JJNY : 5in1 ส่งหลักฐานแย้ง'มีชัย'│กกร.ผวาต้นทุนฉุดธุรกิจ│‘จาตุรนต์’เย้ย‘มีชัย’│แหวนร้องกมธ.│เปิดตัว‘โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค’

ฝ่ายค้าน ส่งหลักฐานแย้งความเห็น 'มีชัย' ยืนกรานปม 8 ปี ต้องเริ่มนับ 24 ส.ค.57
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7253340
 
ฝ่ายค้าน ส่งเอกสารหลักฐานแย้งความเห็น ”มีชัย” ยืนกรานวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องเริ่มนับ 24 ส.ค.57 เชื่อ เอกสารหลุดส่อเจตนาหยั่งกระแสสังคม

เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 7 ก.ย. 2565 ที่รัฐสภา พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ ให้ส่งหลักฐานเพิ่มเติมถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อประกอบการวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านทำหนังสือส่งเอกสารหลักฐานความเห็นเพิ่มเติมต่อศาลรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากมีเอกสารที่หลุดออกมาเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ โดยในเนื้อหาสาระอ้างถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้ทำหนังสือถึงศาล โดยสรุปสาระว่าวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.60 และกรณีอ้างถึงบันทึกการประชุมของกรธ. ครั้งที่ 500 ที่นายมีชัยอ้างว่าเป็นการจดบันทึกไม่ครบถ้วน ไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้
 
ฝ่ายค้านเห็นว่าคำชี้แจงของนายมีชัย เข้าข่ายให้การเท็จต่อศาล ฝ่ายค้านมีความเห็นคัดค้านความเห็นของนายมีชัย จึงรวบรวมความเห็นในการคัดค้านหรือโต้แย้งเอกสารดังกล่าว เพื่อยืนยันว่าวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ ต้องนับวันที่ 24 ส.ค.57 จะอ้างวันที่ 6 เม.ย.60 ไม่ได้ เพราะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกฯ ในปี 57 และมีการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องมา
 
นายชลน่าน กล่าวต่อว่า โดยฝ่ายค้านได้แนบบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 มีรายละเอียด 22 หน้า และเพื่ออ้างอิงว่าเอกสารครั้งที่ 500 มีความครบถ้วนสมบูรณ์ จึงมีการส่งบันทึกการประชุมครั้งที่ 501 เมื่อวันที่ 11 ก.ย.61 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย มีเนื้อหารับรองการประชุมของกรธ. ครั้งที่ 497-500 ว่ามีความถูกต้องโดยไม่มีการแก้ไข ดังนั้น บันทึกการประชุมครั้งที่ 500 จึงมีความสมบูรณ์
 
“พรรคร่วมฝ่ายค้านร้องขอให้ประธานสภาฯ ส่งเอกสารไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด เนื่องจากจะมีการประชุมนัดพิเศษในวันพรุ่งนี้ (8 ก.ย.) จึงหวังว่าเอกสารที่ฝ่ายค้านส่งล่าสุด ในวันพรุ่งนี้จะถึงศาลและจะได้รับไว้ประกอบการพิจารณาเพื่อที่จะได้สิ้นสงสัย” นพ.ชลน่าน กล่าว
 
เมื่อถามว่า มองเจตนาที่เอกสารหลุดอย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า มองได้หลายมุม ถ้าเอกสารนี้หลุดออกมาจากตรงไหนจะทำให้วิเคราะห์ได้ง่ายขึ้นในเรื่องของเจตนา แต่สิ่งที่คาดการณ์ได้ คือ เหมือนการโยนให้สังคมได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าคิดอย่างไรในประเด็นนี้ เพื่อทดสอบกระแสสังคม เพราะแนวทางการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะให้น้ำหนัก 2 ด้าน คือ ด้านข้อกฎหมาย และด้านข้อเท็จจริงทางรัฐศาสตร์ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษอย่างไรต่อสังคม
 
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า สุดท้ายหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่นายมีชัยให้ความเห็น จะตอกย้ำถึงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากการอยากอยู่ยาวของนายกฯ แต่จะสร้างความขัดแย้งจนเกิดวิกฤตขนาดไหนยังไม่รู้
 
เมื่อถามว่า สิ่งที่นายมีชัยเคยระบุในบันทึกการประชุมครั้งที่ 500 ในปี 61 กับสิ่งที่นายมีชัย ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในครั้งล่าสุด อะไรมีน้ำหนักความน่าเชื่อถือมากกว่า นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ปี 61 มีความน่าเชื่อมากกว่า เพราะตอนนั้นนายมีชัย มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน แต่สิ่งที่ชี้แจงล่าสุด นายมีชัยลืมแม้กระทั่งว่ามีบันทึกการประชุมครั้งที่ 501 แสดงถึงการมีสติไม่ครบถ้วน
 

  
กกร.ผวาต้นทุน ค่าไฟ-ค่าแรงพุ่ง ฉุดธุรกิจ คงเป้าจีดีพีปีนี้ 2.75-3.5% จับตาศก.ชะลอตัวเกินคาด
https://www.khaosod.co.th/economics/news_7253097
  
กกร.ห่วงต้นทุน ค่าไฟ-ค่าแรงพุ่ง เสี่ยงฉุดธุรกิจอ่วม คงเป้าจีดีพีปีนี้ 2.75-3.5% จับตาเศรษฐกิจชะลอตัวเกินคาด-ยุโรปถดถอย
 
กกร.ผวาต้นทุนค่าไฟ-ค่าแรงพุ่ง – นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวในฐานะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมมีความกังวลเรื่องต้นทุนของภาคธุรกิจ ที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจาก 4 บาท เป็น 4.72 บาท/ หน่วย ซึ่งมีผลบังคับใช้ในงวดเดือนก.ย.-ธ.ค. 2565 จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนการประกอบการ
 
โดยภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 20-30% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด และภาคบริการ เช่น ธุรกิจโรงแรม มีต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเกือบ 30% ของต้นทุนทั้งหมด
 
นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนด้านแรงงาน จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่ 8-22 บาทต่อวัน ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2565 รวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่เป็นปัญหาสำคัญของภาคธุรกิจ และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเก็บเงินสถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั้งแต่เดือนม.ค. 2566 ที่จะส่งผ่านไปยังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้น ภายใต้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
 
“กกร. จึงประเมินว่าแม้เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้จากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศที่ตามมา แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจที่ยังมีความเปราะบาง และจำเป็นต้องติดตามเศรษฐกิจโลกที่เผชิญความเสี่ยงจะชะลอตัวกว่าที่คาดอย่างใกล้ชิด โดยประมาณการเติบโตของจีดีพีในประเทศสหรัฐ ยุโรป และจีนถูกปรับลดลง โดยที่เศรษฐกิจยุโรปได้เข้าสู่ภาวะถดถอยในครึ่งปีหลัง แรงกดดันเงินเฟ้อของหลายประเทศต่างอยู่ในระดับสูงเป็นภาวะ stagflation ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์มีเพิ่มขึ้น กกร. จึงคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  (จีดีพี) ไทยปี 2565 จะโตอยู่ในกรอบ 2.75-3.5% มูลค่าการส่งออกคาดว่าขยายตัวได้ในกรอบ 6-8% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 5.5-7%”
 
นายผยง กล่าวว่า ที่ประชุมกกร. ขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบในการปรับขึ้นปัจจัยต้นทุนที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ขอให้ทยอยการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าออกเป็น 2 ระยะ แทนการปรับขึ้นครั้งเดียว เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
 
รวมทั้งควรรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการประกอบการดังกล่าว
  


‘จาตุรนต์’ เย้ย ‘มีชัย’ เห็นกบดานอยู่นาน นึกว่ามีทีเด็ด ที่แท้กระสุนด้านน่าขายหน้า
https://www.matichon.co.th/politics/news_3549859

‘จาตุรนต์’ เย้ย ‘มีชัย’ เห็นกบดานอยู่นาน นึกว่ามีทีเด็ด ที่แท้กระสุนด้านน่าขายหน้า
 
เมื่อวันที่ 7 กันยายน นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี เขียนข้อความแสดงความเห็นถึงนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่มีปัญหาเรื่องความเห็นวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯขัดกัน โดย ระบุว่า
 
เห็นกบดานอยู่นาน นึกว่าคุณมีชัยจะมีทีเด็ดอะไร ถึงเวลากลายเป็นกระสุนด้านให้ขายหน้าเสียเปล่าๆ
 
ที่คุณมีชัยบอกว่าให้นับเวลาตั้งแต่ ปี 60 ที่รัฐธรรมนูญใช้บังคับนั้น เป็นเพราะอ้างว่าพลเอก ประยุทธ์เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันมาตั้งแต่ปี 60 ซึ่งฟังไม่ขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 264 บัญญัติว่า ครม.ที่เป็นอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับเป็น ครม.ตามรัฐธรรมนูญนี้ ก็คือต้องนับมาตั้งแต่ปี 2557 คือตั้งแต่พลเอก ประยุทธ์เป็นนายกฯมาแต่แรก
 
คำชี้แจงของคุณมีชัยย้อนแย้งกันเอง แบบหาตรรกะเหตุผลไม่ได้
 
แต่ที่สำคัญก็คือศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ถามความเห็นส่วนตัวในปัจจุบันของคุณมีชัย แต่ถามถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าไม่มีบันทึกไว้ก็ต้องให้คุณมีชัยกับพวกมาเล่า แต่เมื่อมีการประชุมหารือและบันทึกไว้ก็ต้องดูตามที่บันทึกไว้
คุณมีชัยดูจะทำอะไรแบบรีบๆ อยู่บ่อยๆ และในเรื่องนี้ก็ทำแบบรีบๆ ถึงสองครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน
รีบที่หนึ่งคือตอนที่คณะกรรมการรับรองรายงานการประชุม คุณมีชัยคงเห็นว่าไม่มีอะไรจะแก้หรือไม่ทันนึกอะไรก็เลยปล่อยผ่านไป แล้วก็จำไม่ได้ว่าที่ประชุมรับรองบันทึกการประชุมในวันที่ 7 ก.ย.61 ไปแล้ว หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นจำผิด
มาตอนนี้ก็รีบอีกคือรีบบอกว่าบันทึกการประชุมครั้งนั้น ผู้จดบันทึกคิดไปเองและไม่ได้มีการรับรอง
 
แต่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าคณะกรรมาธิการฯรับรองรายงานการประชุมไปแล้ว จึงต้องถือตามรายงานการประชุมนั้น
 
ความเห็นของคุณมีชัยในวันนี้จึงไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร จะมีก็แต่ความเสียหายต่อคุณมีชัยเองที่ไม่มีหลักการอะไรและยังมาลักไก่ให้คนเขาจับได้ ขายหน้าเขาไปทั่ว

https://www.facebook.com/Chaturon.FanPage/posts/pfbid02efRux92z8r2U9B3HrwQvjDzX5nQfo1rU3XgtYLwzsEHbcEL9oCPgicMG4dXVY3TEl
  

 
แหวน ร้อง กมธ. ติดคุกฟรี 3 ปี 6 เดือน เจอ คสช.จับคดี 112 สุดท้ายไม่ผิด-ไร้เยียวยา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3549649
  
“แหวน มีวังปลา” ร้อง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ กรณีศาลยกฟ้อง ม.112 แต่ไร้การเยียวยา ด้าน “ณัฐชา” รับเรื่องเตรียมนำเรื่องเข้าที่ประชุมวันนี้
 
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 กันยายน ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจาก นางสาวณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน จำเลยในมาตรา 112
 
นางสาวณัฏฐธิดากล่าวว่า ถูกจับกุมตอนสมัยที่มีการประกาศยึดอำนาจในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยการอุ้มจากทหารที่บ้านพัก จับโดยทหาร ไต่สวนโดยตำรวจ และยกฟ้องโดยศาลพลเรือน ซึ่งมีเหตุผลว่าคณะ คสช.เกิดความสงสัย และได้ถูกฝากขังในเรือนจำ 3 ปี 6 เดือน ทั้งยังไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ทำให้เสียสิทธิในการต่อสู้คดี ไม่มีสิทธิออกมาหาพยาน หรือหลักฐานในการต่อสู้คดี โดยในท้ายที่สุด ศาลได้ให้ประกันตัวในวันที่ 4 กันยายน 2562
 
“สิ่งที่ตนสูญเสียไปคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มี เช่น ชื่อเสียง อาชีพ หน้าที่การงาน จนต่อมาได้ต่อสู้จนชนะคดี ศาลให้เหตุผลว่ายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่ทางภาครัฐไม่มีเยียวยา ซึ่งตนได้ยื่นขอเยียวยา และได้ต่อสู้มาตลอดเนื่องจากการจับกุม เป็นเพียงแค่กระดาษใบเดียวที่มีความไม่ชอบธรรม เป็นการสร้างหลักฐานเท็จโดยทหาร ซึ่งได้มีข้อแลกเปลี่ยนให้ยอมรับเงื่อนไขของทหาร โดยให้ถอนตัวจากการเป็นพยานคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม แลกกับเงิน 12 ล้าน”
 
“การที่ทหารกล้าจับตนเข้าไปในค่าย มีการกระทำอนาจาร รีดเค้นและสอบสวน ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไม่เคยรับรู้ และเมื่อตนสู้คดีจนชนะ สังคมก็ไม่เคยให้โอกาส และประณามตนไปแล้วว่าเป็นคนเลว ขี้คุก และทหาร ตำรวจที่จับตนไปก็ไม่เคยออกมาขอโทษ หรือเยียวยา ทั้งที่ตนไม่มีความผิด จึงอยากฝากเรื่องถึงผู้ที่เกี่ยวข้องให้ประสานงานต่อ และตนจะมาเรื่อยๆ จนกว่าเรื่องนี้จะถึงที่สุด”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่