ศก.ไทยปี 66 คาดนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน กังวล ดบ.ขาขึ้น-ส่งออกวูบ-เงินเฟ้อพุ่ง-บาทแข็ง
https://siamrath.co.th/n/417042
เศรษฐกิจไทยปี 66 ได้อานิสงส์จากจีนเปิดประเทศ คาดนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางความกังวลการส่งออกชะลอตัว
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มชะลอลงมากจากปีก่อน แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยปรับลดลง สาเหตุจาก (1)เครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวแรงนัก สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Manager Index) ในเดือน ธ.ค. ของประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับดีขึ้นจากจุดต่ำสุด อีกทั้ง ผลกระทบจากวิกฤตพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาดจากราคาพลังงานโลกที่ลดลงเร็วและฤดูหนาวไม่รุนแรงมาก รวมถึงอัตราการว่างงานยังลดลงต่อเนื่อง (2) จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด โดย SCB EIC เคยคาดไว้ว่าจีนจะเปิดประเทศในเดือน มี.ค. ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 หลังผ่านการระบาดรุนแรงในช่วงไตรมาสแรกและประชากรจีนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นแล้ว และ (3) ทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ความกังวลภาวะการเงินตึงตัวเริ่มปรับลดลง เนื่องจากนโยบายการเงินโลกจะไม่เข้มงวดมากไปกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทั้งนี้แม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการแพร่ระบาดในจีนที่อาจทำให้จีนกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง
อัตราเงินเฟ้อโลกชะลอตัวชัดเจนขึ้น ผลจากอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย แรงกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง และแรงกดดันอุปสงค์ที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มเงินเฟ้อโลกจะยังสูงกว่าเป้าของธนาคารกลางในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ตามราคาอาหารและพลังงานที่จะยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิด COVID-19 ส่งผลให้นโยบายการเงินจะยังตึงตัวนานต่อเนื่องไปอีกระยะ โดย SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี (ครั้งละ 25 BPS) สู่ระดับ 4.75-5% และคงดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้
เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 3.4% แรงส่งสำคัญมาจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน SCB EIC คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาเยือนไทย 28.3 ล้านคนในปีนี้ จากความต้องการท่องเที่ยวไทยที่ยังมีอยู่มาก กอปรกับอานิสงส์จากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนที่เร็วกว่าคาด ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลดีต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ รถเช่า สปาและเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศสามารถเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิด COVID-19 ทำให้การบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มไม่สดใสนักตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ยุโรป (เช่น กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า) และอินเดีย ซึ่งจะเริ่มมีผลบางส่วนตั้งแต่ปีนี้ SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวเพียง 1.2% ในปีนี้
เงินเฟ้อไทยผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 3 ปี 2565 จากราคาพลังงานที่เริ่มชะลอลง แต่ขยายวงกว้างไปยังสินค้าหลายประเภทมากขึ้น และจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น โดย SCB EIC คาดเงินเฟ้อในปี 2566 จะอยู่ที่ 3.2% สูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจาก 2.5% ในปี 2565 เป็น 2.7% ในปี 2566 รายได้ครัวเรือนบางกลุ่มจึงโตไม่ทันรายจ่ายประกอบกับเศรษฐกิจอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นซ้ำเติมภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้การเลือกตั้งในปีนี้เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะอาจกระทบเสถียรภาพการเมืองไทย และส่งผลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยได้
ภาวะการเงินไทยมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การสิ้นสุดมาตรการต่ออายุการลดอัตรานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF fee) และการแข็งค่าของเงินบาทเร็วกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค โดย SCB EIC คาดว่า ในปี 2566 กนง.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง 3 ครั้ง (ครั้งละ 25 BPS) สู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2566 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่จะยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท SCB EIC ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน และเงินทุนไหลเข้าตลาดการเงินไทย โดยคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าที่ 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้
“เฮียชู”ร่วมฟังศาลนัดสอบปากคำ ”แก๊งตู้ห่าว”นัดแรก ลั่นสู้ติดแน่แพ้ติดนาน
https://www.dailynews.co.th/news/1919423/
"ชูวิทย์' เดินทางมาร่วมฟังศาลนัดสอบปากคำแก๊งตู้ห่าวนัดแรก หวั่นวิ่งเต้นล้มคดียัดเงินข่มขู่พยาน ลั่น "สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน".
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 23 ม.ค. ที่บริเวณด้านหน้าศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ถนนเจริญกรุง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เดินทางมาร่วมรับฟังศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในคดีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว ผู้ต้องหาคดีหมายเลขดำ ย.87/2566 พร้อมพวกที่ถูกฝากขังในเรือนจำและศาลนัดสอบปากคำผู้ต้องหานัดแรก
นาย
ชูวิทย์ กล่าวว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ตนเคยติดคุกติดตารางที่ศาลอาญา ใต้แห่งนี้ถูกใช้กระบวนการยุติธรรมเมื่อตนทำผิด และวันนี้จะมาติดตามดูว่าความยุติธรรมจะมีให้คนไทยอย่างตนไหม และจะนั่งฟังอย่างเรียบร้อย แต่เป็นวันแรกที่ศาลนัดดูพยานหลักฐานดูคำให้การ สอบถามจำเลยว่าจะปฏิเสธหรือรับสารภาพ ตอนเข้าใจว่านายตู้ห่าวและเครือข่ายก็คงปฏิเสธเพราะโทษหนักรวม 9 ข้อหา อย่างไรก็ดีศาลคงจะนัดดูว่ามีหลักฐานอื่นหรือไม่และจำเลยมีพยานเท่าไหร่และจะนัดสืบพยานกันยังไงกี่วันกี่นัด
นาย
ชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ประการสำคัญที่อยากจะบอกว่ามีการข่มขู่พยาน แล้วตนมีหลักฐานสดๆร้อนๆและได้ส่งให้กับ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ. ตร. ไปเมื่อวานนี้ (22 ม.ค.) จากนั้น ผบ.ตร.ก็ได้ส่งทีมงานไปสอบพยานว่ามีการข่มขู่อย่างไร มีการเขียนระบุว่า จะให้เงินให้ทองแต่ไม่ต้องไปให้การ การกระทำแบบนี้เรียกว่าคำใต้ดิน ตนมองว่าต่อไปคงมีการวิ่งเต้นมีหลายคดี อย่างนายตู้ห่าวหรือใครก็ตาม ใช้วิธีใต้ดินยัดเงินให้กับพยานเพื่อไม่ต้องมาให้การ และให้พยานหลบหนีไป
นาย
ชูวิทย์ กล่าวอีกว่า และตนเคยมายืนหน้าศาลนี้ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี เเละตนไปติดคุกและได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อตนออกมา จะขอดูว่าคนอื่นที่ทำผิดจะได้รับโทษเหมือนกับตนไหม หากไม่ได้รับก็ถือว่าไม่ยุติธรรมกับตนเพราะตนรับอยู่คนเดียว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มาขายยาเสพติดเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตนนำเรียนท่าน ผบ.ตร.ทำให้ ผบ.ตร. กระฉับกระเฉงไปถอนประกัน เพราะวันนี้มีการแจ้งข้อหาเพิ่ม จากเดิมมีบุคคลสำคัญ 2 คนในข้อหาฟอกเงินแต่วันนี้เพิ่มข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและตนในฐานะประชาชน จะขอมาดูว่านายตู้ห่าวจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดไหมซึ่งตนจะเข้าไปนั่งฟัง และจะออกมารายงานให้สังคมทราบ
”
นอกจากนี้ผมได้ยื่นตัวเองเข้าไปเป็นพยานชี้เบาะแส และพยานบุคคลก็เป็นของตนอีกด้วยโดยศาลยังไม่มีการนัดให้ตนไปให้ปากคำอีกด้วย เพราะสู้ติดแน่ แพ้ติดนาน ส่วนพยานคนนี้เป็นพยานที่เห็นความเคลื่อนไหว เป็นคนสำคัญและใกล้ชิดนายตู้ห่าวแต่ตนไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจเกิดอันตรายกับตัวพยานคนดังกล่าว และหลักฐานการข่มขู่นั้นเป็นการส่งแชทไลน์ไปข่มขู่และมีการส่งคน3-4คนไปดูบ้านพยาน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพลมีเงินจะใช้ทุกวิถีทางทำลายน้ำหนักพยาน” นาย
ชูวิทย์กล่าว.
“อนุสรณ์” ถาม “ประยุทธ์-ประวิตร” จะปาดหน้ากันอีกนานมั้ย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_487055/
“อนุสรณ์” ถาม “ประยุทธ์-ประวิตร” จะปาดหน้ากันอีกนานมั้ย บอก ปาดเสร็จเมื่อไหร่ช่วยนึกถึงประชาชนด้วย
นาย
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สวมบทจอมปาด ปาดหน้า พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไล่บี้ลงพื้นที่กันสับสนวุ่นวาย ว่า ประชาชนไม่ได้มีหน้าที่เป็นตำรวจจราจร จะได้สั่งจับปรับทั้ง 2 คน ขยันปาดหน้ากันลงพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนสับสนให้ประชาชน การที่มีคนตะโกนด่าพล.อ.
ประยุทธ์
ขณะเข้าพื้นที่ คือภาพสะท้อนว่าประชาชนเบื่อหน่ายและไม่ได้ประโยชน์จากการลงพื้นที่หาเสียงชิงเหลี่ยมปาดหน้ากันไปมา ก่อนพล.อ.
ประยุทธ์ จะไปพูดนโยบายกับพรรคใหม่ ช่วยเคลียร์นโยบายพรรคเก่าที่ทำไม่ได้ตอนอยู่กับพรรคพลังประชารัฐก่อน พล.อ.
ประยุทธ์ ต้องไม่ลืมว่า 8 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสไปมากจากการขยายการสืบทอดอำนาจออกไปไม่สิ้นสุดโดยไม่มีผลงานอะไร
ผลสัมฤทธิ์ของการทำงานในฐานะเป็นรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่ว่านายกฯหรือรองนายกฯใครสามารถเข้าพื้นที่หาเสียงได้ก่อนกัน แต่อยู่ที่ช่วงเวลาที่เหลืออยู่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างไร การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ ม.152 ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจได้เห็นพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเปิดศึกอภิปรายพล.อ.
ประยุทธ์ด้วย ซึ่งถ้าสถานการณ์เดินไปถึงจุดที่พล.อ.
ประยุทธ์ ถูกอภิปรายจากพรรคที่เสนอพล.อ.
ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พล.อ.
ประยุทธ์ จะทำใจได้หรือ
ทั้งนี้นาย
อนุสรณ์ ระบุว่า เรือแป๊ะใกล้จม สภาพน่าอนาถ ปาดไป ปาดมา ด่ามา ด่ากลับ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ต่างฝ่ายต่างโทษกัน พล.อ.
ประยุทธ์ มากับรถถังแต่กำลังจะพังเพราะพวกเดียวกันเอง
JJNY : กังวล ดบ.ขาขึ้น-ส่งออกวูบ-เงินเฟ้อพุ่ง-บาทแข็ง│“เฮียชู”ร่วมฟังศาล│“อนุสรณ์”ถาม“ประยุทธ์-ประวิตร”│‘เซเลนสกี’กร้าว
https://siamrath.co.th/n/417042
เศรษฐกิจไทยปี 66 ได้อานิสงส์จากจีนเปิดประเทศ คาดนักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางความกังวลการส่งออกชะลอตัว
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มชะลอลงมากจากปีก่อน แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยปรับลดลง สาเหตุจาก (1)เครื่องชี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ได้ชะลอตัวแรงนัก สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Manager Index) ในเดือน ธ.ค. ของประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่ที่เริ่มปรับดีขึ้นจากจุดต่ำสุด อีกทั้ง ผลกระทบจากวิกฤตพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาดจากราคาพลังงานโลกที่ลดลงเร็วและฤดูหนาวไม่รุนแรงมาก รวมถึงอัตราการว่างงานยังลดลงต่อเนื่อง (2) จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด โดย SCB EIC เคยคาดไว้ว่าจีนจะเปิดประเทศในเดือน มี.ค. ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 หลังผ่านการระบาดรุนแรงในช่วงไตรมาสแรกและประชากรจีนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นแล้ว และ (3) ทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ความกังวลภาวะการเงินตึงตัวเริ่มปรับลดลง เนื่องจากนโยบายการเงินโลกจะไม่เข้มงวดมากไปกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทั้งนี้แม้ทิศทางเศรษฐกิจโลกจะปรับดีขึ้นบ้าง แต่ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการแพร่ระบาดในจีนที่อาจทำให้จีนกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง
อัตราเงินเฟ้อโลกชะลอตัวชัดเจนขึ้น ผลจากอุปทานคอขวดทยอยคลี่คลาย แรงกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง และแรงกดดันอุปสงค์ที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มเงินเฟ้อโลกจะยังสูงกว่าเป้าของธนาคารกลางในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ตามราคาอาหารและพลังงานที่จะยังอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิด COVID-19 ส่งผลให้นโยบายการเงินจะยังตึงตัวนานต่อเนื่องไปอีกระยะ โดย SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี (ครั้งละ 25 BPS) สู่ระดับ 4.75-5% และคงดอกเบี้ยตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้
เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 3.4% แรงส่งสำคัญมาจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน SCB EIC คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาเยือนไทย 28.3 ล้านคนในปีนี้ จากความต้องการท่องเที่ยวไทยที่ยังมีอยู่มาก กอปรกับอานิสงส์จากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของจีนที่เร็วกว่าคาด ทำให้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลดีต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ รถเช่า สปาและเวลเนส การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น อีกทั้ง การท่องเที่ยวในประเทศสามารถเติบโตดีกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิด COVID-19 ทำให้การบริโภคขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มไม่สดใสนักตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ยุโรป (เช่น กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า) และอินเดีย ซึ่งจะเริ่มมีผลบางส่วนตั้งแต่ปีนี้ SCB EIC คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวเพียง 1.2% ในปีนี้
เงินเฟ้อไทยผ่านจุดสูงสุดแล้วในไตรมาส 3 ปี 2565 จากราคาพลังงานที่เริ่มชะลอลง แต่ขยายวงกว้างไปยังสินค้าหลายประเภทมากขึ้น และจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น โดย SCB EIC คาดเงินเฟ้อในปี 2566 จะอยู่ที่ 3.2% สูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจาก 2.5% ในปี 2565 เป็น 2.7% ในปี 2566 รายได้ครัวเรือนบางกลุ่มจึงโตไม่ทันรายจ่ายประกอบกับเศรษฐกิจอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นซ้ำเติมภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้การเลือกตั้งในปีนี้เป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะอาจกระทบเสถียรภาพการเมืองไทย และส่งผลต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยได้
ภาวะการเงินไทยมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การสิ้นสุดมาตรการต่ออายุการลดอัตรานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF fee) และการแข็งค่าของเงินบาทเร็วกว่าสกุลอื่นในภูมิภาค โดย SCB EIC คาดว่า ในปี 2566 กนง.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง 3 ครั้ง (ครั้งละ 25 BPS) สู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2566 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่จะยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท SCB EIC ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น อานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน และเงินทุนไหลเข้าตลาดการเงินไทย โดยคาดว่าเงินบาทจะแข็งค่าที่ 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้
“เฮียชู”ร่วมฟังศาลนัดสอบปากคำ ”แก๊งตู้ห่าว”นัดแรก ลั่นสู้ติดแน่แพ้ติดนาน
https://www.dailynews.co.th/news/1919423/
"ชูวิทย์' เดินทางมาร่วมฟังศาลนัดสอบปากคำแก๊งตู้ห่าวนัดแรก หวั่นวิ่งเต้นล้มคดียัดเงินข่มขู่พยาน ลั่น "สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน".
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 23 ม.ค. ที่บริเวณด้านหน้าศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ถนนเจริญกรุง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เดินทางมาร่วมรับฟังศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในคดีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว ผู้ต้องหาคดีหมายเลขดำ ย.87/2566 พร้อมพวกที่ถูกฝากขังในเรือนจำและศาลนัดสอบปากคำผู้ต้องหานัดแรก
นายชูวิทย์ กล่าวว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ตนเคยติดคุกติดตารางที่ศาลอาญา ใต้แห่งนี้ถูกใช้กระบวนการยุติธรรมเมื่อตนทำผิด และวันนี้จะมาติดตามดูว่าความยุติธรรมจะมีให้คนไทยอย่างตนไหม และจะนั่งฟังอย่างเรียบร้อย แต่เป็นวันแรกที่ศาลนัดดูพยานหลักฐานดูคำให้การ สอบถามจำเลยว่าจะปฏิเสธหรือรับสารภาพ ตอนเข้าใจว่านายตู้ห่าวและเครือข่ายก็คงปฏิเสธเพราะโทษหนักรวม 9 ข้อหา อย่างไรก็ดีศาลคงจะนัดดูว่ามีหลักฐานอื่นหรือไม่และจำเลยมีพยานเท่าไหร่และจะนัดสืบพยานกันยังไงกี่วันกี่นัด
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ประการสำคัญที่อยากจะบอกว่ามีการข่มขู่พยาน แล้วตนมีหลักฐานสดๆร้อนๆและได้ส่งให้กับ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ. ตร. ไปเมื่อวานนี้ (22 ม.ค.) จากนั้น ผบ.ตร.ก็ได้ส่งทีมงานไปสอบพยานว่ามีการข่มขู่อย่างไร มีการเขียนระบุว่า จะให้เงินให้ทองแต่ไม่ต้องไปให้การ การกระทำแบบนี้เรียกว่าคำใต้ดิน ตนมองว่าต่อไปคงมีการวิ่งเต้นมีหลายคดี อย่างนายตู้ห่าวหรือใครก็ตาม ใช้วิธีใต้ดินยัดเงินให้กับพยานเพื่อไม่ต้องมาให้การ และให้พยานหลบหนีไป
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า และตนเคยมายืนหน้าศาลนี้ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี เเละตนไปติดคุกและได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อตนออกมา จะขอดูว่าคนอื่นที่ทำผิดจะได้รับโทษเหมือนกับตนไหม หากไม่ได้รับก็ถือว่าไม่ยุติธรรมกับตนเพราะตนรับอยู่คนเดียว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มาขายยาเสพติดเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตนนำเรียนท่าน ผบ.ตร.ทำให้ ผบ.ตร. กระฉับกระเฉงไปถอนประกัน เพราะวันนี้มีการแจ้งข้อหาเพิ่ม จากเดิมมีบุคคลสำคัญ 2 คนในข้อหาฟอกเงินแต่วันนี้เพิ่มข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและตนในฐานะประชาชน จะขอมาดูว่านายตู้ห่าวจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ใดไหมซึ่งตนจะเข้าไปนั่งฟัง และจะออกมารายงานให้สังคมทราบ
” นอกจากนี้ผมได้ยื่นตัวเองเข้าไปเป็นพยานชี้เบาะแส และพยานบุคคลก็เป็นของตนอีกด้วยโดยศาลยังไม่มีการนัดให้ตนไปให้ปากคำอีกด้วย เพราะสู้ติดแน่ แพ้ติดนาน ส่วนพยานคนนี้เป็นพยานที่เห็นความเคลื่อนไหว เป็นคนสำคัญและใกล้ชิดนายตู้ห่าวแต่ตนไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจเกิดอันตรายกับตัวพยานคนดังกล่าว และหลักฐานการข่มขู่นั้นเป็นการส่งแชทไลน์ไปข่มขู่และมีการส่งคน3-4คนไปดูบ้านพยาน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพลมีเงินจะใช้ทุกวิถีทางทำลายน้ำหนักพยาน” นายชูวิทย์กล่าว.
“อนุสรณ์” ถาม “ประยุทธ์-ประวิตร” จะปาดหน้ากันอีกนานมั้ย
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_487055/
“อนุสรณ์” ถาม “ประยุทธ์-ประวิตร” จะปาดหน้ากันอีกนานมั้ย บอก ปาดเสร็จเมื่อไหร่ช่วยนึกถึงประชาชนด้วย
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สวมบทจอมปาด ปาดหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไล่บี้ลงพื้นที่กันสับสนวุ่นวาย ว่า ประชาชนไม่ได้มีหน้าที่เป็นตำรวจจราจร จะได้สั่งจับปรับทั้ง 2 คน ขยันปาดหน้ากันลงพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนสับสนให้ประชาชน การที่มีคนตะโกนด่าพล.อ.ประยุทธ์
ขณะเข้าพื้นที่ คือภาพสะท้อนว่าประชาชนเบื่อหน่ายและไม่ได้ประโยชน์จากการลงพื้นที่หาเสียงชิงเหลี่ยมปาดหน้ากันไปมา ก่อนพล.อ.ประยุทธ์ จะไปพูดนโยบายกับพรรคใหม่ ช่วยเคลียร์นโยบายพรรคเก่าที่ทำไม่ได้ตอนอยู่กับพรรคพลังประชารัฐก่อน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไม่ลืมว่า 8 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสไปมากจากการขยายการสืบทอดอำนาจออกไปไม่สิ้นสุดโดยไม่มีผลงานอะไร
ผลสัมฤทธิ์ของการทำงานในฐานะเป็นรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่ว่านายกฯหรือรองนายกฯใครสามารถเข้าพื้นที่หาเสียงได้ก่อนกัน แต่อยู่ที่ช่วงเวลาที่เหลืออยู่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างไร การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ ม.152 ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจได้เห็นพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเปิดศึกอภิปรายพล.อ.ประยุทธ์ด้วย ซึ่งถ้าสถานการณ์เดินไปถึงจุดที่พล.อ.ประยุทธ์ ถูกอภิปรายจากพรรคที่เสนอพล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะทำใจได้หรือ
ทั้งนี้นายอนุสรณ์ ระบุว่า เรือแป๊ะใกล้จม สภาพน่าอนาถ ปาดไป ปาดมา ด่ามา ด่ากลับ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ต่างฝ่ายต่างโทษกัน พล.อ.ประยุทธ์ มากับรถถังแต่กำลังจะพังเพราะพวกเดียวกันเอง