ฝ่ายค้านลุยต่อ! ยื่นญัตติซักฟอกตาม ม.152 ทันทีที่เปิดสภา เล็งขยี้ 2 เรื่องใหญ่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7304946
พรรคร่วมฝ่ายค้าน เดินหน้าเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นัดถก 10 ต.ค.นี้ เน้น 2 ปมใหญ่ ย้ำพร้อมยื่นญัตติ 2 พ.ย.
เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน นัดประชุมเพื่อหารือประเด็นในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ซึ่งแต่ละพรรคจะนำประเด็นมาหารือสรุปร่วมกัน เพื่อสอบถามไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ส่วนกรอบอภิปราย แบ่งเป็น 2 ประเด็น
1.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่น กรณีเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ว่ารัฐบาลมีแนวทางแก้ไขอย่างไร และใครรับผิดชอบอะไรบ้าง รวมทั้งเรื่องที่มีผลกระทบกับประเทศ ประชาชน เศรษฐกิจ ความมั่งคงและการมือง
2.การเสนอแนะปัญหาต่อครม. ซึ่งฝ่ายค้านเห็นว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล 3 ป.และครม. ที่สร้างปัญหาให้ประชาชน จะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร
เมื่อถามว่าจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปมาตรา 152 ช่วงใด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ประชุมสภาสมัยสามัญจะเปิดในวันที่ 1 พ.ย.นี้ แต่สภาจะเริ่มประชุมวันแรกในวันที่ 2 พ.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันพุธ ดังนั้น เราจะยึดวันที่ 2 พ.ย.เป็นหลัก เพราะถ้ายื่นได้เร็ว เราจะได้อภิปรายเร็ว
‘พิธา’ แฉ 5 ปี รบ.ประยุทธ์ ตั้งงบซื้อปืนให้ ตร. กว่า 8 หมื่นกระบอก เพิ่มขึ้น 20 เท่า
https://www.matichon.co.th/politics/news_3605162
‘พิธา’ แฉ 5 ปี รบ.ประยุทธ์ ตั้งงบซื้อปืนให้ ตร. กว่า 8 หมื่นกระบอก เพิ่มขึ้น 20 เท่า จาก 10 ปีก่อน แถมไทยยังจับยาบ้า ยาไอซ์อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออก
จากกรณี ส.ต.อ.
ปัญญา คำราบ อดีต ผบ.หมู่ ป.สภ.นาวัง และถูกไล่ออกจากราชการ เนื่องจากถูกจับกุมคดียาเสพติด ซึ่งได้ก่อเหตุกราดยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 37 คน เหตุเกิดเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 6 ต.ค. ก่อนจะยิงตัวตายพร้อมลูกและเมีย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่านไอจีส่วนตัวเกี่ยวกับงบประมาณในการจัดซื้อปืนให้กับตำรวจ ในช่วงรัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า คืนนี้เป็นคืนที่คนไทยทั้งประเทศหัวใจสลาย ผมเปิดประตูเข้าบ้าน ลูกสาวเดินมาจูงไปกินข้าวเป็นเพื่อน แต่ผมยังสลัดเรื่องหดหู่ที่เกิดขึ้นที่หนองบัวลำภูในหัวผมไม่ออก
ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ทราบที่แรงจูงใจ และ สาเหตุที่ชัดเจน ผมเองยังไม่ด่วนสรุป เพราะตามข่าวจากรายงานเหมือนคนทั่วไป พร้อมกับตามจากทีมก้าวไกล หนองบัวลำภู แต่คงพอจะเห็นภาพได้ว่าเกิดในภาวะที่เครียดสะสม การเข้าถึงอาวุธได้ง่าย และ ยาเสพติด
อย่างแรกที่เข้ามาในหัว ผมระลึกถึงข้อมูล 2 ชุดที่ผมคิดว่าสำคัญต่อการถกเถียงและ “ป้องกัน” ไม่ให้มีการสูญเสียอีก คือเมื่อ ตอน สิงหา ปี 2564 ตอนผมทำหน้าที่ กรรมาธิการงบประมาณ ได้เห็นแผนการใช้จ่าย ซักถาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึง
1) การซื้ออาวุธหนัก
ในปี 2550 – 2560 – ขอซื้อ 3,590 กระบอก
ในปี 2561 – 2565 – ขอซื้อ 80,303 กระบอก
เพิ่มขึ้น ~ 20 เท่าใน 1 ทศวรรษ
จำได้ว่ายังไม่ร่วมการจัดหาปืน ในหน่วยงานอื่นๆ เช่น ที่ 3 จังหวัด หรือ หน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ
2) Financial times สื่อต่างประเทศที่ตีแผ่ถึงการขยายตัวของยาเสพติด (และราคาที่ถูกลงอย่างน่ากลัว) ในไทยและพม่า โดยมีข้อมูลดังนี้
3 อันดับประเทศในเอเชียตะวันออกและอาเซียนที่จับยาบ้าและยาไอซ์ได้สูงสุด
ไทย ยาบ้า 592,013,942 เม็ด / ยาไอซ์ 22,126.7 กิโลกรัม
เมียนมา ยาบ้า 198,188,715 เม็ด / ยาไอซ์ 13,815.8 กิโลกรัม
สปป. ลาว ยาบ้า 143,007,700 เม็ด / ยาไอซ์ 2,991 กิโลกรัม
คืนนี้คงไม่มีคำพูดอะไรมากกว่าข้อมูล 2 ชุดนี้ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทุกท่านอีกครั้ง
ส่อง! บรรยากาศ ‘เอเปค’ ปี46 กับปัจจุบันต่างกันมาก-ไทยเนื้อไม่หอมแล้ว!
https://www.dailynews.co.th/articles/1551897/
“ทูตนอกแถว” เล่าบรรยากาศประชุมเอเปคปี 46 กับปัจจุบันต่างกันมากเพราะไทยเนื้อไม่หอม! จากปัจจัยการเมือง-ละเมิดสิทธิมนุษยชน-ไม่มีเงิน! แถมยังมี “จี20” ประชุมล่วงหน้าก่อน 2 วันที่อินโดนีเซีย ทิ้งคำถามน่าคิดทำไม “ไบเดน” ต้องแจ้งล่วงหน้าเกือบ 2 เดือนว่าไม่มาไทย
วันที่ 18-19 พ.ย.65 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค โดยมีสมาชิกประกอบด้วย 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ ไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ปาปัวนิวกินี เม็กซิโก ชิลี เปรู เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย
ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคครั้งหลังสุดเมื่อปี 46 ได้อย่างยิ่งใหญ่ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นบรรยากาศที่ประทับใจของ นาย
รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูต และเจ้าของเพจ “
ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ซึ่งตอนนั้นเป็นข้าราชการในกรมสารนิเทศ ทำหน้าที่ดูแล
“เพรส เซ็นเตอร์” ซึ่งมีนักข่าวไทย-ต่างประเทศ มาปักหลักทำข่าวการประชุมเอเปคเป็นจำนวนมาก
ทำไม “เอเปค” ปี 46 กับปัจจุบันจึงต่างกันมาก!
จากประสบการณ์ดังกล่าว นาย
รัศม์ได้เล่าบรรยากาศเกี่ยวกับการประชุมเอเปคในปี 46 และเอเปคปี 65 ให้
“ทีมข่าว Special Report” ฟังว่า บรรยากาศการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อ 19 ปีที่แล้ว กับปีนี้แตกต่างกันมาก เพราะรัฐบาลในขณะนั้นเป็นรัฐบาลเลือกตั้งจากเสียงข้างมาก และมีเสถียรภาพ จึงมีพลังในการผลักดันนโยบายต่างๆ ออกมาแล้วทำสำเร็จด้วย เศรษฐกิจก็ดี มีเงินในกระเป๋า ทำให้ประเทศไทย
“เนื้อหอม” เราจึงเป็นดาวเด่นในภูมิภาคนี้ เป็นจุดที่น่าสนใจ ใครผ่านมาแถวนี้ต้องแวะมาไทย ดังนั้นการประชุมเอเปคปี 46 ผู้นำระดับโลกจึงมากับครบ
แต่ปัจจุบันแตกต่างกับปี 46 มากๆ เนื่องจากรัฐบาลขาดความชอบธรรมในหลายเรื่อง เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วในหลักสากลที่หลอกกันไม่ได้เลยคือการมี ส.ว. 250 คน มาจากการแต่งตั้ง โดย ส.ว.มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาฯ ตรงนี้แหละที่ทำให้นายกรัฐมนตรีไทยไม่สง่างามในสังคมโลก แถมยังเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง จึงไม่มีเสถียรภาพอย่างแท้จริงในการผลักดันนโยบาย เนื่องจากรัฐบาลทหารขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มา 8 ปี แต่ไม่มีปีไหนเลยที่ “จีดีพี” โตถึง 4-5% และอย่าไปอ้างโควิด-19 ระบาด เพราะหลายประเทศในอาเซียน
“จีดีพี” เขาโตกันมากกว่า 5%
“8 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีภาพของความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ เมื่อปี 64 มีการประชุมอาเซียนพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์ในประเทศเมียนมา แต่ผู้นำของไทยไม่ได้ไปร่วมประชุม ผมงงเหมือนกันว่าทำไมผู้นำของเราจึงไม่ไป เพราะมันพัวพันกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ยิ่งทำให้เรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีหนักขึ้นไปอีก แถมในกระเป๋าสตางค์ก็ไม่มีเงิน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ประเทศไทยในปัจจุบันจึงมีความน่าสนใจน้อยกว่าปี 46 หลายคนอาจจะบอกว่า ประเทศจีนก็มีภาพลักษณ์ไม่ดีเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่อย่าลืมว่าจีนเขาร่ำรวย มีเงิน จึงเนื้อหอม ใครก็ต้องการคุยกับจีน”
ประชุมเต็มรูปแบบทำไม? “จี20” ดักหน้าอีก!
นายรัศม์ เล่าต่อไปว่า การประชุมเอเปค 2 ครั้งหลังสุดที่มาเลเซีย และนิวซีแลนด์ จัดการประชุมแบบออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ระบาด แต่พอปีนี้ถึงคิวประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ตนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องจัดการประชุมเต็มรูปแบบ เนื่องจากเนื้อหาสาระของการประชุมเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือในปัจจุบันเป็นเรื่อง
“รูทีน” ไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบินมาประชุมก็ได้ ถ้าบินมาประชุมเพื่อคุยกันเรื่อง
“ไบโอกรีน” มันน่าสนใจนักหรือ? ใครเขาจะมา?
แต่ที่น่าสงสัยคือ ไม่รู้ใครแกล้งใคร ไม่รู้ว่าปรารถนาดีหรือว่าประสงค์ร้ายกันแน่? เพราะมีการจัดการประชุม
“จี20” ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนการประชุมเอเปคที่กรุงเทพฯ 2 วัน
ปรารถนาดีเพราะคิดว่ามาประชุม
“จี20” ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศมหาอำนาจของโลก ยักษ์ใหญ่ของโลก แล้วต้องบินมาประชุมเอเปคกันต่อที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าเขาไม่อยากมาล่ะ? เสร็จจาก
“จี20” แล้วบินกลับเลย เพราะตรงนั้นมีวาระการประชุมสำคัญๆ ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองโลก ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ไปคุยกันที่นั่น ประเทศมหาอำนาจในยุโรปต้องไป
“จี20” แต่ไม่มาไทย เนื่องจากประเทศในยุโรปไม่ได้เป็นสมาชิกเอเปค
น่าคิด! “ไบเดน” รีบแจ้งล่วงหน้าเร็วนัก!
ถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า
“ปูติน” ผู้นำรัสเซียจะมาร่วมประชุมเอเปคหรือเปล่า เนื่องจากที่บ้านเขายังยุ่งๆเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ปูตินคงทิ้งบ้านออกไปไหนหลายๆวันไม่ได้หรอก แต่ที่แน่คือ
“ไบเดน” ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่มาเอเปค เพราะติดงานแต่งหลานสาว ซึ่งตรงนี้ตนสงสัยมากว่าทำไม
“ไบเดน” จึงต้องแจ้งล่วงหน้านานจัง? ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า? หรือว่าเกี่ยวกับกรณีนาย
ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ บินไปเชิญผู้นำรัสเซียเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แล้วจึงบินไปอเมริกา แต่อีกไม่กี่วันต่อมาจึงมีข่าวออกมาเลยว่า
“ไบเดน” ไม่มา
ทั้งที่ผู้นำเขตเศรษฐกิจต่างๆ จะมาหรือไม่มา หรือจะส่งตัวแทนมาร่วมประชุม ถือเป็นเรื่องปกติ จะตัดสินใจกันชั่วโมงสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องบินยังได้เลย แต่ผู้นำอเมริกาแจ้งล่วงหน้าเกือบๆ 2 เดือนว่าไม่มา อันนี้น่าคิดนะ!
เมื่อถามว่า “ไบเดน” ไม่มา! ส่วน “ปูติน” ยังไม่แน่ว่าจะมาหรือเปล่า ทำให้การประชุมเอเปคไม่เป็นที่สนใจของสังคมโลกหรือเปล่า?
นาย
รัศม์ กล่าวว่า ไม่รู้ว่าผู้นำจีนมาหรือเปล่า เพราะถ้า
“ไบเดน-ปูติน” ไม่มา แต่
“สี จิ้นผิง”มา! เขาจะเป็นดาวเด่นในเอเปค และผู้นำไต้หวันคงมาแน่! ถ้าผู้นำจีนกับผู้นำไต้หวันได้มานั่งคุยกันที่กรุงเทพฯ มีภาพปรากฏออกไปทั่วโลก สังคมโลกก็จะให้ความสนใจการประชุมเอเปคในประเทศไทย
แต่วันนี้ต้องไปถามกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีสื่อมวลชนต่างประเทศติดต่อขอเข้ามาทำข่าวการประชุมเอเปคมากน้อยแค่ไหนแล้ว เนื่องจากปี 46 ที่ตนดูแล
“เพรส เซ็นเตอร์” มีสื่อมวลชนไทย-ต่างประเทศ มาเฝ้ารายงานกันอย่างคักคักมากจำนวนหลายร้อยคน ทำให้ข่าวการประชุมเอเปคปี 46 แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว.
คนไทยแห่สัมผัสรถไฟลาว-จีน ดันท่องเที่ยวเพิ่ม 40%
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/314370
นักท่องเที่ยวไทยแห่สัมผัสรถไฟ สปป.ลาว-จีน ดันการท่องเที่ยว สปป.ลาวเพิ่มถึง 40%
นาย
วันนะสอน วาละกอน ประธานมัคคุเทศก์แห่งประเทศลาว เปิดเผยถึงภาพรวมการท่องเที่ยวหลังเปิดใช้รถไฟ สปป.ลาว-จีน บวกกับสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พบว่า รถไฟ สปป.ลาว-จีน ดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้เพิ่มขึ้น ถึง 40% ในจำนวนนี้ 80% เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยไทย ส่วนที่เหลือเป็นชาวเวียดนาม และเกาหลีใต้ มั่นใจว่าในปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น 30-40% เป็นอย่างน้อย จากปกติที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านคนต่อปี
JJNY : 5in1 ยื่นซักฟอกทันทีที่เปิดสภา│‘พิธา’แฉ5ปีซื้อปืน│ไทยเนื้อไม่หอมแล้ว!│คนไทยแห่สัมผัสรถไฟลาว-จีน│ผวาไบเดนเตือน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7304946
พรรคร่วมฝ่ายค้าน เดินหน้าเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นัดถก 10 ต.ค.นี้ เน้น 2 ปมใหญ่ ย้ำพร้อมยื่นญัตติ 2 พ.ย.
เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน นัดประชุมเพื่อหารือประเด็นในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ซึ่งแต่ละพรรคจะนำประเด็นมาหารือสรุปร่วมกัน เพื่อสอบถามไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ส่วนกรอบอภิปราย แบ่งเป็น 2 ประเด็น
1.ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่น กรณีเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ว่ารัฐบาลมีแนวทางแก้ไขอย่างไร และใครรับผิดชอบอะไรบ้าง รวมทั้งเรื่องที่มีผลกระทบกับประเทศ ประชาชน เศรษฐกิจ ความมั่งคงและการมือง
2.การเสนอแนะปัญหาต่อครม. ซึ่งฝ่ายค้านเห็นว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล 3 ป.และครม. ที่สร้างปัญหาให้ประชาชน จะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร
เมื่อถามว่าจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปมาตรา 152 ช่วงใด นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ประชุมสภาสมัยสามัญจะเปิดในวันที่ 1 พ.ย.นี้ แต่สภาจะเริ่มประชุมวันแรกในวันที่ 2 พ.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันพุธ ดังนั้น เราจะยึดวันที่ 2 พ.ย.เป็นหลัก เพราะถ้ายื่นได้เร็ว เราจะได้อภิปรายเร็ว
‘พิธา’ แฉ 5 ปี รบ.ประยุทธ์ ตั้งงบซื้อปืนให้ ตร. กว่า 8 หมื่นกระบอก เพิ่มขึ้น 20 เท่า
https://www.matichon.co.th/politics/news_3605162
‘พิธา’ แฉ 5 ปี รบ.ประยุทธ์ ตั้งงบซื้อปืนให้ ตร. กว่า 8 หมื่นกระบอก เพิ่มขึ้น 20 เท่า จาก 10 ปีก่อน แถมไทยยังจับยาบ้า ยาไอซ์อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออก
จากกรณี ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ อดีต ผบ.หมู่ ป.สภ.นาวัง และถูกไล่ออกจากราชการ เนื่องจากถูกจับกุมคดียาเสพติด ซึ่งได้ก่อเหตุกราดยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 37 คน เหตุเกิดเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 6 ต.ค. ก่อนจะยิงตัวตายพร้อมลูกและเมีย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่านไอจีส่วนตัวเกี่ยวกับงบประมาณในการจัดซื้อปืนให้กับตำรวจ ในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า คืนนี้เป็นคืนที่คนไทยทั้งประเทศหัวใจสลาย ผมเปิดประตูเข้าบ้าน ลูกสาวเดินมาจูงไปกินข้าวเป็นเพื่อน แต่ผมยังสลัดเรื่องหดหู่ที่เกิดขึ้นที่หนองบัวลำภูในหัวผมไม่ออก
ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ทราบที่แรงจูงใจ และ สาเหตุที่ชัดเจน ผมเองยังไม่ด่วนสรุป เพราะตามข่าวจากรายงานเหมือนคนทั่วไป พร้อมกับตามจากทีมก้าวไกล หนองบัวลำภู แต่คงพอจะเห็นภาพได้ว่าเกิดในภาวะที่เครียดสะสม การเข้าถึงอาวุธได้ง่าย และ ยาเสพติด
อย่างแรกที่เข้ามาในหัว ผมระลึกถึงข้อมูล 2 ชุดที่ผมคิดว่าสำคัญต่อการถกเถียงและ “ป้องกัน” ไม่ให้มีการสูญเสียอีก คือเมื่อ ตอน สิงหา ปี 2564 ตอนผมทำหน้าที่ กรรมาธิการงบประมาณ ได้เห็นแผนการใช้จ่าย ซักถาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึง
1) การซื้ออาวุธหนัก
ในปี 2550 – 2560 – ขอซื้อ 3,590 กระบอก
ในปี 2561 – 2565 – ขอซื้อ 80,303 กระบอก
เพิ่มขึ้น ~ 20 เท่าใน 1 ทศวรรษ
จำได้ว่ายังไม่ร่วมการจัดหาปืน ในหน่วยงานอื่นๆ เช่น ที่ 3 จังหวัด หรือ หน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ
2) Financial times สื่อต่างประเทศที่ตีแผ่ถึงการขยายตัวของยาเสพติด (และราคาที่ถูกลงอย่างน่ากลัว) ในไทยและพม่า โดยมีข้อมูลดังนี้
3 อันดับประเทศในเอเชียตะวันออกและอาเซียนที่จับยาบ้าและยาไอซ์ได้สูงสุด
ไทย ยาบ้า 592,013,942 เม็ด / ยาไอซ์ 22,126.7 กิโลกรัม
เมียนมา ยาบ้า 198,188,715 เม็ด / ยาไอซ์ 13,815.8 กิโลกรัม
สปป. ลาว ยาบ้า 143,007,700 เม็ด / ยาไอซ์ 2,991 กิโลกรัม
คืนนี้คงไม่มีคำพูดอะไรมากกว่าข้อมูล 2 ชุดนี้ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทุกท่านอีกครั้ง
ส่อง! บรรยากาศ ‘เอเปค’ ปี46 กับปัจจุบันต่างกันมาก-ไทยเนื้อไม่หอมแล้ว!
https://www.dailynews.co.th/articles/1551897/
“ทูตนอกแถว” เล่าบรรยากาศประชุมเอเปคปี 46 กับปัจจุบันต่างกันมากเพราะไทยเนื้อไม่หอม! จากปัจจัยการเมือง-ละเมิดสิทธิมนุษยชน-ไม่มีเงิน! แถมยังมี “จี20” ประชุมล่วงหน้าก่อน 2 วันที่อินโดนีเซีย ทิ้งคำถามน่าคิดทำไม “ไบเดน” ต้องแจ้งล่วงหน้าเกือบ 2 เดือนว่าไม่มาไทย
วันที่ 18-19 พ.ย.65 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค โดยมีสมาชิกประกอบด้วย 21 เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ ไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ปาปัวนิวกินี เม็กซิโก ชิลี เปรู เวียดนาม สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย
ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคครั้งหลังสุดเมื่อปี 46 ได้อย่างยิ่งใหญ่ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เป็นบรรยากาศที่ประทับใจของ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูต และเจ้าของเพจ “ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns” ซึ่งตอนนั้นเป็นข้าราชการในกรมสารนิเทศ ทำหน้าที่ดูแล “เพรส เซ็นเตอร์” ซึ่งมีนักข่าวไทย-ต่างประเทศ มาปักหลักทำข่าวการประชุมเอเปคเป็นจำนวนมาก
ทำไม “เอเปค” ปี 46 กับปัจจุบันจึงต่างกันมาก!
จากประสบการณ์ดังกล่าว นายรัศม์ได้เล่าบรรยากาศเกี่ยวกับการประชุมเอเปคในปี 46 และเอเปคปี 65 ให้ “ทีมข่าว Special Report” ฟังว่า บรรยากาศการประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อ 19 ปีที่แล้ว กับปีนี้แตกต่างกันมาก เพราะรัฐบาลในขณะนั้นเป็นรัฐบาลเลือกตั้งจากเสียงข้างมาก และมีเสถียรภาพ จึงมีพลังในการผลักดันนโยบายต่างๆ ออกมาแล้วทำสำเร็จด้วย เศรษฐกิจก็ดี มีเงินในกระเป๋า ทำให้ประเทศไทย “เนื้อหอม” เราจึงเป็นดาวเด่นในภูมิภาคนี้ เป็นจุดที่น่าสนใจ ใครผ่านมาแถวนี้ต้องแวะมาไทย ดังนั้นการประชุมเอเปคปี 46 ผู้นำระดับโลกจึงมากับครบ
แต่ปัจจุบันแตกต่างกับปี 46 มากๆ เนื่องจากรัฐบาลขาดความชอบธรรมในหลายเรื่อง เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน แล้วในหลักสากลที่หลอกกันไม่ได้เลยคือการมี ส.ว. 250 คน มาจากการแต่งตั้ง โดย ส.ว.มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาฯ ตรงนี้แหละที่ทำให้นายกรัฐมนตรีไทยไม่สง่างามในสังคมโลก แถมยังเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง จึงไม่มีเสถียรภาพอย่างแท้จริงในการผลักดันนโยบาย เนื่องจากรัฐบาลทหารขับเคลื่อนนโยบายไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มา 8 ปี แต่ไม่มีปีไหนเลยที่ “จีดีพี” โตถึง 4-5% และอย่าไปอ้างโควิด-19 ระบาด เพราะหลายประเทศในอาเซียน “จีดีพี” เขาโตกันมากกว่า 5%
“8 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีภาพของความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ เมื่อปี 64 มีการประชุมอาเซียนพูดคุยกันเรื่องสถานการณ์ในประเทศเมียนมา แต่ผู้นำของไทยไม่ได้ไปร่วมประชุม ผมงงเหมือนกันว่าทำไมผู้นำของเราจึงไม่ไป เพราะมันพัวพันกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ยิ่งทำให้เรามีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีหนักขึ้นไปอีก แถมในกระเป๋าสตางค์ก็ไม่มีเงิน เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ประเทศไทยในปัจจุบันจึงมีความน่าสนใจน้อยกว่าปี 46 หลายคนอาจจะบอกว่า ประเทศจีนก็มีภาพลักษณ์ไม่ดีเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่อย่าลืมว่าจีนเขาร่ำรวย มีเงิน จึงเนื้อหอม ใครก็ต้องการคุยกับจีน”
ประชุมเต็มรูปแบบทำไม? “จี20” ดักหน้าอีก!
นายรัศม์ เล่าต่อไปว่า การประชุมเอเปค 2 ครั้งหลังสุดที่มาเลเซีย และนิวซีแลนด์ จัดการประชุมแบบออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ระบาด แต่พอปีนี้ถึงคิวประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ตนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องจัดการประชุมเต็มรูปแบบ เนื่องจากเนื้อหาสาระของการประชุมเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือในปัจจุบันเป็นเรื่อง “รูทีน” ไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบินมาประชุมก็ได้ ถ้าบินมาประชุมเพื่อคุยกันเรื่อง “ไบโอกรีน” มันน่าสนใจนักหรือ? ใครเขาจะมา?
แต่ที่น่าสงสัยคือ ไม่รู้ใครแกล้งใคร ไม่รู้ว่าปรารถนาดีหรือว่าประสงค์ร้ายกันแน่? เพราะมีการจัดการประชุม “จี20” ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนการประชุมเอเปคที่กรุงเทพฯ 2 วัน
ปรารถนาดีเพราะคิดว่ามาประชุม “จี20” ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศมหาอำนาจของโลก ยักษ์ใหญ่ของโลก แล้วต้องบินมาประชุมเอเปคกันต่อที่กรุงเทพฯ แต่ถ้าเขาไม่อยากมาล่ะ? เสร็จจาก “จี20” แล้วบินกลับเลย เพราะตรงนั้นมีวาระการประชุมสำคัญๆ ไม่ว่าจะเรื่องการเมืองโลก ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ไปคุยกันที่นั่น ประเทศมหาอำนาจในยุโรปต้องไป “จี20” แต่ไม่มาไทย เนื่องจากประเทศในยุโรปไม่ได้เป็นสมาชิกเอเปค
น่าคิด! “ไบเดน” รีบแจ้งล่วงหน้าเร็วนัก!
ถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่า “ปูติน” ผู้นำรัสเซียจะมาร่วมประชุมเอเปคหรือเปล่า เนื่องจากที่บ้านเขายังยุ่งๆเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ปูตินคงทิ้งบ้านออกไปไหนหลายๆวันไม่ได้หรอก แต่ที่แน่คือ “ไบเดน” ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่มาเอเปค เพราะติดงานแต่งหลานสาว ซึ่งตรงนี้ตนสงสัยมากว่าทำไม “ไบเดน” จึงต้องแจ้งล่วงหน้านานจัง? ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า? หรือว่าเกี่ยวกับกรณีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ บินไปเชิญผู้นำรัสเซียเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แล้วจึงบินไปอเมริกา แต่อีกไม่กี่วันต่อมาจึงมีข่าวออกมาเลยว่า “ไบเดน” ไม่มา
ทั้งที่ผู้นำเขตเศรษฐกิจต่างๆ จะมาหรือไม่มา หรือจะส่งตัวแทนมาร่วมประชุม ถือเป็นเรื่องปกติ จะตัดสินใจกันชั่วโมงสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องบินยังได้เลย แต่ผู้นำอเมริกาแจ้งล่วงหน้าเกือบๆ 2 เดือนว่าไม่มา อันนี้น่าคิดนะ!
เมื่อถามว่า “ไบเดน” ไม่มา! ส่วน “ปูติน” ยังไม่แน่ว่าจะมาหรือเปล่า ทำให้การประชุมเอเปคไม่เป็นที่สนใจของสังคมโลกหรือเปล่า?
นายรัศม์ กล่าวว่า ไม่รู้ว่าผู้นำจีนมาหรือเปล่า เพราะถ้า “ไบเดน-ปูติน” ไม่มา แต่ “สี จิ้นผิง”มา! เขาจะเป็นดาวเด่นในเอเปค และผู้นำไต้หวันคงมาแน่! ถ้าผู้นำจีนกับผู้นำไต้หวันได้มานั่งคุยกันที่กรุงเทพฯ มีภาพปรากฏออกไปทั่วโลก สังคมโลกก็จะให้ความสนใจการประชุมเอเปคในประเทศไทย
แต่วันนี้ต้องไปถามกระทรวงการต่างประเทศ ว่ามีสื่อมวลชนต่างประเทศติดต่อขอเข้ามาทำข่าวการประชุมเอเปคมากน้อยแค่ไหนแล้ว เนื่องจากปี 46 ที่ตนดูแล “เพรส เซ็นเตอร์” มีสื่อมวลชนไทย-ต่างประเทศ มาเฝ้ารายงานกันอย่างคักคักมากจำนวนหลายร้อยคน ทำให้ข่าวการประชุมเอเปคปี 46 แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว.
คนไทยแห่สัมผัสรถไฟลาว-จีน ดันท่องเที่ยวเพิ่ม 40%
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/314370
นักท่องเที่ยวไทยแห่สัมผัสรถไฟ สปป.ลาว-จีน ดันการท่องเที่ยว สปป.ลาวเพิ่มถึง 40%
นายวันนะสอน วาละกอน ประธานมัคคุเทศก์แห่งประเทศลาว เปิดเผยถึงภาพรวมการท่องเที่ยวหลังเปิดใช้รถไฟ สปป.ลาว-จีน บวกกับสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย พบว่า รถไฟ สปป.ลาว-จีน ดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้เพิ่มขึ้น ถึง 40% ในจำนวนนี้ 80% เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยไทย ส่วนที่เหลือเป็นชาวเวียดนาม และเกาหลีใต้ มั่นใจว่าในปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น 30-40% เป็นอย่างน้อย จากปกติที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านคนต่อปี