ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการถ่ายเป็นเลือดนั้นสร้างความกังวลใจให้กับผู้พบเจอไม่น้อย หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงอาการเล็กน้อยจากริดสีดวงทวารหนัก แต่ความจริงแล้ว อาการถ่ายเป็นเลือดอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงที่แฝงอยู่ภายในร่างกาย ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
.
สาเหตุของการถ่ายเป็นเลือด
การถ่ายเป็นเลือดนั้นมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยสามารถแบ่งออกได้ตามตำแหน่งของจุดเลือดออก ดังนี้
1. จุดเลือดออกส่วนปลายของลำไส้ใหญ่
-ริดสีดวงทวารหนัก: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนักโป่งพอง ผู้ป่วยมักมีเลือดสีแดงสดปนมากับอุจจาระ หรือติดอยู่ที่กระดาษชำระหลังถ่ายอุจจาระ บางรายอาจมีอาการเจ็บหรือคันร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ริดสีดวงอักเสบ ริดสีดวงมีลิ่มเลือด
=แผลปริทวารหนัก: เกิดจากการเบ่งถ่ายอุจจาระที่แข็ง หรือท้องผูกเรื้อรัง ทำให้เกิดบาดแผลฉีกขาดบริเวณทวารหนัก เลือดที่ออกมักมีสีแดงสด ปริมาณไม่มาก และมักมีอาการปวดขณะถ่ายอุจจาระร่วมด้วย
-ก้อนเนื้อบริเวณทวารหนัก: เช่น ติ่งเนื้อ หูด มะเร็งทวารหนัก ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ หรือมีการเสียดสีระหว่างการขับถ่าย
.
2. จุดเลือดออกส่วนต้นของลำไส้ใหญ่
-ลำไส้อักเสบ: เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (Ulcerative colitis) ลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Crohn’s disease) มักมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด อาจมีไข้ น้ำหนักลด ร่วมด้วย เลือดที่ออกมักปนมากับอุจจาระ หรือมีลักษณะเป็นมูกเลือด
-เนื้องอกในลำไส้: ทั้งเนื้องอกธรรมดาและมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่อันตราย เนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยมักมีเลือดปนมากับอุจจาระ อาจมีลักษณะเป็นเลือดสีดำ คล้ำ เหนียว เนื่องจากเลือดไหลผ่านลำไส้มาเป็นเวลานาน นอกจากนี้อาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ร่วมด้วย
-โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis): เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของถุงผนังลำไส้ ซึ่งเป็นถุงเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากผนังลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง มีไข้ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งอาจมีปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ
-การติดเชื้อในลำไส้: เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต อาจทำให้เกิดแผลในลำไส้ และมีเลือดออกได้
-โรคอื่นๆ: เช่น โรค celiac ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้กลูเตน ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้เล็ก และอาจมีเลือดออกได้ แต่อาการถ่ายเป็นเลือดมักไม่ใช่ลักษณะเด่นของโรคนี้
.
เมื่อไรที่ควรพบแพทย์
-อาการถ่ายเป็นเลือด แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
-ถ่ายเป็นเลือดปริมาณมาก หรือมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
-ถ่ายเป็นเลือดบ่อยครั้ง หรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเกิน 2 สัปดาห์
-มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
-อายุมากกว่า 50 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นประจำ แม้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
.
การวินิจฉัย
-แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น
-ตรวจอุจจาระ: หาเลือดแฝงในอุจจาระ ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เบื้องต้น
-ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่: เพื่อดูความผิดปกติภายในลำไส้ เช่น แผล เนื้องอก การอักเสบ ซึ่งเป็นการตรวจวินิจฉัยที่สำคัญ ช่วยให้แพทย์เห็นภาพภายในลำไส้ได้โดยตรง (ความประทับใจของ คุณดิษพงษ์ ชัยวิชญชาติ ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ได้รับการดูแลใส่ใจเป็นอย่างดี)
-ตรวจชิ้นเนื้อ: เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง หรือวินิจฉัยโรคอื่นๆ เช่น ลำไส้อักเสบ
-การตรวจเลือด: เพื่อหาสาเหตุของภาวะโลหิตจาง การติดเชื้อ หรือโรคอื่นๆ
.
การรักษา
ขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น
-การใช้ยา: เช่น ยารักษาโรคริดสีดวงทวารหนัก ยาลดการอักเสบ ยาปฏิชีวนะ ยาระบาย ยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า
-การผ่าตัด: เช่น การผ่าตัดริดสีดวงทวารหนัก การผ่าตัดลำไส้ส่วนที่มีถุงผนังอักเสบ การผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่
-การส่องกล้องรักษา: เช่น การจี้ริดสีดวงทวารหนักด้วยเลเซอร์ การตัดติ่งเนื้อในลำไส้
-การปรับพฤติกรรม: เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่กลั้นอุจจาระ หลีกเลี่ยงความเครียด
.
การป้องกัน
-รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง: เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ป้องกันท้องผูก
-ดื่มน้ำมากๆ: อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายง่าย
-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
-ไม่กลั้นอุจจาระ: ควรฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา
-หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
-ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่: ตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
.
อาการถ่ายเป็นเลือดเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ อย่านิ่งนอนใจ ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

lovelovelove
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่