ตอนนี้ ผมอายุ 17 ปี ครับ (อายุเท่าไหร่คงไมใช่ของสำคัญ ถึงธรรมะไม่มีเด็ก ไม่มีแก่ ไม่มีเพศ หรือบัญญัติต่าง ๆ ตามที่กล่าว แต่กล่าวไว้เพื่อเป็นปัจจัย เผื่อในการตอบคำถาม จะได้คำตอบที่เปลี่ยนไป เพราะความจำเป็นที่ต้องเข้าหา โลก ของ จขกท ครับ)
- 2 ปีก่อนผมฟัง ลพ.ปราโมทย์และฝึกดูจิตตามแบบที่ท่านสอน (พยายามจะทำให้ได้ตามที่ท่านสอน แต่ "ผล" ได้ตามที่ท่านสอนไว้หรือไม่ผมมิบังอาจ)
ผมดูตัวหลง-ไม่หลง พยายามสำรวมระวังเรื่องศีล พยายามศึกษา เหตุ ของสมาธิ ฟังให้ได้มากที่สุดทั้งของท่านเองหรือของพระป่ากรรมฐานในไทย
หลวงพ่อพุธ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงพ่อสิงห์ทอง หลวงตามหาบัว หลวงปู่เทสก์ ฯลฯ แต่นับเป็นเพียงความรู้ของผู้อื่นที่ยืมมาประทับไว้ชั่วครั้งชั่วคราว
อย่างไรก็ดี มันทำให้ผมมีศรัทธา มากขึ้นตามที่ผมเองสังเกตขึ้นมาได้ เช่น เมื่อมีปัญหาครอบครัว หรือ คนรอบข้าง ผมจะคิดถึงกรรม-หรืออำนาจวาสนา บารมี ปัจจัยของการเป็นผู้มีสติ ปัญญา ปัจจัยของผู้ไม่มีสติปัญญา ที่มา-ที่ไป นรก-สวรรค์ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
จนผมเริ่มเข้าใจเรื่องการไม่จองเวรกัน การสืบเนื่องของกรรม การที่ทำไมเรามีนิสัยแบบนี้ แต่พี่เรามีนิสัยอีกอย่างหนึ่ง แม้ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม หรือ การสะสมด้วยตัวเอง ( ผู้เฒ่า ผู้แก่แถวบ้านผมเรียก พาเกิด )
ถึงแม้จะแค่ได้ฟังธรรม และวิปัสสนาไม่เป็น ผมก็รู้สึกได้ว่ามีอานิสงฆ์ มาก ในเรื่อง ศีล (หากปรารภในการฟังเพื่อแผดเผากิเลส ถูก)
- สักพักหนึ่งเรื่องเรียนและกิจกรรม ด้วยความเหลวไหล สงสัยในธรรม การได้ใกล้หรือฟังธรรมะก็เป็นอันห่างเหินไป
เมื่อสัก 8 เดือนถึงปีก่อน จิตที่ไปเที่ยวเพิ่งกลับบ้าน แต่โดนเจ้าของบ้านสวดหนัก ผมเริ่มกลับมาฟังธรรมะ และตั้งใจปฏิบัติอีกครั้ง ช่วง ม.4 ขึ้น ม.5
ซึ่งผมไปเจอ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต ในเน็ตเหมือนเดิมพบว่าท่านเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ผมก็ฟัง ๆ ๆ ท่าน หลาย ๆ เทป ๆ จนติดในสำเนียงเทศน์ของท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะเทศน์สอนสิ่งที่ไปขัดกับสิ่งที่ ลพ. ปราโมทย์สอน แต่ผมก็มองให้ลงเป็นอันเดียวกันไป เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่อง แนวทาง แต่ละคน
และเป็นการปกป้องวิถี ข้อวัตรครูบาอาจารย์สายวัดป่ากรรมฐาน จึงไม่ติดเรื่องบุคคลและการสอน กระทั่งท่านพุทธทาสที่เคยอ่านก่อนฟังลพ.ปราโมทย์เสียอีก
คือแต่ก่อนผมชอบอ่านกระทู้เกี่ยวกับธรรมะในพันทิปมาก ผมรู้จักหลาย ๆ ท่านในนี้โดยมิได้ร่วมถาม ร่วมสงสัยด้วย ได้แต่สงสัย แล้ว ลอยอยู่อย่างนั้น
และผมสงสัยถึงท่านสมาชิก 4114431 หรืออีกหลาย ๆ ล็อกอินจากในพันธิปและเว็บอื่น ๆ ที่เขาเล่น คือ ผมได้อ่านการตอบคำถามของท่านแล้ว มันรู้สึกซาบซ่านยังไงไม่รู้ รู้สึกว่า รส ของ ภาษา ที่ท่านสื่อ มันทิ่มแทง ทิฏฐิ ในตัวผม แต่ก็ไม่เห็นตอบคำถามอีกแล้ว หรือเลิกเล่นไปแล้ว แต่ผมเชื่ออยู่ลึก ๆ ว่าท่านเป็นผู้แตกฉานท่านหนึ่ง หากมิได้มองที่ ภาษา เพื่อจะสื่อถึงเรื่องจิต
เร็ว ๆ นี้ผมก็ได้เห็นสมาชิกท่านหนึ่งในพันทิป ท่านตอบคำถามคล้าย อาแปะ ที่เคยตอบอยู่ในนี้มาก ผั๊วะ!!! ผ๊ะ!!! เหมือนกันเป๊ะ
แล้วผมก็เกิดคำถามดังนี้ว่า ฌานแบบฤาษี ต้องทำให้เกิดอยู่นั้น ไม่ใช่สมาธิแบบพุทธ ของฌานพุทธไม่ต้องทำ ไม่มีการนั่งแช่จนเมื่อยก้น แต่อาศัย การฟังธรรมของสัตบุรุษ เจริญสติปัฏฐาน ๔ มีศรัทธา มีโยนิโสมนสิการ มีสติสัมปชัญญะ มีอินทรียสังวร มีสุจริต ๓ วิชชา วิมุตติ เป็นต้น และมิใช่การนั่งสะสม อมบารมี แต่อย่างใด ( เกี่ยวอะไรกับ ฌานสูตร หรือพระสูตรอื่น ๆ ที่เคยแสดงไหมครับ ตรงนี้ )
และเรื่องการดูจิต เมื่อผมฟังแนวทางของพระป่ากรรมฐานจนทราบแนวทาง สมถะ-วิปัสสนา หรือ ปัญญาอบรมสมาธิ แบบนั้นแล้ว
ผมกลับมาฟังหลวงพ่อปราโมทย์ แล้วไม่เข้าใจคำว่า "จิตที่มีกุศล อกุศลไม่เกิดร่วม" หรือ ในขณะที่จิตมีกุศล จะไม่มีจิตอศุกลเกิดร่วม , เมื่อไปรู้หลง ณ ตอนนั้น จิตก็ไม่หลง เหมือนว่ารู้อะไรสิ่งนั้นก็ดับไป ผม งง ว่า ดับไปเพราะอะไรครับ ( มีตำราไหนรองรับ หรือเป็นความฉลาดในการก้าวเดินของท่าน?? อันนี้มิได้กล่าวหาอย่างใดนะครับ เพียงแต่ ผมอยากเข้าใจเหตุของมัน ) -- มันเกี่ยวข้องโยงใยกับ ปัญญาอบรมสมาธิของหลวงพ่อสงบ หรือ หลวงตามหาบัว อย่างไรครับ และท่านยังกล่าวถึงแนวทาง สุกขวิปัสสโกอีก ซึ่งผมก็เข้าใจว่าต้องมี ฌาน ตอนบรรลุ แต่ตลอดทางการพิจารณา จะได้สมาธิ จิตจะตั้งมั่นไม่ตั้งมั่น มีอะไรเป็นเหตุ
ทุกวันนี้ผมบริกรรมพุทโธเร็ว ๆ ชัด ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรติดข้องในใจผมก็จะพิจารณาให้มันลง จนมันค่อย ๆ ปล่อย
แต่พบว่าไม่เคยได้ความสงบ จะได้แต่เพียงความคิดเท่านั้น
ขอโทษที่พิมพ์มายืดยาว และขอบพระคุณที่ท่านอ่านจนจบครับ ขอบคุณครับ
ฉลาดในเหตุของการทำให้แจ้งเป็นอย่างไร
- 2 ปีก่อนผมฟัง ลพ.ปราโมทย์และฝึกดูจิตตามแบบที่ท่านสอน (พยายามจะทำให้ได้ตามที่ท่านสอน แต่ "ผล" ได้ตามที่ท่านสอนไว้หรือไม่ผมมิบังอาจ)
ผมดูตัวหลง-ไม่หลง พยายามสำรวมระวังเรื่องศีล พยายามศึกษา เหตุ ของสมาธิ ฟังให้ได้มากที่สุดทั้งของท่านเองหรือของพระป่ากรรมฐานในไทย
หลวงพ่อพุธ หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงพ่อสิงห์ทอง หลวงตามหาบัว หลวงปู่เทสก์ ฯลฯ แต่นับเป็นเพียงความรู้ของผู้อื่นที่ยืมมาประทับไว้ชั่วครั้งชั่วคราว
อย่างไรก็ดี มันทำให้ผมมีศรัทธา มากขึ้นตามที่ผมเองสังเกตขึ้นมาได้ เช่น เมื่อมีปัญหาครอบครัว หรือ คนรอบข้าง ผมจะคิดถึงกรรม-หรืออำนาจวาสนา บารมี ปัจจัยของการเป็นผู้มีสติ ปัญญา ปัจจัยของผู้ไม่มีสติปัญญา ที่มา-ที่ไป นรก-สวรรค์ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
จนผมเริ่มเข้าใจเรื่องการไม่จองเวรกัน การสืบเนื่องของกรรม การที่ทำไมเรามีนิสัยแบบนี้ แต่พี่เรามีนิสัยอีกอย่างหนึ่ง แม้ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม หรือ การสะสมด้วยตัวเอง ( ผู้เฒ่า ผู้แก่แถวบ้านผมเรียก พาเกิด )
ถึงแม้จะแค่ได้ฟังธรรม และวิปัสสนาไม่เป็น ผมก็รู้สึกได้ว่ามีอานิสงฆ์ มาก ในเรื่อง ศีล (หากปรารภในการฟังเพื่อแผดเผากิเลส ถูก)
- สักพักหนึ่งเรื่องเรียนและกิจกรรม ด้วยความเหลวไหล สงสัยในธรรม การได้ใกล้หรือฟังธรรมะก็เป็นอันห่างเหินไป
เมื่อสัก 8 เดือนถึงปีก่อน จิตที่ไปเที่ยวเพิ่งกลับบ้าน แต่โดนเจ้าของบ้านสวดหนัก ผมเริ่มกลับมาฟังธรรมะ และตั้งใจปฏิบัติอีกครั้ง ช่วง ม.4 ขึ้น ม.5
ซึ่งผมไปเจอ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต ในเน็ตเหมือนเดิมพบว่าท่านเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ผมก็ฟัง ๆ ๆ ท่าน หลาย ๆ เทป ๆ จนติดในสำเนียงเทศน์ของท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะเทศน์สอนสิ่งที่ไปขัดกับสิ่งที่ ลพ. ปราโมทย์สอน แต่ผมก็มองให้ลงเป็นอันเดียวกันไป เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่อง แนวทาง แต่ละคน
และเป็นการปกป้องวิถี ข้อวัตรครูบาอาจารย์สายวัดป่ากรรมฐาน จึงไม่ติดเรื่องบุคคลและการสอน กระทั่งท่านพุทธทาสที่เคยอ่านก่อนฟังลพ.ปราโมทย์เสียอีก
คือแต่ก่อนผมชอบอ่านกระทู้เกี่ยวกับธรรมะในพันทิปมาก ผมรู้จักหลาย ๆ ท่านในนี้โดยมิได้ร่วมถาม ร่วมสงสัยด้วย ได้แต่สงสัย แล้ว ลอยอยู่อย่างนั้น
และผมสงสัยถึงท่านสมาชิก 4114431 หรืออีกหลาย ๆ ล็อกอินจากในพันธิปและเว็บอื่น ๆ ที่เขาเล่น คือ ผมได้อ่านการตอบคำถามของท่านแล้ว มันรู้สึกซาบซ่านยังไงไม่รู้ รู้สึกว่า รส ของ ภาษา ที่ท่านสื่อ มันทิ่มแทง ทิฏฐิ ในตัวผม แต่ก็ไม่เห็นตอบคำถามอีกแล้ว หรือเลิกเล่นไปแล้ว แต่ผมเชื่ออยู่ลึก ๆ ว่าท่านเป็นผู้แตกฉานท่านหนึ่ง หากมิได้มองที่ ภาษา เพื่อจะสื่อถึงเรื่องจิต
เร็ว ๆ นี้ผมก็ได้เห็นสมาชิกท่านหนึ่งในพันทิป ท่านตอบคำถามคล้าย อาแปะ ที่เคยตอบอยู่ในนี้มาก ผั๊วะ!!! ผ๊ะ!!! เหมือนกันเป๊ะ
แล้วผมก็เกิดคำถามดังนี้ว่า ฌานแบบฤาษี ต้องทำให้เกิดอยู่นั้น ไม่ใช่สมาธิแบบพุทธ ของฌานพุทธไม่ต้องทำ ไม่มีการนั่งแช่จนเมื่อยก้น แต่อาศัย การฟังธรรมของสัตบุรุษ เจริญสติปัฏฐาน ๔ มีศรัทธา มีโยนิโสมนสิการ มีสติสัมปชัญญะ มีอินทรียสังวร มีสุจริต ๓ วิชชา วิมุตติ เป็นต้น และมิใช่การนั่งสะสม อมบารมี แต่อย่างใด ( เกี่ยวอะไรกับ ฌานสูตร หรือพระสูตรอื่น ๆ ที่เคยแสดงไหมครับ ตรงนี้ )
และเรื่องการดูจิต เมื่อผมฟังแนวทางของพระป่ากรรมฐานจนทราบแนวทาง สมถะ-วิปัสสนา หรือ ปัญญาอบรมสมาธิ แบบนั้นแล้ว
ผมกลับมาฟังหลวงพ่อปราโมทย์ แล้วไม่เข้าใจคำว่า "จิตที่มีกุศล อกุศลไม่เกิดร่วม" หรือ ในขณะที่จิตมีกุศล จะไม่มีจิตอศุกลเกิดร่วม , เมื่อไปรู้หลง ณ ตอนนั้น จิตก็ไม่หลง เหมือนว่ารู้อะไรสิ่งนั้นก็ดับไป ผม งง ว่า ดับไปเพราะอะไรครับ ( มีตำราไหนรองรับ หรือเป็นความฉลาดในการก้าวเดินของท่าน?? อันนี้มิได้กล่าวหาอย่างใดนะครับ เพียงแต่ ผมอยากเข้าใจเหตุของมัน ) -- มันเกี่ยวข้องโยงใยกับ ปัญญาอบรมสมาธิของหลวงพ่อสงบ หรือ หลวงตามหาบัว อย่างไรครับ และท่านยังกล่าวถึงแนวทาง สุกขวิปัสสโกอีก ซึ่งผมก็เข้าใจว่าต้องมี ฌาน ตอนบรรลุ แต่ตลอดทางการพิจารณา จะได้สมาธิ จิตจะตั้งมั่นไม่ตั้งมั่น มีอะไรเป็นเหตุ
ทุกวันนี้ผมบริกรรมพุทโธเร็ว ๆ ชัด ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรติดข้องในใจผมก็จะพิจารณาให้มันลง จนมันค่อย ๆ ปล่อย
แต่พบว่าไม่เคยได้ความสงบ จะได้แต่เพียงความคิดเท่านั้น
ขอโทษที่พิมพ์มายืดยาว และขอบพระคุณที่ท่านอ่านจนจบครับ ขอบคุณครับ