราะบางตามนโยบายภาครัฐ) เกินกำลังที่มีอยู่ขณะที่ ภาครัฐ ไม่สามารถบังคับให้โรงไฟฟ้าเอกชน ช่วยได้เลย
 
3. กฟผ.ขาดสภาพคล่อง เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าเอกชน มีกำไรสูงมาก โดยประชาชน และภาคธุรกิจจ่ายค่าไฟฟ้าแพง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
เหล่านี้มันสะท้อนนโยบายที่ผิดพลาดของภาครัฐ หรือไม่