[CR] รีวิว "Ren Omakase" By Mizu Mori ร้านอาหารญี่ปุ่นเสิร์ฟโอมากาเสะเริ่มต้น 13 เมนู 999฿++(ถ.กัลปพฤกษ์)

อยู่ดีๆแฟนผมก็เดินมาบอกว่าให้รีบแต่งตัวออกจากบ้านแล้วหยิบกล้องใหญ่พกติดตัวพาขึ้นแท็กซี่ด่วนจอดตรงหน้าร้าน "Mizu Mori" บนถนนกัลปพฤกษ์โดยมีเหตุผลว่าจองคอร์สโอมากาเสะตัวของ "Ren Omakase" เอาไว้เกือบลืมไปว่ามีนัดวันนี้รอบ 16.00 น. (เพราะถ้าไม่มาถือว่าสละสิทธิ์พร้อมถูกยึดเงินค่ามัดจำตามกติกา) ส่วนราคาเลือกได้ตั้งแต่ 13 เมนู 999++/16 เมนู 1,599++/19 เมนู 2,599++ ต้องชำระล่วงหน้า 500/700/1,300 บาทตามลำดับถ้าเกิดเหตุฉุกเฉิน/ติดธุระสำคัญสามารถเลื่อนได้ไม่เกิน 2 ครั้งหรือ 72 ชั่วโมงก่อนเข้าใช้บริการ อ่านรีวิวบนเว็บไซต์-เพจต่างๆก่อนหน้าถ่ายรูปได้ดูน่าทานแถมคะแนนค่อนข้างสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 3.9-4.7 เต็ม 5 ดาว นั่นแสดงว่าต้องอร่อยเด็ดเสิร์ฟวัตถุดิบชั้นเยี่ยมนำเข้าจากญี่ปุ่นสดใหม่โดยเชฟมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน สำหรับวิธีการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเพียงปักหมุดขับตามระบบแผนที่ในมือถือมีลานจอดเทหินแกรนิตขนาดกว้างขวางพิเศษด้านหน้า ถ้าใช้บริการขนส่งสาธารณะให้นั่ง BTS ลงสถานีวุฒากาศแล้วเรียกแท็กซี่,มอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกประมาณ 6 กม.ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง โดดเด่นด้วยอาคารภายนอกดีไซน์รูปทรงโมเดิร์นทันสมัยสวยงามติดแผ่นโปร่งแสงขนาดใหญ่อยู่ใกล้ริมถนนกัลปพฤกษ์ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่สีเขียวชวนสดชื่นสบายตาแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วครับผม

บรรยากาศและตกแต่งเริ่มต้นจากด้านนอกอาคารออกแบบให้ดูโมเดิร์นทันสมัยติดตั้งแผ่นโปร่งใสขนาดใหญ่ให้แสงลอดเข้ามาผ่านหลังคาสวยงามดูละมุนตามธรรมชาติล้อมรอบด้วยระเบียงทางเดินไม้ยาวกับกระจก ซึ่งทางร้านพยายามจำลองให้เหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนป่าไผ่ "อาราชิยาม่า" สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัดเกียวโตอันเป็นจุดหมายในฝันของชาวไทยหลายท่าน ผสานน้ำตกย่อมๆก่อจากหินเทียมสไตล์ญี่ปุ่นและติดตั้งเครื่องพ่นหมอกควันด้วยระบบอัลตร้าโซนิคคล้ายไอความร้อนบางเบาบนผิวน้ำแบบออนเซ็นเรียวกังในภูเขาห่างไกลผู้คนที่แดนอาทิตย์อุทัย โดยรวมให้อารมณ์สงบ,เยือกเย็นดูร่มรื่นแถมยังช่วยบำบัดกายพร้อมจิตใจให้สะอาดตามแบบฉบับวิถีแห่งพระพุทธศาสนานิกายเซน อีกทั้งยังเอาใจใส่ลูกค้ากลุ่มครอบครัวกรณีต้องใช้รถเข็นสำหรับผู้สูงอายุ/เด็กเล็กหรือคนพิการแนะนำว่าจอดรถตรงซุ้มหลังคาแล้วขึ้นทางลาดได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งวันนี้พวกเราสองคนก็เดินทางมาถึงก่อนเวลานัดอีกเล็กน้อยเพื่อถ่ายรูปตามมุมต่างๆภายในเพื่อจะได้เป็นการรบกวนลูกค้าท่านอื่นให้น้อยที่สุดครับ

เปิดประตูกระจกเข้ามาด้านในก็จะพบกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์พร้อมน้องพนักงานกล่าวทักทายและต้อนรับอย่างเป็นมิตรจัดการแจ้งชื่อกับเวลาที่จองเอาไว้ให้เรียบร้อยระหว่างนี้ยังมีเหลือเวลาอยู่ก็เลยขออนุญาตเดินสำรวจพร้อมถ่ายรูปเก็บบรรยากาศตามมุมต่างๆรอบร้านก่อน ก่อนอื่นต้องแจ้งก่อนว่า "Mizu Mori" นั้นเป็นชื่อของสถานที่แห่งนี้เปิดบริการภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นรูปแบบ A La Carte แยกแบรนด์ออกมาเพื่อจำหน่ายโอมากาเสะโดยเฉพาะนั่นก็คือ "Ren Omakase" ที่เราจะได้ลิ้มลองรสชาติกันวันนี้ บรรยากาศและการตกแต่งก็ยังคงเน้นสไตล์โมเดิร์นสมัยใหม่ผสมวิถีญี่ปุ่นตามพระพุทธศาสนานิกาย Zen ซึ่งแสดงถึงธรรมชาติอันแสนเรียบง่ายแลดูสมดุลตัดความหรูหราไม่จำเป็นออกไปจึงทำให้ลูกค้าที่เข้ามาทุกท่านรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายชวนจิตใจสงบเหมือนได้ตัดขาดโลกภายนอกแสนวุ่นวายทิ้งไว้หน้าประตู เริ่มต้นตั้งแต่ป่าไผ่ล้อมรอบทุกด้านเว้นพื้นที่ตรงกลางให้แสงลอดเข้าด้วยสวนหินแบบวัดญี่ปุ่นพื้นครึ่งร้านถูกปูด้วยไม้แท้สลับกระเบื้องหินดาดกับเฟอร์นิเจอร์แนวคิดคล้ายกัน ส่วนฝ้าทรงสูงด้านบนทาสีดำสนิทเพื่อไม่ให้ดูสว่างจนเกินไปเพิ่มโคมไฟสีเหลืองให้ความอบอุ่นลงตัวยกเว้นโซนบาร์จะใช้สีโดดเด่นกว่าจุดอื่นๆครับ

สำหรับใครที่เป็นสายชอบถ่ายรูปตัวยงนอกจากการตกแต่งร้านในบรรยากาศวิถีแบบ Zen สไตล์ญี่ปุ่นแล้วทางร้านก็ได้จัดมุมต่างๆให้ได้ออกลวดลายโพสท่าอย่างสวยงามอีกเพียบ ส่วนครอบครัวถ้าพาเด็กเล็กวัยกำลังซนเข้ามาก็มีสนามหญ้าด้านหลังพร้อมเครื่องเล่นต่างๆให้ได้ออกมาวิ่งเล่น-ปีนป่ายด้วยกันอย่างสนุกสนาน โดยระหว่างนั่งกินและปล่อยอารมณ์ดื่มด่ำไปกับเมนูคอร์สโอมากาเสะก็สามารถมองทะลุบานกระจกใสขนาดใหญ่มาข้างนอกได้ตลอดเวลาจึงปลอดภัย เพราะทำพื้นที่ปิดรั้วรอบขอบชิดติดห้องน้ำติดตั้งระบบสุขภัณฑ์อัตโนมัติมีพนักงานคอยดูแลรักษาความสะอาดตลอดเวลา เย็นนี้ถ้าไม่รู้ว่าจะไปดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆร้านไหนที่ "Mizu Mori" นั้นมีให้บริการทั้งสาเก/เหล้าบ๊วย/ไวน์แดง-ขาว/เบียร์มากมายหลากหลายยี่ห้อดูแปลกตาวางแช่อยู่แน่นเต็มตู้เย็นซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเกือบ 100% พร้อมโซนโต๊ะแบบบาร์เอาไว้ต้อนรับสายดื่มโดยเฉพาะ สุดท้ายเราเดินไปหาน้องพนักงานเพื่อขอเมนู A La Carte มานั่งชมพลางๆแบ่งออกเป็นรายการอาหาร-เครื่องดื่มตามลำดับแต่เล่มค่อนข้างหนาและไฟสะท้อนเยอะถ่ายรูปยากมากจึงขอฉบับออนไลน์แทนกดเข้าลิงก์นี้>> https://bit.ly/3TzMMK0 << ส่วน "Ren Omakase" เนื่องจากวัตถุดิบสดแต่ละคอร์สจะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามฤดูกาลเราขอแนะนำว่าให้แชตสอบถามตรงกับแอดมินที่ดูแลเพจ เมนูไหนทานไม่ได้รบกวนแจ้งทันทีทางเชฟจะได้รับทราบแล้วเปลี่ยนให้ตามความเหมาะสมครับ

กลับมานั่งตรงหน้าบาร์โอมากาเสะระหว่างที่เราเดินไปสำรวจถ่ายรูปตามมุมต่างๆภายในร้านทางเชฟก็ได้วุ่นกับการจัดเตรียมวัตถุดิบและภาชนะทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อนลูกค้าเข้าร้าน โดยหนึ่งรอบจำกัดไม่เกินเพียง 9 ท่านเท่านั้นเพื่อการดูแลอย่างทั่วถึงแบ่งเป็นวันละ 3 รอบคือ 12.00/16.00/19.00 น. ใช้เวลาประมาณ 1.5-2 ชั่วโมงต่อคอร์ส มื้อวันนี้ไม่รวมเครื่องดื่มเลยสั่ง "ชาเขียวเย็น" / "ชาเขียวร้อน" แบบรีฟิลเปลี่ยนสลับกันได้ราคาเพียงแก้วละ 50 บาทวางบนที่รองพร้อมหลอด ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกน้องพนักงานได้จัดเอาไว้อย่างครบถ้วนเรียงเต็มโต๊ะทั้งตะเกียบ/ฐานพักตะเกียบ/จานแบ่งขนาดเล็ก/ผ้าเช็ดมือเม็ดแคปซูลแช่น้ำเย็นๆก่อนใช้งาน/แท่นไม้วางซูชิเคียงขิงดองน้ำผึ้งรสชาติหวาน-เผ็ดร้อนขึ้นจมูกสดชื่นช่วยล้างคาวปลาในปากให้พร้อมสำหรับคำถัดไป สมาชิกร่วมโต๊ะชมกิจกรรม Omakase ในรอบนี้ก็เดินทางมากันครบทุกคนแล้วทางเชฟได้ลอกแผ่นพลาสติกใสออกจากถาดไม้ขนาดใหญ่เผยให้เห็นวัตถุดิบสดที่จะใช้ปรุงเป็นอาหารรวมทั้งหมด 13 รายการ เปิดต่อมรับรสชาติบนลิ้นให้ตื่นรู้ด้วย "Welcome Drink" (160 บาท) ทำจากน้ำส้มยูสุสกัดเข้มข้นผสมโซดารสชาติเปรี้ยวนำอมหวานเย็นซ่าสดชื่นเสิร์ฟในแก้วไวน์ทรงกว้างพิเศษช่วยส่งเสริมให้กลิ่นพุ่งเด่นชัดยิ่งขึ้นซึ่งพนักงานแนะนำว่าให้ค่อยๆจิบทีละน้อยจนหมดครับ

ตามมาด้วยเมนูที่สองอย่างรวดเร็วซึ่งมีชื่อว่า "Ika Somen" (160 บาท) ทำจากปลาหมึกหอมญี่ปุ่นหรือ Aori Ika (อาโอริอิกะ) ตัดส่วนหัวควักเครื่องในลอกหนังทิ้งแล้วสไลด์เป็นแผ่นบางๆโดยใช้มีดคมกริบผสานฝีมือเชฟซอยจนได้เส้นเรียวเล็กละเอียดออกมาคล้ายเมนูโซเมงสีขาวดูสะอาดตาเพิ่มสัมผัสเหนียวนุ่มชวนเคี้ยวสู้ฟันและซึมซับน้ำซอสได้อย่างชุ่มฉ่ำเข้าเนื้อ ราดพอนสึสูตรพิเศษทำเองรสชาติเค็ม,เปรี้ยวเย็นสดชื่นตัดความหวานตามธรรมชาติของอาโอริอิกะช่วยส่งเสริมกันให้โดดเด่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม จัดเสิร์ฟในแก้วค็อกเทลเพิ่มท็อปปิ้ง,ตกแต่งสวยงามด้วยไข่ปลาแซลมอนสีส้ม/ไข่คาเวียร์จากสเตอร์เจียนแท้สีดำสุดหรูหราพร้อมคีบเข้าปากพร้อมแตกระเบิดความอร่อยในคำเดียว เมนูลำดับสามคือ "Madai Karasumi" (220 บาท) ซูชิปลามาไดหรือที่รู้จักกันในชื่อไท้-กะพงแดง มีช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมในการจับตั้งแต่ฤดูหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิเกรดตกจากเบ็ดตามธรรมชาติซึ่งหาได้ยากสุด มีรสชาติเข้มข้น/กลิ่นหอมไขมันเฉพาะตัวให้สัมผัสเด้งกรอบแปลกใหม่วางบนข้าวปั้นซูชิสีน้ำตาลทาซอสโชยุบางๆ เพิ่มสิ่งสุดพิเศษไม่เหมือนใครด้วยคาราสึมิหรือไข่ปลากระบอกตากแห้งอีกหนึ่งวัตถุดิบชั้นเลิศ,ราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 5 หมื่นเยนของขึ้นชื่อจากเมืองนางาซากิขูดโรยด้านบนเล็กน้อยให้ความเค็มกลมกล่อมนุ่มลึกเข้ากับปลาเนื้อสีขาวได้เป็นอย่างดีครับ

สำหรับรายการที่สี่นั้นมีชื่อว่า "Shima Aji" (220 บาท) เป็นปลาลูกครึ่งเนื้อสีขาวสะอาดแต่หนังสะท้อนแสงสีเงินจับจากอ่าวโออิตะในภูมิภาคคิวชูทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ตรงไขมันชั้นหนาพิเศษซึ่งให้สัมผัสตอนเคี้ยวในปากจะคล้ายเยลลี่เด้งหวานกรุบกรอบหวานหอมกระจายทั่วทั้งโสตประสาท ตัดความเลี่ยนด้วยต้นหอมซอยละเอียดบดสีเขียวสวยงามด้านบนเพียงเล็กน้อยช่วยให้รสชาติของปลานั้นให้เด่นชัดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า มาต่อกันด้วยเมนูลำดับห้าได้แก่ "Kampachi Nigiri" (200 บาท) ปลาเนื้อสีขาวอีกชนิดนึงซึ่งอยู่ตระกูลหางเหลืองหรือ Yellow Tail แบบฮามาจิและบุรีที่เราคุ้นเคยในภัตตาคารทั่วไปจับจากธรรมชาติบริเวณอ่าวฮากาตะในจังหวัดฟุกุโอกะของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ตรงไขมันน้อยแลกกับเนื้อที่แน่น,กระชับสู้ฟันละเอียดกินแล้วไม่ค่อยเลี่ยนพร้อมกลิ่นหอมเฉพาะตัวฟุ้งเต็มปาก โดยทางเชฟก็นำเสนอแบบง่ายๆเพราะวัตถุดิบคุณภาพดีมากอยู่แล้วเพียงปั้นเสิร์ฟวางบนข้าวซูชิสไตล์นิกิริปรุงรสชาติให้หวานอมเปรี้ยวสีน้ำตาลทาโชยุเล็กน้อยก็พร้อมเข้าปากซึมซับความอร่อยได้ทันทีครับ

******* เกิน 10,000 ตัวอักษร ขออนุญาตเขียนรีวิวต่อในช่อง Comment แทนนะครับ *******
ชื่อสินค้า:   ren omakase by mizu mori
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่