เท่าที่ใจจะรักได้ (12)


.
โดย : ชลัน


               ๑๒
               __________________________


               พี่ใหญ่อาการดีขึ้น แต่ยังไม่รู้สึกตัว หมอให้ย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้นผู้ป่วย และฉันขออาสาอยู่เฝ้าไข้เอง ตลอดระยะเวลาสามวันที่ฉันลางานนั่นแหละ ช่วงเช้าคุณแม่กับคุณยายจะมาเยี่ยม ตอนบ่ายก็จะเป็นคุณย่าที่แวะเวียนมาเยี่ยม ส่วนคุณพ่อจะหาเวลามาเยี่ยมลูกชายให้ได้ ยอมขับรถไกล ๆ มาทุกวัน เข้าวันที่สองแล้วที่พี่ใหญ่ย้ายมาอยู่ห้องพักฟื้น แต่ยังไม่ฟื้นเลย

                เช้าวันนี้คุณแม่มาเยี่ยมพี่ใหญ่คนเดียว ส่วนคุณลุงแวะมาส่งแล้วกลับไปทำงาน คุณยายอยู่บ้าน บอกว่าวันไหนที่พี่ใหญ่รู้สึกตัว คุณยายถึงจะมาอีก เพราะไม่ชอบอยู่โรงพยาบาล ไม่อยากมาบ่อย ๆ
               
                ระหว่างที่เราสองแม่ลูกนั่งคุยกันเพลิน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ฉันเดินไปส่องดูว่าใครมา เห็นเป็นคุณพ่อเอง ฉันหันไปมองคุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงของพี่ใหญ่ กำลังเช็ดตัวให้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ฉันเปิดประตูให้คุณพ่อเข้ามา

               "คุณพ่อสวัสดีค่ะ มาเช้าจัง" ฉันไหว้ทักทาย พอคุณแม่ได้ยินฉันพูดก็หันมามอง สายตาที่มองมายังคุณพ่อไม่ได้มีความยินดียินร้ายอะไร และก็ไม่ได้พูดผลักไสไล่ส่งให้กลับไปด้วย

               "วันนี้พ่อว่าง กะว่าจะมาอยู่กับพี่เราทั้งวันน่ะ กะอยู่เป็นเพื่อนหนูด้วย วันเสาร์อาทิตย์น้องถึงจะมาเยี่ยมพี่ใหญ่นะ" คุณพ่อว่า แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้นวม มองคุณแม่เช็ดตัวให้พี่ใหญ่

               "ไม่จำเป็นต้องมาทุกวันก็ได้นะ ฉันดูแลลูกได้" คุณแม่พูดมือก็คอยเช็ดตัวให้พี่ใหญ่ไปด้วย ฉันนั่งเงียบฟังทั้งสองคุยกัน ฉันเองก็อยากรู้ว่าพ่อแม่อยู่ด้วยกันแบบนี้จะเป็นอย่างไร ฉันคงไม่ใช่ก้างขวางคอเพราะฉันก็เป็นลูกของท่านทั้งสอง

              "ได้ไง! คุณห่วงลูกแบบไหน ผมก็ห่วงแบบนั้นล่ะ" คุณพ่อกล่าว ดูเหมือนจะไม่พอใจที่คุณแม่พยายามจะห้ามไม่ให้คุณพ่อมา

              "อืม... ฉันห่วงคุณต่างหาก" คุณแม่หันหน้ามามองคุณพ่อที่นั่งอยู่โซฟากับฉัน "เดินทางไกล ๆ ไปกลับทุกวันแบบนี้มันไม่ค่อยดีนักหรอก ลูกก็อาการดีขึ้นทุกวัน ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน คนที่จะเสียใจคือลูกของคุณทุกคนนะ" คุณแม่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ "แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ใหญ่จะฟื้นสักที ให้ลูกฟื้นก่อนคุณค่อยมาอีกก็ได้ เดินทางทุกวันอันตราย"

              คุณพ่อยิ้มที่มุมปาก จากที่หน้าบึ้งให้คุณแม่นิด ๆ กับคำพูดของคุณแม่เมื่อครู่ "ไม่เป็นไรผมเดินทางได้ ดูแลตัวเองได้น่า" คุณพ่อมองคุณแม่ด้วยแววตาที่ดูคล้ายว่ายังมีเยื่อใย "ลูกยังไม่รู้สึกตัวแบบนี้ผมก็ไม่วางใจหรอก คุณไม่ต้องห่วงหรอก ว่าสามีของคุณจะคิดมากหรือระแวง ผมแค่ต้องการมาหาลูกเฉย ๆ ไม่ทำอะไรให้ต้องลำบากใจหรอก"

                "ฉันยังไม่ได้คิดแบบนั้นเลย และสามีของฉันก็ยังไม่ทันได้คิด มีแต่คุณหรือเปล่าที่คิดมากคิดไปเอง ตีโพยตีพายไปเอง คุณต่างหากมั้ยที่ต้องกลัวภรรยาของคุณเข้าใจผิดน่ะ" คุณแม่ค้อนคุณพ่อ ฉันเริ่มใจคอไม่ดี กลัวทั้งคู่จะทะเลาะกัน แต่ก็แอบขำให้กับทั้งสองคนอยู่ในที

              "สามีของคุณไม่คิดมากก็ดี ผมจะได้สบายใจที่จะมาเยี่ยมลูกผมทุกวันจนกว่าจะหายดี ส่วนภรรยาของผมคุณไม่ต้องห่วงหรอก" คุณพ่อพูด จ้องหน้าคุณแม่ไม่ยอมละสายตา แต่ในแววตาคู่นั้นของคุณพ่อมันมีความอ่อนโยนและเศร้าปนอยู่ในนั้น "เอ่อ... ลืมไปเลย คุณบอกว่าเป็นห่วงผมที่เดินทางไปกลับทุกวัน ขอบคุณนะ" คราวนี้คุณก็พ่อยิ้ม แต่โดนคุณแม่โยนค้อนกลับมาให้

               "ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่งแค่นั้น" คุณแม่พูด จากนั้นก็เลิกสนใจคุณพ่อ หันไปเช็ดตัวให้พี่ใหญ่จนเสร็จ ฉันแอบขำอยู่คนเดียว บางครั้งเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น มันก็ไม่ได้แย่เสมอไป ก็ทำให้สองคนมีความสุขในเศษเสี้ยวเล็ก ๆ แบบนี้ได้ อย่างคุณพ่อและคุณแม่ของฉันนั่นแหละ ที่ได้กลับมาเจอกันอีก
               
              ฉันมองออกว่าทั้งคู่มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ซึ่งมันเป็นการกระทำและความรู้สึกที่ไม่ควรเท่าไหร่ อย่างน้อยก็น่าจะให้เกียรติคนปัจจุบันบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้แสดงออกว่าห้ามหรือกีดกันอะไร หลายปีที่ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันเลย วันนี้ได้หวนกลับมาเจอกันอีก ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ฉันว่าพ่อแม่ของฉันลึก ๆ แล้วมีความสุข

                ฉันคิดว่าทั้งสองคงอยากอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ถึงฉันไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ฉันก็อยากเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันเพียงลำพังบ้าง บางทีทั้งสองคนอาจมีเรื่องอยากคุยกันก็ได้

                "คุณพ่อทานอะไรมาหรือยังคะ ตาลงไปซื้อมาให้ทานนะ" ฉันถาม

               "พ่อทานมาแล้ว เราไม่ต้องลำบากลงไปหรอก พ่อหิวเดี๋ยวพ่อหาทานเอง หนูซื้อมาให้แม่ก็ได้ คุณแม่ทานไรยังล่ะ" คุณพ่อห้าม จากนั้นก็ลุกเดินไปหาพี่ใหญ่ที่เตียงคนไข้ ยืนข้าง ๆ คุณแม่ ดูแลความเรียบร้อยให้

                "ฉันทานมาแล้ว ว่าแต่วันนี้คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนลูกทั้งวันใช่มั้ย งั้นฉันกลับดีกว่า กัญตาถ้าพี่รู้สึกตัวโทรหาแม่ทันทีนะ" คุณแม่สั่ง

              "จะรีบกลับไปไหนล่ะ ในเมื่อวันนี้คุณก็ว่างไม่ใช่เหรอ" คุณพ่อห้าม แววตาของคุณพ่อดูเว้าวอนคุณแม่มาก ๆ "อยู่เป็นเพื่อนลูกด้วยกันสิ บางทีลูกอาจจะอยากให้เราอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันก็ได้นะ" คุณพ่อพูด คุณแม่มองหน้าฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่เข้าใจความต้องการตัวเองเหมือนกัน ว่าต้องการแบบนี้หรือไม่ บางทีฉันอาจจะชอบก็ได้ เพราะไม่มีความรู้สึกอยากให้ใครคนใดคนหนึ่งกลับไปก่อนเลย

              "ก็ได้! แค่วันนี้วันเดียวนะ ฉันจะไม่มีทางทำแบบนี้อีก" คุณแม่ว่า

              "ทำไม... อยู่กับผมมันไม่มีความสุขขนาดนั้นเลยหรือไง ช่วยไม่ได้นะยังไงคุณก็ต้องเจอผม เพราะผมจะมาจนกว่าลูกจะหายดี" คุณพ่อประชดไม่เลิก แถมยังยิ้มบางกับคำประชดตัวเอง ราวกับต้องการจะยั่วโมโหคุณแม่ให้ได้
              
              พ่อแง่ยิ้มอนจริง ๆ อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ อีกทั้งสถานะก็ไม่ใช่จะมาพูดอะไรแบบนี้สักหน่อย ส่วนฉันนั่งฟังทั้งสองคนค่อนขอดกันเงียบ ๆ

               "เปล่า! ฉันแค่ไม่อยากเป็นขี้ปากใครก็เท่านั้น โดยเฉพาะภรรยาของคุณเอง"

                "กัญตาดูแม่ของลูกสิ ประชดพ่อเก่งไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่คบกันยังไม่ทันมีลูก จนตอนนี้ก็ยังประชดเก่งเหมือนเดิม"

                "นี่! ฉันไม่ได้ประชด ฉันพูดความจริง อดีตยังไงมันก็คืออดีต มันจะกลับมาเป็นปัจจุบันไม่ได้หรอก" คุณแม่ต่อว่าคุณพ่อ ทันทีที่คุณแม่พูดจบ จากที่คุณพ่อยิ้มหุบยิ้มโดยทันที

              "อืม... ผมทราบดี และรู้ตัวเสมอ" เหมือนคุณแม่สะอึกกับคำพูดของตนเอง คงนึกโกรธตัวเองที่พูดอะไรออกมาโดยไม่คิด ฉันคิดว่าคุณแม่ก็คงมีความสุขกับวันนี้ไม่แพ้กัน เพียงแค่ไม่แสดงออก ฉันเดาจากสายตาของคุณแม่เวลามองคุณพ่อนั่นเอง

                ทันใดนั้นฉันเห็นพี่ใหญ่เคลื่อนไหวร่างกาย และลืมตาขึ้น ฉันดีใจมาก "คุณพ่อคุณแม่คะ พี่ใหญ่รู้สึกตัวแล้วค่ะ" ฉันบอกทุกคนพร้อมถลาเข้าไปหาพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ทั้งสองก็กรูเข้ามาเกาะขอบเตียงเหมือนกับฉันด้วยความตื่นเต้น

                คุณพ่อกับคุณแม่หันไปยิ้มให้กัน คุณพ่อโอบไหล่คุณแม่ ดีใจที่พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว ส่วนคุณแม่โอบเอวคุณพ่อเอาไว้ จากที่หลับไปเกือบสามวันเต็ม ๆ คุณแม่แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ

                "กัญตาเรียกหมอเร็วลูก" คุณแม่สั่งฉัน จากนั้นฉันก็เรียกหมอให้มาดูอาการของพี่ใหญ่ด้วยความดีใจเหมือนกัน สายตาก็มองไปที่พี่ชายและพ่อแม่ ทั้งคู่ยังคงโอบไหล่กันไม่ปล่อย เป็นภาพที่หาดูยากจริง ๆ พี่ใหญ่คงคิดแบบฉัน เพราะนอนมองทั้งคู่ตาแป๋ว พูดอะไรยังไม่ได้

               คุณแม่เหมือนจะรู้ตัว มองหน้าคุณพ่อสลับกับมองมือของคุณพ่อที่ไหล่ของตน ส่วนมือตัวเองนั้น คุณแม่ปล่อยจากเอวของคุณพ่ออย่างไว ฉันยิ้มขำ ไม่กล้าทักท้วงหรือพูดใด ๆ ออกมา กลัวทั้งสองเขิน

               "เอ่อ ผมขอโทษ มัวแต่ดีใจที่ลูกฟื้นน่ะ ไม่ได้ตั้งใจนะ" คุณพ่อกล่าวขอโทษ

              "ฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้ตั้งใจ" ทั้งคู่ยิ้มให้กัน นาทีนี้ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น พี่ใหญ่สำคัญที่สุดกับทั้งสองคน

              ไม่นานคุณคุณหมอก็เข้ามาดูอาการของพี่ใหญ่ นับว่าการรักษาเป็นไปในแนวโน้มที่ดีขึ้น อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็คงหายและกลับบ้านได้ คุณหมอถอดอุปกรณ์บางส่วนออกไปจากร่างกายของพี่ใหญ่ ทำให้รู้สึกโล่งไปมาก แต่พี่ใหญ่ยังคงขยับตัวไม่ได้มาก เพราะเจ็บอยู่

               "หมดเคราะห์สักทีนะลูก แม่กับพ่อแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งหลายวันที่ลูกหลับไม่รู้สึกตัว" คุณแม่พูดกับลูกชายและกุมมือเอาไว้ ข้าง ๆ ก็มีคุณพ่ออยู่ด้วย พี่ใหญ่ไปมองหน้าคุณพ่อคุณแม่สลับกัน แล้วก็มองฉัน ฉันยิ้มแบบรู้ความนัยใจของพี่ชาย ถึงมันจะเกิดขึ้นบนความเป็นความตายของพี่ใหญ่ แต่ฉันว่าพี่ใหญ่คงคิดไม่ต่างกับฉัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากมีช่วงเวลาแบบนี้

              "ทุกคนเป็นห่วงพี่ใหญ่มากนะ พี่เฟิร์นก็มาเฝ้าทั้งวันเมื่อวาน เดี๋ยวตาโทรบอกพี่เฟิร์นให้นะว่าพี่ใหญ่ฟื้นแล้ว พี่เฟิร์นต้องดีใจแน่ ๆ" ฉันบอกพี่ชาย พี่ใหญ่พยักหน้ารับรู้

               คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันอยู่เฝ้าไข้พี่ใหญ่จนเย็น บ่ายแก่คุณพ่อขอตัวกลับก่อนที่คุณลุงจะมารับคุณแม่ เพราะไม่อยากให้คุณลุงมาเจอแล้วเกิดความไม่สบายใจ พอคุณพ่อกลับไปได้เพียงครึ่งนาที คุณลุงก็มาถึง คุณลุงยิ้มเมื่อเห็นพี่ใหญ่รู้สึกตัวแล้ว เข้าไปพูดคุยด้วย จากนั้นทั้งสองก็ขอตัวกลับ เหลือเพียงฉันคนเดียวที่อยู่เฝ้าไข้พี่ชาย

จบบทที่ ๑๒
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่