....( วิมานหมอก )....
ตอนเดิมครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ ๑ https://ppantip.com/topic/42554523
ตอนที่ ๒ https://ppantip.com/topic/42556226
ตอนที่ ๓ https://ppantip.com/topic/42558182
ตอนที่ ๔ https://ppantip.com/topic/42560401
ตอนที่ ๕ https://ppantip.com/topic/42562583
ตอนที่ ๖ https://ppantip.com/topic/42564738
ตอนที่ ๗ https://ppantip.com/topic/42566999
ตอนที่ ๘ https://ppantip.com/topic/42569055
ตอนที่ ๙
เพชรเริ่มอ่อนแรงจากการวิ่งเลาะตีนเขาเพื่อไปหมู่บ้านข้างหน้า ระยะทางกลางวันก็ไกลอยู่แล้วในความคิดเขา จากที่เคยเดินเล่นกับพี่สาวเมื่อตอนมาเที่ยวบ้านลุง แต่ข้อดีคือเขาจำเส้นทางได้ท่ามกลางแสงอันน้อยนิด
ความลำบากคือการย่ำเท้าลงพื้น กิ่งไม้เล็ก ๆ และใบไม้แห้งเกลื่อนกลาด ส่งเสียงให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน เมื่อไปได้ไม่กี่ก้าว เพชรจึงย่อตัวนั่งอยู่กับที่หายใจช้า ๆ อย่างระวัง ขณะเสียงสวบสาบตามมาข้างหลังไม่ไกล
“เร็วจังวะไอ้เด็กนี่ เอ็งอ้อมไปข้าง ๆ สิหมู”
เสียงคนหนึ่งสั่ง ทำเพชรใจเต้นแรง พยายามหายใจอย่างลำบาก ฝืนความรู้สึกที่อ่อนแรง ขณะใจนึกหาทางรอดเพราะรอบตัวตอนนี้ไม่มืดสนิทเสียทีเดียว
“ยิงมันทิ้งก็จบไอ้ริน พี่ชิตได้ไอ้แก้วไปแล้ว จะยุ่งกับไอ้เด็กนี่ทำไม เสียเวลา”
จ่าหมูบ่นพึมพำ เริ่มเบื่อกับการอยู่ในป่าที่มีทั้งยุงและแมลง
“มันต้องเอาไปด้วย เผื่อไอ้แก้วมันยอมติดคุก เราก็เหลือเจ้านี่อีกคน”
จ่ารินพูดจากประสบการณ์ คนยอมติดคุกจะไม่ยอมเสียเงินให้ตำรวจ คนกลัวคุกถึงจะเรียกร้องกับทางครอบครัวได้ตามสบาย จ่าหมูถอนใจพลางเพ่งไปตามพุ่มไม้ท่ามกลางแสงสลัว
ชายหนุ่มได้ยินชัดและมั่นใจว่าสองคนนี้ไม่ปล่อยเขาแน่ และเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้ามา ไม่เปิดโอกาสให้เขาคิดอะไรอีก เมื่อไม่มีทางหลบอยู่ได้ เพชรจึงตัดสินใจลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างเร็วขณะเสียงเกรี้ยวกราดไล่หลังมา
“เฮ้ย อย่าหนี”
เพชรวิ่งสุดชีวิต กิ่งไม้ที่ฟาดตามแขนและใบหน้าไม่ทำให้เขารู้สึกอย่างไร กลั้นใจทะยานไปข้างหน้าและเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อเห็นถนนทอดยาวถัดแนวป่าออกไป
ในหัวเพชรปรากฏภาพหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่เมื่อก้าวขึ้นบนถนนเขากลับหลงทิศที่จะไป เพชรยืนนิ่งนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจวิ่งไปทางซ้ายมือขณะพระจันทร์หลบเข้าหลังเมฆกลุ่มใหญ่ ส่งให้รอบตัวมืดมัวกว่าเดิม
ไม่ถึงอึดใจสองคนออกมาจากป่า หันซ้ายหันขวาก่อนพยักหน้าให้กันแล้วแยกไปคนละทาง จ่าหมูไปทางเดียวกับเพชร ส่วนจ่ารินไปอีกทาง ขณะชายหนุ่มตัดสินใจกลับเข้าป่าหลังจากวิ่งมาได้ไม่นาน เขายืนพิงต้นไม้หายใจช้า ๆ และกลั้นหายใจเมื่อจ่าหมูวิ่งผ่านไป
เพชรยืนคิดทางที่จะไป กระทั่งแสงจันทร์สาดมาราง ๆ จึงเห็นแนวเขาหลังบ้านลุงแก้วลอดแนวต้นไม้มา เขาจึงตัดสินใจมุ่งไปทางนั้น นึกถึงรถกระบะของลุงและตั้งใจขับหนีไป ลุงเคยพูดเรื่องขับรถให้ฟังเวลาเพชรนั่งไปด้วย แต่เพชรไม่เคยได้ขับจริง ๆ สักครั้ง คราวนี้การหนีไปจากที่นี่เป็นความคิดเดียวที่อยู่ในใจ การขับรถได้หรือไม่ได้ จึงไม่ใช่ปัญหาอะไร
เพชรเร่งเท้าเร็วขึ้นเพราะไม่มั่นใจว่าสองคนจะเดาความคิดของเขาออกหรือเปล่ากระทั่งเห็นลานหน้าบ้านและรถจอดอยู่จึงฝืนใจก้าวไปจนถึงตัวรถและดึงประตูเปิดออก ลุงจะวางพวงกุญแจไว้ใต้เบาะทุกครั้ง เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้ไม่มัวหากุญแจบนบ้าน เพชรก้มลงควานหา เมื่อสัมผัสได้จึงกำไว้และยืดตัวขึ้น ขณะมือกำยำประกบเข้าที่ปากและรั้งเขาทั้งตัวมากอดไว้แน่น
เพชรใจหายแวบ พลางดิ้นเต็มแรง สองมือจับแขนชายที่กุมหน้าเขาและดึงออก แต่มันไร้ผล มือที่รัดร่างกับอีกมือที่ดึงหน้าเขาแนบร่างคนรั้ง แข็งแรงกว่าร่างบอบบางของเพชรจะสู้ได้ รวมทั้งเสียงเขาที่พยามยามตะโกนก็ออกมาเพียงแผ่ว ๆ น้ำตาเพชรซึมออกมาอย่างหมดหวังและอ่อนแรง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เพชรจึงปล่อยมือและทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง ขณะชายข้างหลังยกตัวเพชรไว้ไม่ให้ล้มลง และเสียงหนึ่งดังอยู่ข้าง ๆ
“เพชร พี่เอง อย่าดังไป”
น้ำตาชายหนุ่มไหลพรากทันที เขาสะอื้นพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลง ชายข้างหลังปล่อยมือจากเพชรแล้วเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล
“น้องปิงพาเพชรไปหลบก่อน ทางนี้ผมจัดการเอง”
เพชรเงยหน้ามองภูษิต ก่อนมองพี่สาวอย่างลังเล ปิงเห็นดังนั้นจึงประคองน้องชายลุกขึ้นและพาเดินไปทางเรือนเล็กพร้อมเอ่ยกับน้องชาย
“คุณภูษิตเชื่อใจได้ เขาคนละพวกกับลุงชิต พี่ไปตามเขามาช่วยเพชร”
ชายหนุ่มพยักหน้าเนือย ๆ ขณะก้าวเท้าอย่างอ่อนแรง กระทั่งถึงบ้านเล็กจึงเข้าไปทรุดตัวนั่งบนที่นอนก่อนเอ่ยเบา ๆ ออกมา
“พี่ปิงรู้ได้ยังไงว่าเขาไว้ใจได้ ตำรวจก็เหมือนกันทุกคนแหละ”
หญิงสาวมองน้องชายอย่างเอ็นดู พลางยื่นมือไปแตะแขนเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“แล้วพี่จะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้เราดูพวกเขาให้แน่ใจ ยังไงเตรียมออกจากตรงนี้ถ้าเห็นท่าไม่ดี”
เพชรพยักหน้าพลางมองตามพี่สาวไปตรงที่จอดรถ ซึ่งภูษิตยืนอยู่ตรงนั้น ครู่ต่อมาจ่าหมูจึงเดินกึ่งวิ่งมาถึงทางเข้าบ้าน เขาชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นผู้หมวดหนุ่ม ก่อนสูดหายใจลึกและทำหน้ายิ้มแย้มขณะเดินเข้ามาช้า ๆ
“มายังไงหมวด พี่ชิตให้มาช่วยหรือ”
หมวดหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ รวมทั้งสีหน้าและแววตา
“เลิกยุ่งกับเด็กคนนี้ได้แล้วจ่า ถือว่าผมขอ”
น้ำเสียงแสดงทีท่าเป็นฝ่ายตรงข้ามชัดเจน ทำใบหน้าของจ่าหมูคลายยิ้มลง ก่อนเอ่ยห้วน ๆ ออกมา
“ผมนึกว่าหมวดเป็นพวกเดียวกันนะ”
ภูษิตมองนิ่งก่อนตอบกลับอย่างเย็นชา
“ผมเห็นด้วยกับการทำตามกระบวนการ แต่ตอนนี้จ่ากับพวกกำลังเล่นนอกเกม ในฐานะที่เราอยู่ในอาชีพเดียวกัน ผมขอร้องให้จ่าปล่อยเด็กคนนี้ไป”
จ่าหมูถอยหลังช้า ๆ ขณะภูษิตยืดตัวตรงมือแตะด้ามปืนตรงเอวอย่างระวังตาจ้องจ่าหมูไม่กะพริบ ขณะบนถนน จ่ารินวิ่งกระหืดกระหอบลงทางลาดมา
“เฮ้ย สารวัตรโด่งเรียกกลับโรงพัก เอ็งไม่ได้ยินเหรอ”
จ่าหมูเลื่อนมือจากด้ามปืนไปคว้าวิทยุตรงเอวขึ้นมายกดูแล้วเอ่ยออกไป ส่วนตายังมองหมวดหนุ่มไม่วาง
“แบตฯหมดว่ะ แล้วเอ็งบอกไปว่าไง เราต้องฟังพี่ชิตนะ ไม่ใช่สารวัตร”
ประโยคสุดท้ายจ่าหมูตั้งใจย้ำให้ภูษิตได้ยินเป็นนัยว่า พวกเขาไม่ได้เกรงใจใครนอกจากพวกตัวเอง
“พี่ชิตอยู่ด้วย พี่ชิตเป็นคนทวนคำสั่งสารวัตรเอง”
สีหน้าจ่าหมูเปลี่ยนไป ความแปลกใจกับความกังวลปนกันเห็นชัดแม้แสงอันน้อยนิด ภูษิตลดความระวังตัวลงเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าคลี่คลายอย่างง่ายดาย ก่อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเดิม
“ผมได้รับคำสั่งตรงให้มาดูเรื่องดาบชิต เรื่องชอบรีดไถผู้ต้องหา ตอนนี้หลักฐานมีครบแล้ว เป็นหน้าที่ของพี่โด่งจะตัดสินใจ จ่าต้องเลือกข้างได้แล้ว”
สองจ่าทำสีหน้าครุ่นคิดพลางมองหน้ากันอยู่อึดใจ ก่อนจ่าหมูจะเอ่ยออกมา
“ผมขอคุยกับพี่ชิตก่อน ยังไงผมก็ไม่ทิ้งลูกพี่แน่นอน”
จ่านอกแถวยังคงไว้เชิง ภูษิตเผลอยิ้มให้กับคำพูดนั้น เมื่อรู้ความคิดในใจของทั้งสองคน ว่า การไม่ใส่ร้ายลูกพี่ลับหลังเป็นการวางตัวไว้เผื่อเลือกข้างเพราะการยอมจำนน ถ้าเป็นต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและจนด้วยหลักฐาน จ่าชิตย่อมพูดไม่ได้ว่าลูกน้องหักหลังตัวเอง
ภูษิตจึงพยักหน้าให้ทั้งสองนำรถนายแก้วไป จ่ารินเดินเข้ามาก้มคว้าพวงกุญแจซึ่งตกอยู่บนพื้น แล้วขึ้นรถสตาร์ตเครื่อง ขณะจ่าหมูเดินไปขึ้นอีกข้างก่อนรถเคลื่อนตัวตามทาง
หมวดหนุ่มหายใจออกช้า ๆ อย่างผ่อนคลาย และยิ้มกว้างเมื่อสองพี่น้องเดินเข้ามา
“ปิงกลัวแทบแย่ เมื่อกี้เห็นพวกคุณทำท่าเหมือนจะยิงกัน”
ชายหนุ่มมองใบหน้าตื่นตระหนกของเธอพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนเอ่ยออกไปขณะเพชรเดินเนือย ๆ ขึ้นรถนั่งก้มหน้าไม่มองใคร
“ทำไม กลัวผมถูกยิงเหรอ”
ปิงเม้มปากยกมือขึ้นฟาดไปตรงแขนเขาอย่างลืมตัว
“บ้า”
จบคำหญิงสาวเดินใจเต้นรัวไปที่รถขึ้นนั่งข้างเพชร ส่วนชายหนุ่มหัวเราะในลำคอด้วยใบหน้ายิ้มละไม พร้อมกับเดินตามมาขึ้นรถสตาร์ตเครื่องขับขึ้นถนน ปิงยกมือลูบหัวน้องชายและโน้มเขามาแนบไหล่ เอ่ยเบา ๆ ในลำคอ
“ไม่เป็นไรแล้วเพชร เราปลอดภัยแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้าน้ำตาไหลเป็นทาง ในใจเขาตอนนี้มีเพียงใบหน้าของคนคนเดียว พี่ปราง
ภูษิตส่งสองพี่น้องลงหน้าบ้านโดยมีโกตึ๋งรออยู่อย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นปิงกับเพชรจึงเดินเข้ามาโอบทั้งคู่ไว้ด้วยใบหน้าสดชื่น พร้อมกับเอ่ยขอบใจชายหนุ่มก่อนพากันเข้าบ้านไป
หมวดหนุ่มนั่งอมยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง มองประตูบ้านหญิงสาวแล้วยิ้มด้วยตาเป็นประกาย ก่อนเคลื่อนรถออกช้า ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา
เมื่อสองจ่าไปถึงโรงพัก จึงตรงไปยังห้องทำงานของสารวัตร ซึ่งสารวัตรโด่งรออยู่ พร้อมกับดาบชิต โดยมีนายแก้วนั่งจ้องด้วยใบหน้าขึงขังอยู่ตรงม้ายาวหน้าประตู ในห้องนั้นสารวัตรพูดเบา ๆ กับทั้งสามคนอยู่ครู่หนึ่ง สองจ่าจึงเดินออกมา จ่ารินส่งกุญแจให้นายแก้วพร้อมเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอโทษด้วยแก้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
นายแก้วคว้าพวงกุญแจมาอย่างไม่พอใจพร้อมกับลุกขึ้น ขณะทั้งสองเดินลงบันไดไป จ่าหมูยกมือโบกมือไปมาช้า ๆ เหนือศีรษะ เป็นทีว่าแล้วก็แล้วกันไป นายแก้วจึงกระแทกตัวลงบนม้ายาวอย่างเดิม อึดใจต่อมาสารวัตรจึงเดินออกมาพร้อมดาบชิต ซึ่งดาบพูดเหมือนกับจ่ารินพร้อมทั้งเดินไปที่รถตรวจการณ์ และยืนรอสารวัตรอยู่ตรงนั้น
สารวัตรโด่งเดินเข้ามาหานายแก้วและชวนเดินไปทางบันไดขณะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผมต้องขอโทษแทนลูกน้องด้วยนายแก้ว พวกนี้ทำอะไรวู่วามไม่ปรึกษากันก่อน แต่นายแก้วมีสิทธิร้องเรียนได้นะ ตอนสาย ๆ มาให้ร้อยเวรลงบันทึกประจำวันไว้ ผมจะตามเรื่องนี้ และให้ความเป็นธรรมกับนายแก้วอย่างถึงที่สุด”
รถของภูษิตเข้ามาพอดี เมื่อสารวัตรและนายแก้วลงบันไดขั้นสุดท้าย สารวัตรมองน้องเขยขณะเอ่ยถามออกไป
“ไปไหนมาภู สิบเวรบอกมีคนหายเหรอ”
ภูษิตมองลุงแก้วแล้วหันไปตอบกับพี่เขยด้วยสีหน้าแจ่มใส
“น้องปิงมาบอกว่า เพชรอยู่บ้านลุง แต่ลุงแก้วอยู่กับพี่ชิต ผมเลยพากันไปรับเพชรกลับมา”
นายแก้วหน้าตื่นขณะเอ่ยถามออกไป
“แล้วสองคนนั่นอยู่ไหนหมวด”
ชายหนุ่มหันไปตอบยิ้ม ๆ กับนายแก้ว
“ผมส่งลงบ้านแล้วครับ ปลอดภัยทั้งคู่”
นายแก้วเอ่ยขอบใจพึมพำแล้วเดินไปที่รถขับออกไปทันที ขณะหมวดหนุ่มมองตามจนลับสายตา
“เอาไงต่อครับพี่โด่ง”
ภูษิตถามพร้อมกับปรายตาไปยังดาบชิตที่เพิ่งขึ้นนั่งตรงคนขับเตรียมพร้อมรอ
“เราน่าจะกลับภายในวันสองวันนี้ เดี๋ยวพี่จะพาดาบชิตไปคุยที่บ้านปราง คืนนี้นอนนี่ใช่ไหม”
ภูษิตยิ้มรับ เพราะตัวเองต้องออกเวรตอนเช้า สารวัตรโด่งพยักหน้าพร้อมกับเดินไปขึ้นรถ ซึ่งดาบชิตเคลื่อนรถออกทันทีที่สารวัตรดึงประตูปิดเข้ามา
หมวดหนุ่มยิ้มกริ่มเดินขึ้นบันได พยักหน้าทักทายสิบเวรที่นั่งมองมาแล้วตรงไปห้องพัก เอนตัวลงบนเตียงเล็กนึกถึงหน้าหญิงสาวพร้อมหลับตาลงด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าดังเดิม.....
( มีต่อครับ )
..........วิมานหมอก........ตอนที่ ๙........@@ โดย ลุงแผน
ความลำบากคือการย่ำเท้าลงพื้น กิ่งไม้เล็ก ๆ และใบไม้แห้งเกลื่อนกลาด ส่งเสียงให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน เมื่อไปได้ไม่กี่ก้าว เพชรจึงย่อตัวนั่งอยู่กับที่หายใจช้า ๆ อย่างระวัง ขณะเสียงสวบสาบตามมาข้างหลังไม่ไกล
“เร็วจังวะไอ้เด็กนี่ เอ็งอ้อมไปข้าง ๆ สิหมู”
เสียงคนหนึ่งสั่ง ทำเพชรใจเต้นแรง พยายามหายใจอย่างลำบาก ฝืนความรู้สึกที่อ่อนแรง ขณะใจนึกหาทางรอดเพราะรอบตัวตอนนี้ไม่มืดสนิทเสียทีเดียว
“ยิงมันทิ้งก็จบไอ้ริน พี่ชิตได้ไอ้แก้วไปแล้ว จะยุ่งกับไอ้เด็กนี่ทำไม เสียเวลา”
จ่าหมูบ่นพึมพำ เริ่มเบื่อกับการอยู่ในป่าที่มีทั้งยุงและแมลง
“มันต้องเอาไปด้วย เผื่อไอ้แก้วมันยอมติดคุก เราก็เหลือเจ้านี่อีกคน”
จ่ารินพูดจากประสบการณ์ คนยอมติดคุกจะไม่ยอมเสียเงินให้ตำรวจ คนกลัวคุกถึงจะเรียกร้องกับทางครอบครัวได้ตามสบาย จ่าหมูถอนใจพลางเพ่งไปตามพุ่มไม้ท่ามกลางแสงสลัว
ชายหนุ่มได้ยินชัดและมั่นใจว่าสองคนนี้ไม่ปล่อยเขาแน่ และเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้ามา ไม่เปิดโอกาสให้เขาคิดอะไรอีก เมื่อไม่มีทางหลบอยู่ได้ เพชรจึงตัดสินใจลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างเร็วขณะเสียงเกรี้ยวกราดไล่หลังมา
“เฮ้ย อย่าหนี”
เพชรวิ่งสุดชีวิต กิ่งไม้ที่ฟาดตามแขนและใบหน้าไม่ทำให้เขารู้สึกอย่างไร กลั้นใจทะยานไปข้างหน้าและเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อเห็นถนนทอดยาวถัดแนวป่าออกไป
ในหัวเพชรปรากฏภาพหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่เมื่อก้าวขึ้นบนถนนเขากลับหลงทิศที่จะไป เพชรยืนนิ่งนิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจวิ่งไปทางซ้ายมือขณะพระจันทร์หลบเข้าหลังเมฆกลุ่มใหญ่ ส่งให้รอบตัวมืดมัวกว่าเดิม
ไม่ถึงอึดใจสองคนออกมาจากป่า หันซ้ายหันขวาก่อนพยักหน้าให้กันแล้วแยกไปคนละทาง จ่าหมูไปทางเดียวกับเพชร ส่วนจ่ารินไปอีกทาง ขณะชายหนุ่มตัดสินใจกลับเข้าป่าหลังจากวิ่งมาได้ไม่นาน เขายืนพิงต้นไม้หายใจช้า ๆ และกลั้นหายใจเมื่อจ่าหมูวิ่งผ่านไป
เพชรยืนคิดทางที่จะไป กระทั่งแสงจันทร์สาดมาราง ๆ จึงเห็นแนวเขาหลังบ้านลุงแก้วลอดแนวต้นไม้มา เขาจึงตัดสินใจมุ่งไปทางนั้น นึกถึงรถกระบะของลุงและตั้งใจขับหนีไป ลุงเคยพูดเรื่องขับรถให้ฟังเวลาเพชรนั่งไปด้วย แต่เพชรไม่เคยได้ขับจริง ๆ สักครั้ง คราวนี้การหนีไปจากที่นี่เป็นความคิดเดียวที่อยู่ในใจ การขับรถได้หรือไม่ได้ จึงไม่ใช่ปัญหาอะไร
เพชรเร่งเท้าเร็วขึ้นเพราะไม่มั่นใจว่าสองคนจะเดาความคิดของเขาออกหรือเปล่ากระทั่งเห็นลานหน้าบ้านและรถจอดอยู่จึงฝืนใจก้าวไปจนถึงตัวรถและดึงประตูเปิดออก ลุงจะวางพวงกุญแจไว้ใต้เบาะทุกครั้ง เผื่อเวลาฉุกเฉินจะได้ไม่มัวหากุญแจบนบ้าน เพชรก้มลงควานหา เมื่อสัมผัสได้จึงกำไว้และยืดตัวขึ้น ขณะมือกำยำประกบเข้าที่ปากและรั้งเขาทั้งตัวมากอดไว้แน่น
เพชรใจหายแวบ พลางดิ้นเต็มแรง สองมือจับแขนชายที่กุมหน้าเขาและดึงออก แต่มันไร้ผล มือที่รัดร่างกับอีกมือที่ดึงหน้าเขาแนบร่างคนรั้ง แข็งแรงกว่าร่างบอบบางของเพชรจะสู้ได้ รวมทั้งเสียงเขาที่พยามยามตะโกนก็ออกมาเพียงแผ่ว ๆ น้ำตาเพชรซึมออกมาอย่างหมดหวังและอ่อนแรง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เพชรจึงปล่อยมือและทรุดตัวลงอย่างอ่อนแรง ขณะชายข้างหลังยกตัวเพชรไว้ไม่ให้ล้มลง และเสียงหนึ่งดังอยู่ข้าง ๆ
“เพชร พี่เอง อย่าดังไป”
น้ำตาชายหนุ่มไหลพรากทันที เขาสะอื้นพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลง ชายข้างหลังปล่อยมือจากเพชรแล้วเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล
“น้องปิงพาเพชรไปหลบก่อน ทางนี้ผมจัดการเอง”
เพชรเงยหน้ามองภูษิต ก่อนมองพี่สาวอย่างลังเล ปิงเห็นดังนั้นจึงประคองน้องชายลุกขึ้นและพาเดินไปทางเรือนเล็กพร้อมเอ่ยกับน้องชาย
“คุณภูษิตเชื่อใจได้ เขาคนละพวกกับลุงชิต พี่ไปตามเขามาช่วยเพชร”
ชายหนุ่มพยักหน้าเนือย ๆ ขณะก้าวเท้าอย่างอ่อนแรง กระทั่งถึงบ้านเล็กจึงเข้าไปทรุดตัวนั่งบนที่นอนก่อนเอ่ยเบา ๆ ออกมา
“พี่ปิงรู้ได้ยังไงว่าเขาไว้ใจได้ ตำรวจก็เหมือนกันทุกคนแหละ”
หญิงสาวมองน้องชายอย่างเอ็นดู พลางยื่นมือไปแตะแขนเขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“แล้วพี่จะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้เราดูพวกเขาให้แน่ใจ ยังไงเตรียมออกจากตรงนี้ถ้าเห็นท่าไม่ดี”
เพชรพยักหน้าพลางมองตามพี่สาวไปตรงที่จอดรถ ซึ่งภูษิตยืนอยู่ตรงนั้น ครู่ต่อมาจ่าหมูจึงเดินกึ่งวิ่งมาถึงทางเข้าบ้าน เขาชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นผู้หมวดหนุ่ม ก่อนสูดหายใจลึกและทำหน้ายิ้มแย้มขณะเดินเข้ามาช้า ๆ
“มายังไงหมวด พี่ชิตให้มาช่วยหรือ”
หมวดหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ รวมทั้งสีหน้าและแววตา
“เลิกยุ่งกับเด็กคนนี้ได้แล้วจ่า ถือว่าผมขอ”
น้ำเสียงแสดงทีท่าเป็นฝ่ายตรงข้ามชัดเจน ทำใบหน้าของจ่าหมูคลายยิ้มลง ก่อนเอ่ยห้วน ๆ ออกมา
“ผมนึกว่าหมวดเป็นพวกเดียวกันนะ”
ภูษิตมองนิ่งก่อนตอบกลับอย่างเย็นชา
“ผมเห็นด้วยกับการทำตามกระบวนการ แต่ตอนนี้จ่ากับพวกกำลังเล่นนอกเกม ในฐานะที่เราอยู่ในอาชีพเดียวกัน ผมขอร้องให้จ่าปล่อยเด็กคนนี้ไป”
จ่าหมูถอยหลังช้า ๆ ขณะภูษิตยืดตัวตรงมือแตะด้ามปืนตรงเอวอย่างระวังตาจ้องจ่าหมูไม่กะพริบ ขณะบนถนน จ่ารินวิ่งกระหืดกระหอบลงทางลาดมา
“เฮ้ย สารวัตรโด่งเรียกกลับโรงพัก เอ็งไม่ได้ยินเหรอ”
จ่าหมูเลื่อนมือจากด้ามปืนไปคว้าวิทยุตรงเอวขึ้นมายกดูแล้วเอ่ยออกไป ส่วนตายังมองหมวดหนุ่มไม่วาง
“แบตฯหมดว่ะ แล้วเอ็งบอกไปว่าไง เราต้องฟังพี่ชิตนะ ไม่ใช่สารวัตร”
ประโยคสุดท้ายจ่าหมูตั้งใจย้ำให้ภูษิตได้ยินเป็นนัยว่า พวกเขาไม่ได้เกรงใจใครนอกจากพวกตัวเอง
“พี่ชิตอยู่ด้วย พี่ชิตเป็นคนทวนคำสั่งสารวัตรเอง”
สีหน้าจ่าหมูเปลี่ยนไป ความแปลกใจกับความกังวลปนกันเห็นชัดแม้แสงอันน้อยนิด ภูษิตลดความระวังตัวลงเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าคลี่คลายอย่างง่ายดาย ก่อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเดิม
“ผมได้รับคำสั่งตรงให้มาดูเรื่องดาบชิต เรื่องชอบรีดไถผู้ต้องหา ตอนนี้หลักฐานมีครบแล้ว เป็นหน้าที่ของพี่โด่งจะตัดสินใจ จ่าต้องเลือกข้างได้แล้ว”
สองจ่าทำสีหน้าครุ่นคิดพลางมองหน้ากันอยู่อึดใจ ก่อนจ่าหมูจะเอ่ยออกมา
“ผมขอคุยกับพี่ชิตก่อน ยังไงผมก็ไม่ทิ้งลูกพี่แน่นอน”
จ่านอกแถวยังคงไว้เชิง ภูษิตเผลอยิ้มให้กับคำพูดนั้น เมื่อรู้ความคิดในใจของทั้งสองคน ว่า การไม่ใส่ร้ายลูกพี่ลับหลังเป็นการวางตัวไว้เผื่อเลือกข้างเพราะการยอมจำนน ถ้าเป็นต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและจนด้วยหลักฐาน จ่าชิตย่อมพูดไม่ได้ว่าลูกน้องหักหลังตัวเอง
ภูษิตจึงพยักหน้าให้ทั้งสองนำรถนายแก้วไป จ่ารินเดินเข้ามาก้มคว้าพวงกุญแจซึ่งตกอยู่บนพื้น แล้วขึ้นรถสตาร์ตเครื่อง ขณะจ่าหมูเดินไปขึ้นอีกข้างก่อนรถเคลื่อนตัวตามทาง
หมวดหนุ่มหายใจออกช้า ๆ อย่างผ่อนคลาย และยิ้มกว้างเมื่อสองพี่น้องเดินเข้ามา
“ปิงกลัวแทบแย่ เมื่อกี้เห็นพวกคุณทำท่าเหมือนจะยิงกัน”
ชายหนุ่มมองใบหน้าตื่นตระหนกของเธอพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนเอ่ยออกไปขณะเพชรเดินเนือย ๆ ขึ้นรถนั่งก้มหน้าไม่มองใคร
“ทำไม กลัวผมถูกยิงเหรอ”
ปิงเม้มปากยกมือขึ้นฟาดไปตรงแขนเขาอย่างลืมตัว
“บ้า”
จบคำหญิงสาวเดินใจเต้นรัวไปที่รถขึ้นนั่งข้างเพชร ส่วนชายหนุ่มหัวเราะในลำคอด้วยใบหน้ายิ้มละไม พร้อมกับเดินตามมาขึ้นรถสตาร์ตเครื่องขับขึ้นถนน ปิงยกมือลูบหัวน้องชายและโน้มเขามาแนบไหล่ เอ่ยเบา ๆ ในลำคอ
“ไม่เป็นไรแล้วเพชร เราปลอดภัยแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้าน้ำตาไหลเป็นทาง ในใจเขาตอนนี้มีเพียงใบหน้าของคนคนเดียว พี่ปราง
ภูษิตส่งสองพี่น้องลงหน้าบ้านโดยมีโกตึ๋งรออยู่อย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นปิงกับเพชรจึงเดินเข้ามาโอบทั้งคู่ไว้ด้วยใบหน้าสดชื่น พร้อมกับเอ่ยขอบใจชายหนุ่มก่อนพากันเข้าบ้านไป
หมวดหนุ่มนั่งอมยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง มองประตูบ้านหญิงสาวแล้วยิ้มด้วยตาเป็นประกาย ก่อนเคลื่อนรถออกช้า ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา
เมื่อสองจ่าไปถึงโรงพัก จึงตรงไปยังห้องทำงานของสารวัตร ซึ่งสารวัตรโด่งรออยู่ พร้อมกับดาบชิต โดยมีนายแก้วนั่งจ้องด้วยใบหน้าขึงขังอยู่ตรงม้ายาวหน้าประตู ในห้องนั้นสารวัตรพูดเบา ๆ กับทั้งสามคนอยู่ครู่หนึ่ง สองจ่าจึงเดินออกมา จ่ารินส่งกุญแจให้นายแก้วพร้อมเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอโทษด้วยแก้ว เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
นายแก้วคว้าพวงกุญแจมาอย่างไม่พอใจพร้อมกับลุกขึ้น ขณะทั้งสองเดินลงบันไดไป จ่าหมูยกมือโบกมือไปมาช้า ๆ เหนือศีรษะ เป็นทีว่าแล้วก็แล้วกันไป นายแก้วจึงกระแทกตัวลงบนม้ายาวอย่างเดิม อึดใจต่อมาสารวัตรจึงเดินออกมาพร้อมดาบชิต ซึ่งดาบพูดเหมือนกับจ่ารินพร้อมทั้งเดินไปที่รถตรวจการณ์ และยืนรอสารวัตรอยู่ตรงนั้น
สารวัตรโด่งเดินเข้ามาหานายแก้วและชวนเดินไปทางบันไดขณะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผมต้องขอโทษแทนลูกน้องด้วยนายแก้ว พวกนี้ทำอะไรวู่วามไม่ปรึกษากันก่อน แต่นายแก้วมีสิทธิร้องเรียนได้นะ ตอนสาย ๆ มาให้ร้อยเวรลงบันทึกประจำวันไว้ ผมจะตามเรื่องนี้ และให้ความเป็นธรรมกับนายแก้วอย่างถึงที่สุด”
รถของภูษิตเข้ามาพอดี เมื่อสารวัตรและนายแก้วลงบันไดขั้นสุดท้าย สารวัตรมองน้องเขยขณะเอ่ยถามออกไป
“ไปไหนมาภู สิบเวรบอกมีคนหายเหรอ”
ภูษิตมองลุงแก้วแล้วหันไปตอบกับพี่เขยด้วยสีหน้าแจ่มใส
“น้องปิงมาบอกว่า เพชรอยู่บ้านลุง แต่ลุงแก้วอยู่กับพี่ชิต ผมเลยพากันไปรับเพชรกลับมา”
นายแก้วหน้าตื่นขณะเอ่ยถามออกไป
“แล้วสองคนนั่นอยู่ไหนหมวด”
ชายหนุ่มหันไปตอบยิ้ม ๆ กับนายแก้ว
“ผมส่งลงบ้านแล้วครับ ปลอดภัยทั้งคู่”
นายแก้วเอ่ยขอบใจพึมพำแล้วเดินไปที่รถขับออกไปทันที ขณะหมวดหนุ่มมองตามจนลับสายตา
“เอาไงต่อครับพี่โด่ง”
ภูษิตถามพร้อมกับปรายตาไปยังดาบชิตที่เพิ่งขึ้นนั่งตรงคนขับเตรียมพร้อมรอ
“เราน่าจะกลับภายในวันสองวันนี้ เดี๋ยวพี่จะพาดาบชิตไปคุยที่บ้านปราง คืนนี้นอนนี่ใช่ไหม”
ภูษิตยิ้มรับ เพราะตัวเองต้องออกเวรตอนเช้า สารวัตรโด่งพยักหน้าพร้อมกับเดินไปขึ้นรถ ซึ่งดาบชิตเคลื่อนรถออกทันทีที่สารวัตรดึงประตูปิดเข้ามา
หมวดหนุ่มยิ้มกริ่มเดินขึ้นบันได พยักหน้าทักทายสิบเวรที่นั่งมองมาแล้วตรงไปห้องพัก เอนตัวลงบนเตียงเล็กนึกถึงหน้าหญิงสาวพร้อมหลับตาลงด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าดังเดิม.....
( มีต่อครับ )