ท้องผูก คือ อาการที่ลำไส้บีบตัว หรือเคลื่อนตัวช้า ไม่สามารถกำจัดอุจจาระออกจากทางเดินอาหารได้ตามปกติ
เกิดการตกค้างในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน เมื่อร่างกายดูดน้ำในอุจจาระกลับ ทำให้อุจจาระมีลักษณะแห้ง แข็ง และมีขนาดใหญ่
ส่งผลให้ขับถ่ายลำบาก หรือ ถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดห์ละ 3 ครั้ง
หากปล่อยไว้จะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
ท้องผูก...ปล่อยไว้ไม่ดีแน่
ท้องผูก (Constipation) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งหมายถึงการขับถ่ายลำบากหรือถ่ายน้อยกว่าปกติ
โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะขับถ่ายวันละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
หรือรู้สึกว่าขับถ่ายไม่สะดวก อาจเป็นสัญญาณของท้องผูก
สัญญาณและอาการของท้องผูก ขับถ่ายน้อยกว่าปกติ โดยปกติจะถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือในบางกรณี
อาจถ่ายน้อยกว่านี้ในช่วงเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์
อุจจาระแข็งหรือแห้ง ลักษณะอุจจาระที่แข็งและแห้งทำให้ขับถ่ายลำบาก อาจมีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ หรือเหมือนเม็ดกระสุน
ต้องใช้แรงเบ่งมากรู้สึกว่าต้องใช้แรงเบ่งมากในการขับถ่าย อาจเกิดจากอุจจาระที่แข็งหรือกล้ามเนื้อไม่ทำงานอย่างปกติ
รู้สึกว่าขับถ่ายไม่สุด แม้ว่าจะขับถ่ายแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนมีอุจจาระเหลืออยู่ในลำไส้
ปวดท้องหรือรู้สึกแน่นท้อง อาจรู้สึกแน่นท้อง ปวดท้อง หรือมีอาการท้องอืดร่วมด้วย
อาการอื่น ๆ บางคนอาจมีอาการข้างเคียง เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือมีแก๊สในท้อง
สาเหตุของท้องผูก การบริโภคใยอาหารไม่เพียงพอ อาหารที่มีใยอาหารต่ำ
เช่น อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ หรืออาหารที่ขาดผักและผลไม้ จะทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานช้าลง
เนื่องจากใยอาหารช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ ทำให้อุจจาระนุ่มและเคลื่อนที่ได้ง่าย
ดื่มน้ำน้อย การดื่มน้ำน้อยทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ได้ยาก
ควรดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวันเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย
การออกกำลังกายไม่เพียงพอ การขยับร่างกายหรือการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
ดังนั้นการไม่ขยับร่างกายเพียงพอ เช่น การนั่งทำงานนาน ๆ หรือใช้ชีวิตในลักษณะที่ไม่เคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก
พฤติกรรมการขับถ่ายที่ไม่ดี การกลั้นอุจจาระบ่อย ๆ เพราะไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาขับถ่าย ทำให้ลำไส้ปรับตัวและการทำงานลดลง
ความเครียด ความเครียดมีผลต่อระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย บางคนเมื่อเครียดจะมีอาการท้องผูก
เนื่องจากระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง
การเปลี่ยนแปลงของตารางชีวิต การเปลี่ยนแปลงของเวลานอน การเดินทาง หรือการทำงาน
อาจทำให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปกติ เช่น การเดินทางระยะไกล การนอนดึก หรือทำงานเป็นกะ
ผลข้างเคียงของยา ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดความดัน ยาต้านอาการซึมเศร้า หรือยาระงับปวด
มักมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดท้องผูก
โรคประจำตัวหรือภาวะทางการแพทย์ โรคบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของลำไส้
เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคเบาหวาน โรคทางระบบประสาท หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
การตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง
นอกจากนี้มดลูกที่ขยายตัวอาจกดทับลำไส้ ส่งผลให้ท้องผูกได้ง่าย
อาการท้องผูกที่ไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างเหมาะสมสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ซึ่งบางครั้งอาจรุนแรงได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการท้องผูกเรื้อรัง
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)
การเบ่งขับถ่ายอุจจาระที่แข็งและแห้งบ่อยครั้งอาจทำให้หลอดเลือดในทวารหนักบวมและเกิดริดสีดวงทวารได้
อาการ เลือดออกขณะขับถ่าย ปวดบริเวณทวารหนัก หรือมีอาการคันและบวม
2. ทวารหนักฉีกขาด (Anal Fissure)
อุจจาระที่แข็งและการเบ่งอย่างรุนแรงอาจทำให้ทวารหนักฉีกขาด ซึ่งเป็นรอยแผลบริเวณทวารหนัก
ทำให้เกิดอาการปวดและเลือดออกขณะขับถ่าย อาการ ปวดทวารหนัก มีเลือดออกจากทวารหนัก รู้สึกแสบเมื่อขับถ่าย
3. อุจจาระอุดตัน (Fecal Impaction)
หากมีการสะสมของอุจจาระในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการอุดตันของอุจจาระ
ซึ่งเป็นภาวะที่อุจจาระไม่สามารถเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ อาการ ปวดท้อง แน่นท้อง เบื่ออาหาร อาจมีการอาเจียน
4. ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome - IBS)
ท้องผูกที่เรื้อรังอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งเป็นภาวะที่ลำไส้ทำงานผิดปกติ
อาการ มีการเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับกับท้องเสีย ปวดท้อง หรือท้องอืด
5. ปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย (Rectal Prolapse)
การเบ่งอุจจาระอย่างต่อเนื่องและรุนแรงอาจทำให้ลำไส้ตรงบางส่วนยื่นออกมาจากทวารหนัก
ซึ่งอาจต้องการการรักษาด้วยการผ่าตัด อาการ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างยื่นออกจากทวารหนัก ปวดหรือไม่สบายบริเวณทวารหนัก
6. การกดทับของลำไส้ใหญ่ (Colonic Diverticulosis)
การเบ่งอุจจาระที่บ่อยและยาวนานอาจทำให้เกิดกระเปาะหรือตุ่มในผนังลำไส้ใหญ่
ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อที่เรียกว่า Diverticulitis
อาการ ปวดท้องบริเวณล่างซ้าย ไข้ หนาวสั่น หรือท้องเสีย
7. ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ท้องผูกเรื้อรังอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหรือความเครียด
ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์ทางสังคม
อาการ ความเครียด ความวิตกกังวล อารมณ์ซึมเศร้า และขาดสมาธิ
การดูแลและวิธีการรักษาท้องผูก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เพิ่มการบริโภคใยอาหาร
ใยอาหารมีความสำคัญต่อการขับถ่าย ควรเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ และธัญพืชที่ไม่ขัดสีในมื้ออาหารทุกวัน
ผักและผลไม้เช่น มะละกอ ลูกพรุน หรือแอปเปิ้ล มีใยอาหารสูงและช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดี
ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันสามารถช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น
การรักษาระดับน้ำในร่างกายที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร
ลดอาหารที่ย่อยยากหรือมีไขมันสูง อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป อาหารทอด อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง
การออกกำลังกายและการขยับร่างกาย
การออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน การขยับร่างกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
การเคลื่อนไหวระหว่างวัน หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน ๆ ควรลุกขึ้นเดินบ้างเพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ฝึกตารางการขับถ่าย ฝึกการขับถ่ายตามเวลาที่กำหนด
ควรฝึกขับถ่ายในเวลาเดียวกันทุกวัน เช่น หลังรับประทานอาหารเช้าหรือหลังอาหารมื้อใหญ่ เพื่อสร้างความเคยชินให้กับลำไส้
หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ ถ้ารู้สึกอยากขับถ่าย ควรหาห้องน้ำทันที ไม่ควรกลั้นอุจจาระ เพราะจะทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยากขึ้น
การใช้ยาระบายและการรักษา การใช้ยาระบาย ยาระบายสามารถใช้ได้ในกรณีที่ท้องผูกเรื้อรังหรือเมื่อวิธีธรรมชาติไม่สามารถช่วยได้
แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ยาระบายเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้ขาดการกระตุ้นตามธรรมชาติ
การใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
การนวดท้องและการผ่อนคลาย การนวดท้อง
การนวดท้องเบา ๆ ในลักษณะตามเข็มนาฬิกา สามารถช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้ โดยนวดรอบ ๆ
สะดือหรือบริเวณท้องล่าง
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=RYo21CTkXlE
https://www.youtube.com/watch?v=BS-6cTabJSQ
https://www.thonburihospital.com/specialisecenter/gastrointestinal-liver-center/


ท้องผูก...ปล่อยไว้ไม่ดีแน่
เกิดการตกค้างในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน เมื่อร่างกายดูดน้ำในอุจจาระกลับ ทำให้อุจจาระมีลักษณะแห้ง แข็ง และมีขนาดใหญ่
ส่งผลให้ขับถ่ายลำบาก หรือ ถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดห์ละ 3 ครั้ง
หากปล่อยไว้จะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
ท้องผูก (Constipation) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งหมายถึงการขับถ่ายลำบากหรือถ่ายน้อยกว่าปกติ
โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะขับถ่ายวันละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
หรือรู้สึกว่าขับถ่ายไม่สะดวก อาจเป็นสัญญาณของท้องผูก
อาจถ่ายน้อยกว่านี้ในช่วงเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์
อุจจาระแข็งหรือแห้ง ลักษณะอุจจาระที่แข็งและแห้งทำให้ขับถ่ายลำบาก อาจมีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ หรือเหมือนเม็ดกระสุน
ต้องใช้แรงเบ่งมากรู้สึกว่าต้องใช้แรงเบ่งมากในการขับถ่าย อาจเกิดจากอุจจาระที่แข็งหรือกล้ามเนื้อไม่ทำงานอย่างปกติ
รู้สึกว่าขับถ่ายไม่สุด แม้ว่าจะขับถ่ายแล้ว แต่ยังรู้สึกเหมือนมีอุจจาระเหลืออยู่ในลำไส้
ปวดท้องหรือรู้สึกแน่นท้อง อาจรู้สึกแน่นท้อง ปวดท้อง หรือมีอาการท้องอืดร่วมด้วย
อาการอื่น ๆ บางคนอาจมีอาการข้างเคียง เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรือมีแก๊สในท้อง
เช่น อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ หรืออาหารที่ขาดผักและผลไม้ จะทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานช้าลง
เนื่องจากใยอาหารช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ ทำให้อุจจาระนุ่มและเคลื่อนที่ได้ง่าย
ดื่มน้ำน้อย การดื่มน้ำน้อยทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง จึงเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ได้ยาก
ควรดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวันเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย
การออกกำลังกายไม่เพียงพอ การขยับร่างกายหรือการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
ดังนั้นการไม่ขยับร่างกายเพียงพอ เช่น การนั่งทำงานนาน ๆ หรือใช้ชีวิตในลักษณะที่ไม่เคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก
พฤติกรรมการขับถ่ายที่ไม่ดี การกลั้นอุจจาระบ่อย ๆ เพราะไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาขับถ่าย ทำให้ลำไส้ปรับตัวและการทำงานลดลง
ความเครียด ความเครียดมีผลต่อระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย บางคนเมื่อเครียดจะมีอาการท้องผูก
เนื่องจากระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง
การเปลี่ยนแปลงของตารางชีวิต การเปลี่ยนแปลงของเวลานอน การเดินทาง หรือการทำงาน
อาจทำให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปกติ เช่น การเดินทางระยะไกล การนอนดึก หรือทำงานเป็นกะ
ผลข้างเคียงของยา ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด ยาลดความดัน ยาต้านอาการซึมเศร้า หรือยาระงับปวด
มักมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดท้องผูก
โรคประจำตัวหรือภาวะทางการแพทย์ โรคบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของลำไส้
เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคเบาหวาน โรคทางระบบประสาท หรือภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
การตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง
นอกจากนี้มดลูกที่ขยายตัวอาจกดทับลำไส้ ส่งผลให้ท้องผูกได้ง่าย
อาการท้องผูกที่ไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างเหมาะสมสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ซึ่งบางครั้งอาจรุนแรงได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการท้องผูกเรื้อรัง
ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)
การเบ่งขับถ่ายอุจจาระที่แข็งและแห้งบ่อยครั้งอาจทำให้หลอดเลือดในทวารหนักบวมและเกิดริดสีดวงทวารได้
อาการ เลือดออกขณะขับถ่าย ปวดบริเวณทวารหนัก หรือมีอาการคันและบวม
2. ทวารหนักฉีกขาด (Anal Fissure)
อุจจาระที่แข็งและการเบ่งอย่างรุนแรงอาจทำให้ทวารหนักฉีกขาด ซึ่งเป็นรอยแผลบริเวณทวารหนัก
ทำให้เกิดอาการปวดและเลือดออกขณะขับถ่าย อาการ ปวดทวารหนัก มีเลือดออกจากทวารหนัก รู้สึกแสบเมื่อขับถ่าย
3. อุจจาระอุดตัน (Fecal Impaction)
หากมีการสะสมของอุจจาระในลำไส้ใหญ่เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการอุดตันของอุจจาระ
ซึ่งเป็นภาวะที่อุจจาระไม่สามารถเคลื่อนผ่านลำไส้ได้ อาการ ปวดท้อง แน่นท้อง เบื่ออาหาร อาจมีการอาเจียน
4. ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome - IBS)
ท้องผูกที่เรื้อรังอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งเป็นภาวะที่ลำไส้ทำงานผิดปกติ
อาการ มีการเปลี่ยนแปลงในการขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับกับท้องเสีย ปวดท้อง หรือท้องอืด
5. ปัญหาเกี่ยวกับการขับถ่าย (Rectal Prolapse)
การเบ่งอุจจาระอย่างต่อเนื่องและรุนแรงอาจทำให้ลำไส้ตรงบางส่วนยื่นออกมาจากทวารหนัก
ซึ่งอาจต้องการการรักษาด้วยการผ่าตัด อาการ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างยื่นออกจากทวารหนัก ปวดหรือไม่สบายบริเวณทวารหนัก
6. การกดทับของลำไส้ใหญ่ (Colonic Diverticulosis)
การเบ่งอุจจาระที่บ่อยและยาวนานอาจทำให้เกิดกระเปาะหรือตุ่มในผนังลำไส้ใหญ่
ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อที่เรียกว่า Diverticulitis
อาการ ปวดท้องบริเวณล่างซ้าย ไข้ หนาวสั่น หรือท้องเสีย
7. ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ท้องผูกเรื้อรังอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายหรือความเครียด
ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน การทำงาน และความสัมพันธ์ทางสังคม
อาการ ความเครียด ความวิตกกังวล อารมณ์ซึมเศร้า และขาดสมาธิ
ใยอาหารมีความสำคัญต่อการขับถ่าย ควรเพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ และธัญพืชที่ไม่ขัดสีในมื้ออาหารทุกวัน
ผักและผลไม้เช่น มะละกอ ลูกพรุน หรือแอปเปิ้ล มีใยอาหารสูงและช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ดี
ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวันสามารถช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น
การรักษาระดับน้ำในร่างกายที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร
ลดอาหารที่ย่อยยากหรือมีไขมันสูง อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์แปรรูป อาหารทอด อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง
การออกกำลังกายและการขยับร่างกาย
การออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน การขยับร่างกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
การเคลื่อนไหวระหว่างวัน หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน ๆ ควรลุกขึ้นเดินบ้างเพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ฝึกตารางการขับถ่าย ฝึกการขับถ่ายตามเวลาที่กำหนด
ควรฝึกขับถ่ายในเวลาเดียวกันทุกวัน เช่น หลังรับประทานอาหารเช้าหรือหลังอาหารมื้อใหญ่ เพื่อสร้างความเคยชินให้กับลำไส้
หลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ ถ้ารู้สึกอยากขับถ่าย ควรหาห้องน้ำทันที ไม่ควรกลั้นอุจจาระ เพราะจะทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยากขึ้น
การใช้ยาระบายและการรักษา การใช้ยาระบาย ยาระบายสามารถใช้ได้ในกรณีที่ท้องผูกเรื้อรังหรือเมื่อวิธีธรรมชาติไม่สามารถช่วยได้
แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ยาระบายเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้ขาดการกระตุ้นตามธรรมชาติ
การใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
การนวดท้องและการผ่อนคลาย การนวดท้อง
การนวดท้องเบา ๆ ในลักษณะตามเข็มนาฬิกา สามารถช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ได้ โดยนวดรอบ ๆ
สะดือหรือบริเวณท้องล่าง
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=RYo21CTkXlE
https://www.youtube.com/watch?v=BS-6cTabJSQ
https://www.thonburihospital.com/specialisecenter/gastrointestinal-liver-center/