JJNY : 5in1 ป๋าเต็ดฟาดเดือด│อดีตรมต.ตปท.จี้รบ.แสดงท่าที│ก้าวไกลตั้ง4ทีมคุมเกมซักฟอก│ขนส่งขอนแก่นโอด│มะกันส่งอาวุธเพิ่ม

ไม่ใช่เราแก้ตัวให้เพื่อนบ้าน! ป๋าเต็ด ไม่ทน ฟาดเดือด ปมเครื่องบินรุกล้ำน่านฟ้าไทย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7141388

ไม่ใช่เราแก้ตัวให้เพื่อนบ้าน! ป๋าเต็ด ยุทธนา ไม่ขอทน โพสต์เฟซบุ๊ก ฟาดเดือด ปมเครื่องบินกองทัพเมียนมา รุกล้ำน่านฟ้าไทย
   
จากกรณีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สัมภาษณ์ถึงเรื่องเครื่องบิน MiG-29 กองทัพเมียนมา รุกล้ำน่านฟ้าไทยที่ อ.พบพระ จ.ตาก ว่า นี่เป็นเรื่องที่มองดูอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้เรื่องใหญ่ ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกหรือไม่
 
โดยเครื่องบินลำดังกล่าวไม่ได้ตั้งใจล้ำเข้ามา แค่ตีวงเลี้ยวจึงทำให้ล้ำเข้ามาน่านไทยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทางพม่าได้มีการขอโทษต่อรัฐบาลไทยกลับมา และไม่ได้ต้องการมีปัญหา
 
ล่าสุด (2 ก.ค.65) ป๋าเต็ด ยุทธนา ออกมาแสดงความคิดเห็นฟาดเดือดถึงเรื่องเครื่องบินกองทัพเมียนมา รุกล้ำน่านฟ้าไทย
 
โดยเผยว่า 

“ถ้าเพื่อนบ้านเดินตัดสนามหญ้าบ้านเรา หรือยิงปืนพลาดเข้ามาในสนามหญ้าบ้านเรา เพื่อนบ้านควรขอโทษและชี้แจงเหตุผลกับเรา ไม่ใช่เราแก้ตัวให้เพื่อนบ้าน” 

ท่ามกลางผู้ใช้โลกโซเชียลเข้ามากดไลก์โพสต์ดังกล่าวเกือบ 7 พันครั้ง

https://www.facebook.com/ted.yuthana/posts/pfbid0UJQmZ4UkfXifCVaVrdXuDxtBD913csoJomC7qH9boKTDCfDjNBKaXrGUSj5szM3yl
 


อดีต รมต.ต่างประเทศ จี้ รบ. แสดงท่าทีให้ชัดกว่านี้ หลังเครื่องบินพม่าล้ำแดนไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3431656

“อดีต รมต.ต่างประเทศ” ชี้ คนวิจารณ์ท่าที รบ.หลัง เครื่องบินรบเมียนมาร์รุกล้ำไทย ไม่ใช่อยากเห็นความขัดแย้ง จี้ แสดงท่าทีชัดเจนกว่านี้
 
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีเครื่องบินเมียนมาบินล้ำดินแดนไทยและตามข่าวทรัพย์สินคนไทยเสียหายจากสะเก็ดระเบิดด้วยนั้น ว่าเรื่องนี้มีคนวิจารณ์ท่าทีของรัฐบาลว่ามีท่าทีเหมาะสมหรือไม่ และคงไม่มีใครอยากเห็นความขัดแย้งทางอาวุธกับเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า ไทยควรมีท่าทีที่มั่นคงชัดเจนกว่านี้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และควรประท้วงเตือนหรือมีท่าทีที่เหมาะสมแก่กรณีในแต่ละระดับ นอกจากนี้เรายังไม่ได้ฟังท่าทีของเมียนมาในเรื่องนี้ มีแต่ได้ยินฝ่ายต่างๆ ของไทยชี้แจง ซึ่งบางชุดของคำชี้แจงตรวจสอบแล้วเป็นของฝ่ายไทย ไม่ใช่จากฝ่ายเมียนมา และไทยได้แสดงความกังวลเพียงพอหรือไม่ว่าการปฏิบัติการของเมียนมาอาจมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยตามแนวชายแดน และจะมีหลักประกันอย่างไรว่าจะไม่เกิดกรณีเช่นนี้อีก
 
“คนไทยที่ได้รับผลกระทบไปแล้ว เช่นทรัพย์สินที่เสียหายจะได้รับการเยียวยาอย่างไร ทั้งนี้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว แต่ต้องรักษาเกียรติภูมิของประเทศในระยะยาวด้วย ดังนั้น การจัดการกรณีทำนองนี้ รัฐบาลควรมีท่าทีที่เหมาะสม รับฟังข้อเสนอแนะแล้วนำไปปรับปรุงจะดีกว่า” นายนพดลกล่าว


  
ก้าวไกล ตั้ง 4 ทีม คุมเกมซักฟอก ดึงไอติม ร่วมทัพ เย้ยชื่อองครักษ์ รบ. เหมือนหนังจีน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3431757
 
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่วิปรัฐบาลยืนยันให้ซักฟอกแค่ 4 วัน ว่า อันที่จริงแล้วตนได้มีโอกาสคุยกับนายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าจะให้เพียง 4 วัน ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการพูดคุย ประสานงานกัน ในเบื้องต้นจะมีการนัดประชุมวิปทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงระยะเวลาในการอภิปราย และเริ่มตั้งแต่วันที่เท่าใด สำหรับจุดยืนของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ได้อยู่ที่จำนวนวัน แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงที่คิดว่าเหมาะสมกับจำนวนรัฐมนตรี และประเด็นที่จะอภิปรายมีกรอบอยู่ที่ 40 ชั่วโมง
 
เมื่อถามว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ เพราะถือว่าเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายของพรรคร่วมฝ่ายค้าน นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลก็คงพูดแบบนี้ทุกครั้ง แต่ประโยคนี้มีความย้อนแย้งกันเอง ตนก็ไม่ทราบว่านำชื่อมาจากหนังจีนเรื่องอะไรมีทั้งทีมเจ้ายุทธ ทีมปราบมาร แต่เท่าที่ทราบรัฐมนตรีแต่ละคนไม่ได้เรียกร้องให้มีองครักษ์ เนื่องจากจะตอบคำถามด้วยตนเอง ตนคิดว่าทั้งรัฐมนตรีที่มาจากพรรค หรือว่า ส.ส.ของรัฐบาลควรจะหารือกันก่อนว่ารัฐมนตรีต้องการคนที่จะมาปกป้องหรือไม่ หรือเป็นที่ ส.ส.เองที่จะมาเล่นใหญ่แสดงบทบาทปกป้องรัฐมนตรีจนเกินงาม ไม่ใช่เป็นประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะต้องมีความกังวล
 
เมื่อถามว่า มั่นใจในข้อมูลอยู่หรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ข้อมูลยังมีเข้ามาเรื่อยๆ และยังมีประเด็นใหม่เพิ่มขึ้นมา เช่น มีการรุกล้ำน่านฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านและท่าทีของประเทศไทยที่ตอบสนองในเรื่องนี้ เป็นไปในท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่าที่จะปกป้องประชาชนของตนเอง รอบนี้เราต้องการเด็ดหัวนั่งร้าน ในกรณีของการบริหารราชการและการควบคุมกำกับดูแลที่ผิดพลาดของราชการในส่วนของนายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นหลัก สำหรับรัฐมนตรีคนอื่นมีข้อมูลเรื่องของการทุจริต การเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องทั้งในอดีตและในปัจจุบัน และประเด็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งอยากให้จับตามองดีๆ เพราะอาจจะเป็นประเด็นที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อน ตัวของ ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาลเองก็อาจจะยังไม่เคยทราบ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ก็อาจจะนำไปสู่การน็อกได้ ในกรณีที่มีหลักฐานคาหนังคาเขาอย่างชัดเจน พรรคร่วมฝ่ายค้านยอมรับว่า เสียงน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อเป็นครั้งสุดท้ายความมั่นใจในการน็อกไม่ได้มาจากเพื่อนร่วมฝ่ายค้านด้วยกันอย่างเดียว จึงหวังว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามาช่วยด้วย
 
“ผมคิดว่าถ้าน็อกได้ก็จะน็อกไปที่ตัวนายกฯไปเลย หรือรัฐมนตรีรายบุคคลมากกว่า อาจจะไม่สามารถน็อกรัฐมนตรีทั้งหมดได้ ถึงกระนั้นก็คงสร้างบาดแผลที่จะนำไปสู่การร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพิ่มเติมหรือจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในครั้งถัดไปที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่” นายณัฐวุฒิกล่าว
 
เมื่อถามว่า พรรค ก.ก.เตรียมตัวอย่างไรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า พรรค ก.ก.จะเตรียมตัวบุคคลมากขึ้น โดยแบ่งทีมคร่าวๆ 4 ทีม โดยทีมที่ 1 จะเป็นทีมที่ดูธีม นโยบาย และประเด็นที่จะใช้อภิปรายทั้งหมด ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค เป็นทีมหลักแต่ปีนี้ที่เพิ่มเข้ามา คือ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ทีมที่ 2 คือกลุ่มประสานงานเรื่องของเวลา ในการวางว่าใครจะลงอภิปราย โดยจะดูในภาพรวมของฝ่ายค้านทั้งหมด มีนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นทีมประสานงาน
 
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทีมที่ 3 คือทีมที่จะเตรียมประเด็นในการอภิปรายของฝั่งรัฐบาลที่อาจจะพาดพิงมาที่ฝ่ายค้านหรือการดำเนินการที่จะผิดข้อบังคับของฝั่งรัฐบาล มีตน นายธีรัจชัย พันธุมาศ และ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดูแล และทีมที่ 4 คือทีมสื่อสาร ตอบโต้ในประเด็นต่างๆ ระหว่างที่มีการอภิปรายรวมถึงหลังการอภิปรายด้วย ก็จะมีทีมโฆษกของพรรค ก.ก.โดยได้เพิ่ม นายกรุณพล เทียนสุวรรณ เข้ามาเป็นหลัก
 
“พรรค ก.ก.มีความมั่นใจกว่าทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา และคงไม่เกิดกรณีที่ ส.ส.ไม่ได้อภิปรายอีก เราเชื่อว่าประสบการณ์ใน 3-4 ปีรอบนี้จะเป็นรอบที่ดีที่สุด และมีความเป็นเอกภาพกับพรรคร่วมฝ่ายค้านมากที่สุด” นายณัฐวุฒิกล่าว
 

 
ขนส่งขอนแก่น โอดรัฐขึ้นค่าโดยสารไม่ช่วยอะไร
https://www.innnews.co.th/news/local/news_367160/
 
 ผู้ประกอบการขนส่งโอด รัฐขึ้นค่าโดยสาร กม.ละ 5 สตางค์มีผลสัปดาห์หน้า แทบไม่ได้ช่วยอะไร หลังภาวะต้นทุนแพงขึ้นทุกอย่างโดยเฉพาะน้ำมัน
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากที่รัฐบาล ได้มีมติในการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารในหมวดที่กำหนด โดยปรับขึ้น กม.ละ 5 สตางค์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.เป็นต้นไป ซึ่งจากการลงพื้นที่สอบถามผู้ประกอบการรถโดยสารส่วนใหญ่ต่างระบุว่าการปรับขึ้นราคาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลต่อภาวะต้นทุนที่เกิดขึ้นในขณะนี้แต่อย่างใด
 
โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง นายณรงค์ชัย ตงศิริ ประธานกรรมการ บริษัทสหมิตรภาพ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้ทำการลดเที่ยววิ่งลง โดยเป็นการปรับลดเที่ยวลงตั้งแต่โควิดระบาด และเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย น้ำมันก็แพงขึ้น
 
ทำให้ขณะนี้เหลือรถโดยสารที่บริษัทฯออกให้บริการเพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วนั้นกฎหมายมีบอกไว้อยู่แล้วว่าค่าน้ำมันเท่าไร ค่าโดยสารเท่าไร ซึ่งบริษัทก็ยินดีที่จะปฏิบัติแต่ก็ไม่มีการพูดความจริงกันเสียทีในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งหากบริษัทฯอยู่ไม่ได้จริงๆ คงจะเลิกกิจการลงไป โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันดีเซลแตะระดับไปที่ลิตรละ 50 บาท ซึ่งก็ไม่มีใครจะทนได้
 
” บริษัทเดินรถหมวด3 เส้นทางขอนแก่น-มุกดาหารเป็นหลัก โดยให้บริการมาตั้งแต่ปี 2512 ซึ่งจริงๆ แล้วค่าโดยสารแพง บริษัทฯก็ไม่ต้องการเพราะค่าโดยสารแพงคนก็หันไปใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น แต่สิ่งที่บริษัทฯต้องการคือการช่วยเหลือจากรัฐบาล
 
โดยขอให้ตีความหมายของคำว่ารถสาธารณะให้ออก คำว่ารถสาธารณะคือรถที่ประชาชนใช้ทั่วไปไม่ควรจะแพงแต่ในทางเดียวกันเราไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลใดๆ ตอนนี้ทำได้แต่ประคองกิจการเลี้ยงลูกน้องเท่านั้น”
 
นายณรงค์ชัย กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันทางเลือกในการเดินทางเยอะขึ้น ผู้โดยสารใช้บริการน้อยลง ดังนั้นเมื่อต้องการให้รถโดยสารสาธารณะยังอยู่ รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีเฉพาะผู้ประกอบการ ,ภาษีน้ำมัน หรือจะเป็นการซื้อรถบัสโดยสารให้ถูกกว่าคนอื่น
 
ซึ่งระยะนี้ราคาน้ำมันสูงขึ้นคนหันมาใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้นแต่ก็นิดหน่อย แต่ในภาพรวมบริษัทฯต้องยอมเพราะว่าเราก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งหากปล่อยไปในลักษณะเช่นนี้ ไม่มีวิธีอื่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่