**ขอบคุณ ภาพจากอินเตอร์เน็ต ครับผม**
.......
ปรารถนา ( เป็นยาใจ ) ......
........ “
ส้มโอไปแต่งงานที่กรุงเทพ”
คำที่ได้ยิน ทำเจ้าโทค่อย ๆ ย่อตัวลงบนคันนาช้า ๆ แล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เหม่อมองไปยังแนวตาลด้วยตาพร่าเลือน ขณะหูได้ยินเสียงตาปั่นผู้เป็นลุงแว่วมา เหมือนอยู่ไกล ๆ
“เอ็งอย่าคิดอะไรมาก เค้าเป็นครู เราเป็นชาวนา ยังไงก็ไม่คู่กันหรอกวะ”
ตาปั่นส่ายหน้าไปมาเมื่อเห็นเจ้าโทนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินคำพูดแก จึงยกจอบขึ้นพาดบ่าพร้อมกับเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ไปเว้ย แดดแรงแล้ว ให้แดดอ่อน ค่อยมาทำต่อ หญ้านี่ก็ขึ้นไวชิบ ทีข้าวใส่ปุ๋ยเป็นกองไม่ยักโต”
ประโยคหลังแกบ่นพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นหลานชายนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา จึงส่ายหน้าแล้วถอนใจอีกครั้ง ก่อนเดินแบกจอบเลาะคันนาห่างออกไป ทิ้งเจ้าโทนั่งตรงที่เดิม ท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณ
ลมทุ่งหอบกลิ่นไอดินชื้นมาปะทะหน้าเจ้าโท ทิวข้าวเขียวโอนไปมาตามลม ฝูงนกส่งเสียงเซ็งแซ่บนกิ่งพุทราที่แผ่กิ่งกว้างเกือบห้าวาล้อมรอบต้น เพื่อหลบไอร้อนจากเปลวแดด และพากันจิกกินลูกพุทราสีเหลืองอมแดงอย่างร่าเริง
เจ้าโท นั่งก้มหน้าพลางนึกถึงส้มโอแฟนสาวด้วยใจพลุ่งพล่าน เขานึกถึงเหตุผลในการที่เธอทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็นยังไงก็นึกไม่ออก เพราะตลอดสามปีที่คบกันมา ไม่เคยมีเรื่องขัดใจกันสักหนเดียว
“พี่โทอายุเท่าไหร่”
เสียงใสแจ๋วของหญิงสาวก้องเข้ามาในใจเขา เมื่อครั้งคุยกันใต้ร่มไม้ข้างศาลาทำบุญ เช้าวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา
“ยี่สิบห้า ส้มถามทำไม”
ชายหนุ่มอมยิ้มพลางมองแก้มสีชมพูระเรื่อของหญิงสาว ขณะเธอมองหน้าเขาด้วยตาเป็นประกาย พร้อมกับเอียงคอยิ้มอวดฟันขาวเรียงงาม ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงล้อเลียนกลับมา
“เอ้า ก็ส้มกลัวพี่ลืมสัญญาไง แล้วส้มก็กลัวส้มแก่ก่อนแต่ง”
เขายิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยิน พลางเอื้อมมือวางบนมือเธอเบา ๆ ก่อนเอ่ยอมยิ้มออกไป
“กลัวอะไร ส้มเพิ่งยี่สิบสอง อีกสิบปียังทัน”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ดวงตาแวววาว ก่อนคงไว้แต่รอยยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
“ส้มเองน่ะเข้าใจพี่โท แต่พ่อกับแม่ เขาอยากให้เป็นงานเป็นการ พี่โทคงเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่นะ”
นึกถึงคำพูดคุยวันนั้น เจ้าโทเงยหน้าช้า ๆ มองทิวข้าวเขียวสุดตาก่อนถอนใจยาว ที่นาตรงนี้มีเนื้อที่ยี่สิบไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาว เริ่มต้นมาจากถนนลูกรัง เป็นนาผืนเดียวกันแต่ครึ่งหนึ่งเป็นของพ่อชายหนุ่ม ครึ่งหนึ่งเป็นของลุงปั่นพี่ชายของพ่อ กระทั่งพ่อกับแม่ของเขาตายจากไป ที่นาจึงตกเป็นของเขาอย่างชอบธรรม
ลุงปั่นกับป้าแป้น เปรียบเสมือนพ่อและแม่ของเจ้าโท โดยเฉพาะลุงกับป้าไม่มีลูก จึงดูแลและรักเขาเหมือนเป็นลูกแกจริง ๆ นั่นยิ่งสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าโท เพราะถ้าจะแต่งงาน ก็ต้องมีเงิน
ลำพังเงินขายข้าวแต่ละงวดนั้น ไม่มีมากพอจะเก็บเป็นก้อนได้ เหลือจากค่าปุ๋ยค่ายาแล้ว ต้องเตรียมไว้ซื้อพันธุ์ข้าวกับค่าน้ำมันสำหรับไถหว่านคราวต่อไป เพราะถ้าไม่มีทุนในการทำนา ก็เท่ากับตัดมือตัดเท้าตัวเอง การขายข้าวครั้งหนึ่งก็ไม่ได้เงินมากมายอะไร หักค่าใช้จ่ายสารพัดแล้ว คงเหลือไว้แค่พอกิน ถ้าเขาจะต้องใช้เงินมากขนาดแต่งงานได้นั้น ก็เหลือแค่ทางเดียว คือ ขายนา
ชายหนุ่มฝืนยิ้มแบบจืดชืดพลางลุกขึ้นยืน ก่อนมองไปยังทุ่งเขียวขจีอีกครั้งพร้อมกับถอนใจ ใจว่างโหวงล่องลอยไร้จุดหมาย ยกเท้าก้าวอย่างยากเย็นไปทางเดียวกับลุงปั่นพร้อมจอบบนบ่า ความสับสนว้าวุ่นในสมองนั้น มีจุดเล็ก ๆ หลบอยู่ลึก ๆ ข้างใน กระทั่งเขาเดินผ่านผืนนาช่วงสุดท้ายก่อนก้าวถึงทางลูกรัง จุดเล็ก ๆ นั้นจึงค่อย ๆ สว่างโพลง เขาหันกลับยืดตัวตรงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกมาช้า ๆ ตามองแนวข้าวเขียวชอุ่มใกล้เท้าไล่ไปจนสุดตา ที่นาสิบไร่ด้านในนั้นเป็นของลุงกับป้า ส่วนที่ของเขา เริ่มจากตรงกลาง ต่อกับลุง มาสิ้นสุดตรงทางลูกรัง ตรงที่เขายืนอยู่นี่เอง.....
........
“พี่จะขายนา”
เจ้าโทเอ่ยกับส้มโอในเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันเข้าพรรษาไม่กี่วัน ขณะเขาและเธอนั่งชิดกันบนห้างนาห้อยเท้าจากแคร่ไม้ไผ่สับอย่างผ่อนคลาย รอบตัว เสียงลมทุ่งพลิ้วผ่านหลังคามุงแฝกดังหวีดหวิว เขียดน้อยส่งเสียงประสานระงม เมื่อมีเสียงสวบสาบจากบางอย่างใกล้ตัว จึงเงียบไปอึดใจ กระทั่งเสียงแปลกปลอมเลยไปจึงส่งเสียงแจ้ว ๆ อย่างเดิม
หญิงสาว ชายตามองหน้าเขา ยิ้มเห็นฟันซี่น้อย ๆ ก่อนเอ่ยออกมา
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกพี่โท ค่อย ๆ เก็บไปเดี๋ยวก็มีเอง นามรดกพ่อแม่ ขายให้คนอื่น ชาวบ้านจะนินทาเอา”
ชายหนุ่มถอนใจยาว พลางยิ้มกริ่มมองหน้าสาวคนรัก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อะไรตอนนี้ก็ไม่สำคัญเท่าส้มโออีกแล้วน้องเอ๋ย ใครจะว่าจะนินทายังไงพี่ก็ไม่กลัว ถ้าพี่ไม่ทำอย่างนี้ เกิดพ่อส้ม ยกส้มให้คนอื่น คนที่คอยนินทาพี่ เขาจะรับผิดชอบยังไง”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางขยับมือวางบนมือหญิงสาวอย่างนุ่มนวล เธอยกมือหนึ่งมาวางบนหลังมือเขา บีบเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยออกมา
“พ่อจะยกส้มให้ใครได้ล่ะพี่ เราคบกันมาไม่ใช่วันสองวัน อีกอย่างส้มก็โตแล้ว เรื่องแบบนี้ส้มต้องเป็นคนตัดสินใจเอง”
เขามองหน้าสาวคนรักด้วยใจเต้นรัว ความคิดหลายอย่างวิ่งวนสับสนในใจ ความหวาดหวั่นถึงเรื่องการพลัดพรากมีมากกว่าอย่างอื่น เพราะฐานะของเขาและเธอ มองดูแล้วช่างห่างกันไกล อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของเขาก็ธรรมดา ไม่ขี้เหร่ แต่ไม่มีจุดเด่นสะดุดตาตรงไหน ไม่สูงไม่ต่ำ ผิวคล้ำ ๆ แบบผู้ชายทั่วไป ต่างกับหญิงสาว ซึ่งเดินไปไหนมีแต่คนเหลียวมอง
ส้มโอ เป็นหญิงที่มีผิวพรรณต่างจากสาวบ้านเดียวกัน ผิวขาวอมชมพูของเธอระบายไปทั่วร่างโดยเฉพาะพวงแก้มซึ่งเด่นกว่าใคร ริมฝีปากอวบอิ่มเชิดน้อย ๆ แดงระเรื่อ ยามยิ้มเห็นฟันขาวซี่เล็ก ๆ เรียงงามชวนมอง เวลาเจรจาแววตาเป็นประกาย อีกทั้งน้ำเสียงใสดังระฆังเงิน มีจังหวะจะโคนชวนฟัง ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบของคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือคนโต ยิ่งเธอเรียนจบแล้ว กลับมาเป็นครูที่บ้านเกิด ยิ่งทำให้ทุกคนรักเธอมากกว่าเดิม
ตะวันคล้อยลงหลังแนวตาล สาดแสงสีส้มจาง ๆ กระจายทั่วทุ่ง หญิงสาวสบตาเขาขณะมือกุมกันไว้ไม่คลาย ประกายจากแววตาเธอ ล้อแสงอัสดงมองระยิบคล้ายประกายดาว ชายหนุ่มถอนใจยาว เมื่อได้ยินเสียงใส ๆ เอ่ยลา
“ส้มกลับก่อนนะพี่ ใกล้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้ถ้างานเสร็จไว ส้มจะมาหาพี่ใหม่”
เขาบีบมือเธอเบา ๆ พลางถอนใจอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวขยับตัวลงจากแคร่พร้อมกับดึงมือออกช้า ๆ ชายหนุ่มปล่อยมือเธออย่างไม่เต็มใจ พลางขยับตัวลงตาม ทำท่าจะเดินไปส่ง หญิงสาวยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงใสออกมา
“พี่โทไม่ต้องไปส่งส้มก็ได้ ใกล้แค่นี้เอง แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะพี่ ส้มไปละ”
เธอยิ้มพลางถอยหลังสองสามก้าวขณะมองเขาด้วยตาแวววาว ก่อนหมุนตัวกลับ เดินไปตามคันนา เพื่อกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่หลังคาเรือน เจ้าโทมองตามตาละห้อย เมื่อนึกถึงเวลาที่ได้เจอกัน ช่างมีน้อยกว่าที่ใจต้องการหลายเท่า และเมื่อนึกถึงการแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ทำให้ยิ่งใจฝ่อไปกว่าเดิม ความต้องการครองคู่กับคนรักมีมากเท่าไร ความรู้สึกหวาดกลัวการพลัดพราก ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ชายหนุ่มขยับตัวกลับขึ้นไปนั่งบนแคร่อย่างเดิม ไออุ่นกลิ่นอายจากกายสาวยังคงกรุ่นรอบตัว เขาคิดวกวนไปมาหาทางออก ในใจมีแต่หน้าของหญิงสาวและเสียงหวานใสก้องไปมา อุปสรรคที่ขวางอยู่นั้น ทำให้ใจเต้นแรง เขาคิดในใจ ว่าถ้าต้องแลกอะไรแทนเงินได้เขาจะยอมทุกอย่าง ให้ได้ทุกสิ่งที่พ่อและแม่ของส้มบอกมาขอเพียงได้เคียงคู่กันดังใจหวัง แค่นั้น เขาก็พอใจ
เจ้าโทอมยิ้มขณะมองไปทางหญิงสาวซึ่งเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ส้มโอไม่เคยพูดให้เขาช้ำใจสักครั้งเดียว แม้แต่เรื่องแต่งงานซึ่งเขามั่นใจว่าพ่อกับแม่ส้มต้องเปรยกับเธอมาแล้วหลายหน แต่พอเขากับเธอได้เจอหน้ากัน หญิงสาวก็ปลอบให้เขาใจเย็นทุกครั้งไป การเป็นคนกลาง ชายหนุ่มเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย อีกฝ่ายก็พ่อ อีกฝ่ายก็คนรัก แต่ส้มก็ยังยิ้มได้เสมอ และไม่เคยเร่งรัด หรือตัดพ้อให้เสียน้ำใจ ยิ่งคิด ใจเขายิ่งเต้นแรง ความปรารถนาท่วมท้นในอก อยากอยู่ใกล้คนรักทุกวินาที ความรู้สึกลึก ๆ เขาเชื่อว่า ที่เธอปกป้องออกรับแทนเขาตลอดมา เพราะเธอรักและห่วงใย ในตัวเขาเช่นกัน.......
( มีต่อครับ )
.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......ปรารถนา ( เป็นยาใจ )........@@ โดย ลุงแผน
........ “ส้มโอไปแต่งงานที่กรุงเทพ”
คำที่ได้ยิน ทำเจ้าโทค่อย ๆ ย่อตัวลงบนคันนาช้า ๆ แล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เหม่อมองไปยังแนวตาลด้วยตาพร่าเลือน ขณะหูได้ยินเสียงตาปั่นผู้เป็นลุงแว่วมา เหมือนอยู่ไกล ๆ
“เอ็งอย่าคิดอะไรมาก เค้าเป็นครู เราเป็นชาวนา ยังไงก็ไม่คู่กันหรอกวะ”
ตาปั่นส่ายหน้าไปมาเมื่อเห็นเจ้าโทนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินคำพูดแก จึงยกจอบขึ้นพาดบ่าพร้อมกับเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ไปเว้ย แดดแรงแล้ว ให้แดดอ่อน ค่อยมาทำต่อ หญ้านี่ก็ขึ้นไวชิบ ทีข้าวใส่ปุ๋ยเป็นกองไม่ยักโต”
ประโยคหลังแกบ่นพึมพำกับตัวเอง เมื่อเห็นหลานชายนั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา จึงส่ายหน้าแล้วถอนใจอีกครั้ง ก่อนเดินแบกจอบเลาะคันนาห่างออกไป ทิ้งเจ้าโทนั่งตรงที่เดิม ท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณ
ลมทุ่งหอบกลิ่นไอดินชื้นมาปะทะหน้าเจ้าโท ทิวข้าวเขียวโอนไปมาตามลม ฝูงนกส่งเสียงเซ็งแซ่บนกิ่งพุทราที่แผ่กิ่งกว้างเกือบห้าวาล้อมรอบต้น เพื่อหลบไอร้อนจากเปลวแดด และพากันจิกกินลูกพุทราสีเหลืองอมแดงอย่างร่าเริง
เจ้าโท นั่งก้มหน้าพลางนึกถึงส้มโอแฟนสาวด้วยใจพลุ่งพล่าน เขานึกถึงเหตุผลในการที่เธอทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็นยังไงก็นึกไม่ออก เพราะตลอดสามปีที่คบกันมา ไม่เคยมีเรื่องขัดใจกันสักหนเดียว
“พี่โทอายุเท่าไหร่”
เสียงใสแจ๋วของหญิงสาวก้องเข้ามาในใจเขา เมื่อครั้งคุยกันใต้ร่มไม้ข้างศาลาทำบุญ เช้าวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา
“ยี่สิบห้า ส้มถามทำไม”
ชายหนุ่มอมยิ้มพลางมองแก้มสีชมพูระเรื่อของหญิงสาว ขณะเธอมองหน้าเขาด้วยตาเป็นประกาย พร้อมกับเอียงคอยิ้มอวดฟันขาวเรียงงาม ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงล้อเลียนกลับมา
“เอ้า ก็ส้มกลัวพี่ลืมสัญญาไง แล้วส้มก็กลัวส้มแก่ก่อนแต่ง”
เขายิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยิน พลางเอื้อมมือวางบนมือเธอเบา ๆ ก่อนเอ่ยอมยิ้มออกไป
“กลัวอะไร ส้มเพิ่งยี่สิบสอง อีกสิบปียังทัน”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ดวงตาแวววาว ก่อนคงไว้แต่รอยยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
“ส้มเองน่ะเข้าใจพี่โท แต่พ่อกับแม่ เขาอยากให้เป็นงานเป็นการ พี่โทคงเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่นะ”
นึกถึงคำพูดคุยวันนั้น เจ้าโทเงยหน้าช้า ๆ มองทิวข้าวเขียวสุดตาก่อนถอนใจยาว ที่นาตรงนี้มีเนื้อที่ยี่สิบไร่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาว เริ่มต้นมาจากถนนลูกรัง เป็นนาผืนเดียวกันแต่ครึ่งหนึ่งเป็นของพ่อชายหนุ่ม ครึ่งหนึ่งเป็นของลุงปั่นพี่ชายของพ่อ กระทั่งพ่อกับแม่ของเขาตายจากไป ที่นาจึงตกเป็นของเขาอย่างชอบธรรม
ลุงปั่นกับป้าแป้น เปรียบเสมือนพ่อและแม่ของเจ้าโท โดยเฉพาะลุงกับป้าไม่มีลูก จึงดูแลและรักเขาเหมือนเป็นลูกแกจริง ๆ นั่นยิ่งสร้างความลำบากใจให้กับเจ้าโท เพราะถ้าจะแต่งงาน ก็ต้องมีเงิน
ลำพังเงินขายข้าวแต่ละงวดนั้น ไม่มีมากพอจะเก็บเป็นก้อนได้ เหลือจากค่าปุ๋ยค่ายาแล้ว ต้องเตรียมไว้ซื้อพันธุ์ข้าวกับค่าน้ำมันสำหรับไถหว่านคราวต่อไป เพราะถ้าไม่มีทุนในการทำนา ก็เท่ากับตัดมือตัดเท้าตัวเอง การขายข้าวครั้งหนึ่งก็ไม่ได้เงินมากมายอะไร หักค่าใช้จ่ายสารพัดแล้ว คงเหลือไว้แค่พอกิน ถ้าเขาจะต้องใช้เงินมากขนาดแต่งงานได้นั้น ก็เหลือแค่ทางเดียว คือ ขายนา
ชายหนุ่มฝืนยิ้มแบบจืดชืดพลางลุกขึ้นยืน ก่อนมองไปยังทุ่งเขียวขจีอีกครั้งพร้อมกับถอนใจ ใจว่างโหวงล่องลอยไร้จุดหมาย ยกเท้าก้าวอย่างยากเย็นไปทางเดียวกับลุงปั่นพร้อมจอบบนบ่า ความสับสนว้าวุ่นในสมองนั้น มีจุดเล็ก ๆ หลบอยู่ลึก ๆ ข้างใน กระทั่งเขาเดินผ่านผืนนาช่วงสุดท้ายก่อนก้าวถึงทางลูกรัง จุดเล็ก ๆ นั้นจึงค่อย ๆ สว่างโพลง เขาหันกลับยืดตัวตรงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วปล่อยออกมาช้า ๆ ตามองแนวข้าวเขียวชอุ่มใกล้เท้าไล่ไปจนสุดตา ที่นาสิบไร่ด้านในนั้นเป็นของลุงกับป้า ส่วนที่ของเขา เริ่มจากตรงกลาง ต่อกับลุง มาสิ้นสุดตรงทางลูกรัง ตรงที่เขายืนอยู่นี่เอง.....
........ “พี่จะขายนา”
เจ้าโทเอ่ยกับส้มโอในเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันเข้าพรรษาไม่กี่วัน ขณะเขาและเธอนั่งชิดกันบนห้างนาห้อยเท้าจากแคร่ไม้ไผ่สับอย่างผ่อนคลาย รอบตัว เสียงลมทุ่งพลิ้วผ่านหลังคามุงแฝกดังหวีดหวิว เขียดน้อยส่งเสียงประสานระงม เมื่อมีเสียงสวบสาบจากบางอย่างใกล้ตัว จึงเงียบไปอึดใจ กระทั่งเสียงแปลกปลอมเลยไปจึงส่งเสียงแจ้ว ๆ อย่างเดิม
หญิงสาว ชายตามองหน้าเขา ยิ้มเห็นฟันซี่น้อย ๆ ก่อนเอ่ยออกมา
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกพี่โท ค่อย ๆ เก็บไปเดี๋ยวก็มีเอง นามรดกพ่อแม่ ขายให้คนอื่น ชาวบ้านจะนินทาเอา”
ชายหนุ่มถอนใจยาว พลางยิ้มกริ่มมองหน้าสาวคนรัก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อะไรตอนนี้ก็ไม่สำคัญเท่าส้มโออีกแล้วน้องเอ๋ย ใครจะว่าจะนินทายังไงพี่ก็ไม่กลัว ถ้าพี่ไม่ทำอย่างนี้ เกิดพ่อส้ม ยกส้มให้คนอื่น คนที่คอยนินทาพี่ เขาจะรับผิดชอบยังไง”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางขยับมือวางบนมือหญิงสาวอย่างนุ่มนวล เธอยกมือหนึ่งมาวางบนหลังมือเขา บีบเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยออกมา
“พ่อจะยกส้มให้ใครได้ล่ะพี่ เราคบกันมาไม่ใช่วันสองวัน อีกอย่างส้มก็โตแล้ว เรื่องแบบนี้ส้มต้องเป็นคนตัดสินใจเอง”
เขามองหน้าสาวคนรักด้วยใจเต้นรัว ความคิดหลายอย่างวิ่งวนสับสนในใจ ความหวาดหวั่นถึงเรื่องการพลัดพรากมีมากกว่าอย่างอื่น เพราะฐานะของเขาและเธอ มองดูแล้วช่างห่างกันไกล อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของเขาก็ธรรมดา ไม่ขี้เหร่ แต่ไม่มีจุดเด่นสะดุดตาตรงไหน ไม่สูงไม่ต่ำ ผิวคล้ำ ๆ แบบผู้ชายทั่วไป ต่างกับหญิงสาว ซึ่งเดินไปไหนมีแต่คนเหลียวมอง
ส้มโอ เป็นหญิงที่มีผิวพรรณต่างจากสาวบ้านเดียวกัน ผิวขาวอมชมพูของเธอระบายไปทั่วร่างโดยเฉพาะพวงแก้มซึ่งเด่นกว่าใคร ริมฝีปากอวบอิ่มเชิดน้อย ๆ แดงระเรื่อ ยามยิ้มเห็นฟันขาวซี่เล็ก ๆ เรียงงามชวนมอง เวลาเจรจาแววตาเป็นประกาย อีกทั้งน้ำเสียงใสดังระฆังเงิน มีจังหวะจะโคนชวนฟัง ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบของคนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือคนโต ยิ่งเธอเรียนจบแล้ว กลับมาเป็นครูที่บ้านเกิด ยิ่งทำให้ทุกคนรักเธอมากกว่าเดิม
ตะวันคล้อยลงหลังแนวตาล สาดแสงสีส้มจาง ๆ กระจายทั่วทุ่ง หญิงสาวสบตาเขาขณะมือกุมกันไว้ไม่คลาย ประกายจากแววตาเธอ ล้อแสงอัสดงมองระยิบคล้ายประกายดาว ชายหนุ่มถอนใจยาว เมื่อได้ยินเสียงใส ๆ เอ่ยลา
“ส้มกลับก่อนนะพี่ ใกล้ค่ำแล้ว พรุ่งนี้ถ้างานเสร็จไว ส้มจะมาหาพี่ใหม่”
เขาบีบมือเธอเบา ๆ พลางถอนใจอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวขยับตัวลงจากแคร่พร้อมกับดึงมือออกช้า ๆ ชายหนุ่มปล่อยมือเธออย่างไม่เต็มใจ พลางขยับตัวลงตาม ทำท่าจะเดินไปส่ง หญิงสาวยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงใสออกมา
“พี่โทไม่ต้องไปส่งส้มก็ได้ ใกล้แค่นี้เอง แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะพี่ ส้มไปละ”
เธอยิ้มพลางถอยหลังสองสามก้าวขณะมองเขาด้วยตาแวววาว ก่อนหมุนตัวกลับ เดินไปตามคันนา เพื่อกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่หลังคาเรือน เจ้าโทมองตามตาละห้อย เมื่อนึกถึงเวลาที่ได้เจอกัน ช่างมีน้อยกว่าที่ใจต้องการหลายเท่า และเมื่อนึกถึงการแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ทำให้ยิ่งใจฝ่อไปกว่าเดิม ความต้องการครองคู่กับคนรักมีมากเท่าไร ความรู้สึกหวาดกลัวการพลัดพราก ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ชายหนุ่มขยับตัวกลับขึ้นไปนั่งบนแคร่อย่างเดิม ไออุ่นกลิ่นอายจากกายสาวยังคงกรุ่นรอบตัว เขาคิดวกวนไปมาหาทางออก ในใจมีแต่หน้าของหญิงสาวและเสียงหวานใสก้องไปมา อุปสรรคที่ขวางอยู่นั้น ทำให้ใจเต้นแรง เขาคิดในใจ ว่าถ้าต้องแลกอะไรแทนเงินได้เขาจะยอมทุกอย่าง ให้ได้ทุกสิ่งที่พ่อและแม่ของส้มบอกมาขอเพียงได้เคียงคู่กันดังใจหวัง แค่นั้น เขาก็พอใจ
เจ้าโทอมยิ้มขณะมองไปทางหญิงสาวซึ่งเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ ส้มโอไม่เคยพูดให้เขาช้ำใจสักครั้งเดียว แม้แต่เรื่องแต่งงานซึ่งเขามั่นใจว่าพ่อกับแม่ส้มต้องเปรยกับเธอมาแล้วหลายหน แต่พอเขากับเธอได้เจอหน้ากัน หญิงสาวก็ปลอบให้เขาใจเย็นทุกครั้งไป การเป็นคนกลาง ชายหนุ่มเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่าย อีกฝ่ายก็พ่อ อีกฝ่ายก็คนรัก แต่ส้มก็ยังยิ้มได้เสมอ และไม่เคยเร่งรัด หรือตัดพ้อให้เสียน้ำใจ ยิ่งคิด ใจเขายิ่งเต้นแรง ความปรารถนาท่วมท้นในอก อยากอยู่ใกล้คนรักทุกวินาที ความรู้สึกลึก ๆ เขาเชื่อว่า ที่เธอปกป้องออกรับแทนเขาตลอดมา เพราะเธอรักและห่วงใย ในตัวเขาเช่นกัน.......
( มีต่อครับ )