ท้องผูกอย่าเข้าใจผิด!... คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
ท้องผูก (Constipation) เป็นอาการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติหรือถ่ายอุจจาระไม่ออกเป็นเวลานาน ซึ่งพฤติกรรมและความถี่ในการถ่ายอุจจาระปกติของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน แต่ในทางการแพทย์มักหมายถึงการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
อาการของท้องผูก
โดยทั่วไป ตัวอย่างสัญญาณอาการของท้องผูกจะมีดังนี้
· ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่าปกติที่เคยเป็น
· อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง เป็นเม็ดเล็กๆ
· รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่ออก หรือถ่ายได้ไม่สุด
· ถ่ายอุจจาระออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งมากหรือใช้มือช่วยล้วง อาจมีอาการเจ็บขณะถ่ายอุจจาระร่วมด้วย
· ท้องอืด ปวดท้อง หรือปวดเกร็งบริเวณหน้าท้อง
สาเหตุของอาการท้องผูก
สาเหตุของอาการท้องผูกมีมากมาย แต่อาจสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ แบบปฐมภูมิที่มักเกิดจากสรีรวิทยาการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป และแบบทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากปัจจัยบางอย่าง เช่น
· ยา ได้แก่ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยาแก้ปวดท้องบางชนิด
· อาหารเสริม เช่น แคลเซียมหรือธาตุเหล็ก
· โรคทางต่อมไร้ท่อ ได้แก่ โรคไทรอยด์ต่ำ
· โรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
วิธีรักษาท้องผูก
เมื่อได้รับผลการตรวจวินิจฉัยแน่ชัดว่ามีอาการท้องผูก แพทย์เฉพาะทางจะทำการรักษาตามสาเหตุที่เป็นมีหลายวิธี ได้แก่
* การปรับพฤติกรรม ได้แก่ ขับถ่ายอุจจาระเมื่อรู้สึกอยากถ่ายครั้งแรก อย่ารอจนสัญญาณการขับถ่ายอ่อนลง นั่งขับถ่ายในท่านั่งที่เหมาะสม รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ดื่มน้ำในปริมาณที่มากเพียงพอ
* การรักษาโดยการใช้ยาระบาย ซึ่งมีหลากหลายชนิด ได้แก่ ยาระบายในกลุ่มกระตุ้นให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัว (Stimulant Laxatives) ยาระบายกลุ่มที่ออกฤทธิ์ดูดซึมน้ำเพื่อให้อุจจาระมีปริมาณน้ำมากขึ้น (Osmotic Laxatives) ไหลกลับเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ยาเหน็บหรือยาสวนทวาร รวมไปถึงยากลุ่มใหม่ๆ ในปัจจุบัน เช่น ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวตัวของลำไส้ (Prokinetic Agent) หรือ ยากลุ่มที่กระตุ้นให้มีการหลั่งสารน้ำและเกลือแร่บางตัวเข้าไปในลำไส้ (Secretagouge) ทั้งนี้ควรขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางเป็นสำคัญ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเอง
* การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออก มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยท้องผูกจากภาวะที่ลำไส้เคลื่อนไหวช้าที่รักษาโดยการรับประทานยาแล้วไม่ได้ผลและมีความผิดปกติชัดเจนของกล้ามเนื้อและระบบประสาทของลำไส้ที่ได้รับการตรวจยืนยันชัดเจนแล้ว โดยวิธีนี้ต้องผ่านการพิจารณาจากแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการเท่านั้น
การป้องกันอาการท้องผูก
* พฤติกรรมการใช้ชีวิตในประจำวันอย่างเหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ผ่อนคลายความเครียด ไม่ควรใช้ยาระบายบ่อยเกินไป
* พฤติกรรมการขับถ่ายที่ดี เช่น ขับถ่ายให้เป็นเวลาซึ่งควรทำให้เป็นกิจวัตร ไม่อั้นอุดจาระเมื่อรู้สึกต้องการขับถ่าย ไม่นั่งถ่ายอุจจาระนานเกินไป วิธีเหล่านี้จะช่วยป้องกันท้องผูกได้อย่างดี
** ปัญหาท้องผูกไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยหรือนิ่งนอนใจ หากปล่อยไว้ให้เรื้อรังอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างริดสีดวงทวาร รวมไปถึงอาการแสดงเริ่มต้นของโรคและปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา
นพ.ดนัย ลิ้มมธุรสกุล
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคระบบทางเดินอาหารโรงพยาบาลรามคำแหง
ท้องผูกอย่าเข้าใจผิด!... คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
ท้องผูกอย่าเข้าใจผิด!... คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
ท้องผูก (Constipation) เป็นอาการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติหรือถ่ายอุจจาระไม่ออกเป็นเวลานาน ซึ่งพฤติกรรมและความถี่ในการถ่ายอุจจาระปกติของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน แต่ในทางการแพทย์มักหมายถึงการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
อาการของท้องผูก
โดยทั่วไป ตัวอย่างสัญญาณอาการของท้องผูกจะมีดังนี้
· ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่าปกติที่เคยเป็น
· อุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง เป็นเม็ดเล็กๆ
· รู้สึกถ่ายอุจจาระไม่ออก หรือถ่ายได้ไม่สุด
· ถ่ายอุจจาระออกได้ยาก ต้องใช้แรงเบ่งมากหรือใช้มือช่วยล้วง อาจมีอาการเจ็บขณะถ่ายอุจจาระร่วมด้วย
· ท้องอืด ปวดท้อง หรือปวดเกร็งบริเวณหน้าท้อง
สาเหตุของอาการท้องผูก
สาเหตุของอาการท้องผูกมีมากมาย แต่อาจสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ แบบปฐมภูมิที่มักเกิดจากสรีรวิทยาการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป และแบบทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากปัจจัยบางอย่าง เช่น
· ยา ได้แก่ ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยาแก้ปวดท้องบางชนิด
· อาหารเสริม เช่น แคลเซียมหรือธาตุเหล็ก
· โรคทางต่อมไร้ท่อ ได้แก่ โรคไทรอยด์ต่ำ
· โรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
วิธีรักษาท้องผูก
เมื่อได้รับผลการตรวจวินิจฉัยแน่ชัดว่ามีอาการท้องผูก แพทย์เฉพาะทางจะทำการรักษาตามสาเหตุที่เป็นมีหลายวิธี ได้แก่
* การปรับพฤติกรรม ได้แก่ ขับถ่ายอุจจาระเมื่อรู้สึกอยากถ่ายครั้งแรก อย่ารอจนสัญญาณการขับถ่ายอ่อนลง นั่งขับถ่ายในท่านั่งที่เหมาะสม รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ดื่มน้ำในปริมาณที่มากเพียงพอ
* การรักษาโดยการใช้ยาระบาย ซึ่งมีหลากหลายชนิด ได้แก่ ยาระบายในกลุ่มกระตุ้นให้กล้ามเนื้อลำไส้บีบตัว (Stimulant Laxatives) ยาระบายกลุ่มที่ออกฤทธิ์ดูดซึมน้ำเพื่อให้อุจจาระมีปริมาณน้ำมากขึ้น (Osmotic Laxatives) ไหลกลับเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ยาเหน็บหรือยาสวนทวาร รวมไปถึงยากลุ่มใหม่ๆ ในปัจจุบัน เช่น ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวตัวของลำไส้ (Prokinetic Agent) หรือ ยากลุ่มที่กระตุ้นให้มีการหลั่งสารน้ำและเกลือแร่บางตัวเข้าไปในลำไส้ (Secretagouge) ทั้งนี้ควรขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางเป็นสำคัญ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเอง
* การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออก มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยท้องผูกจากภาวะที่ลำไส้เคลื่อนไหวช้าที่รักษาโดยการรับประทานยาแล้วไม่ได้ผลและมีความผิดปกติชัดเจนของกล้ามเนื้อและระบบประสาทของลำไส้ที่ได้รับการตรวจยืนยันชัดเจนแล้ว โดยวิธีนี้ต้องผ่านการพิจารณาจากแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการเท่านั้น
การป้องกันอาการท้องผูก
* พฤติกรรมการใช้ชีวิตในประจำวันอย่างเหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ผ่อนคลายความเครียด ไม่ควรใช้ยาระบายบ่อยเกินไป
* พฤติกรรมการขับถ่ายที่ดี เช่น ขับถ่ายให้เป็นเวลาซึ่งควรทำให้เป็นกิจวัตร ไม่อั้นอุดจาระเมื่อรู้สึกต้องการขับถ่าย ไม่นั่งถ่ายอุจจาระนานเกินไป วิธีเหล่านี้จะช่วยป้องกันท้องผูกได้อย่างดี
** ปัญหาท้องผูกไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยหรือนิ่งนอนใจ หากปล่อยไว้ให้เรื้อรังอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างริดสีดวงทวาร รวมไปถึงอาการแสดงเริ่มต้นของโรคและปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา