1
ครับ ผมนี่ล่ะครับผู้ชายขายตัว แต่อย่าไปบอกใครนะครับ ผมบอกแค่คุณคนเดียว และผมอยากจะเล่าเรื่องราวมากมายจากประสบการณ์ ซึ่งมีทั้งหวานและขมให้คุณฟัง
คุณอยากฟังไหม
มันคงต้องเริ่มต้นจากว่าทำไมผมถึงต้องทำ ทำในสิ่งที่สังคมรังเกียจ สังคมรังเกียจคนที่มีอาชีพสุจริตอย่างผม แต่ทีนักการเมืองโกงบ้านโกงเมือง ก็เห็นยกมือไหว้กันเป็นฝักถั่ว ไม่ยักกะมีใครรังเกียจ
สังคมไทยชอบคนรวย แต่งตัวโก้ มีรถหรูไงครับ
ผมถึงอยากเป็นคนรวย แต่งตัวโก้ ขี่รถหรูๆ กับเขาบ้าง แต่มันก็เป็นเพียงแค่ฝันเพราะงานประจำที่ผมทำอยู่ เงินเดือนแสนจะน้อยนิด จนป่านนี้ผมอายุเกือบจะสามสิบแล้ว ยังไม่มีเงินเก็บกับเขาเลย แล้วเมื่อไหร่ผมจะรวยกับเขาสักที ผมถึงได้คิดหาอาชีพเสริม
ตอนแรกก็ไม่คิดจะมาทำอะไรแบบนี้หรอก ไม่ได้อยากมีอาชีพเสริมด้วยการขายตัว ถ้าไม่เป็นเพราะวันหนึ่งที่ผมไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่เคยเจอกันมาเป็นปี ชื่อ ยศ
เพื่อนดูหล่อขึ้นกว่าเดิมมาก ผิวขาวขึ้น จมูกโด่งชนิดที่รู้ว่าไปทำศัลยกรรมมา จนทำให้หน้าตาเปลี่ยนไปจนจำเกือบไม่ได้ นอกจากหล่อขึ้นแล้ว ยศยังแต่งตัวดี มีรถราคาแพงขับโก้จนผมแปลกใจเพราะยศเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ เหมือนผม ฐานะครอบครัวก็ปานกลาง ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไร
“โห รถเท่มากเลย กี่ตังค์วะนี่”
ยศบอกราคาที่ทำให้ผมสะดุ้งแล้วหลุดปากถามออกไปว่า “ไปรวยอะไรมาวะ ถูกล็อตเตอรี่ ขายยาบ้าหรือเป็นหนูตกถังข้าวสาร”
เพื่อนหัวเราะ ไม่ตอบคำถามแล้วชวนผมไปเลี้ยงเบียร์
“มันอยู่ที่จังหวะและโอกาส” หลังจากหมดเบียร์ไปสองขวด ยศก็เริ่มจะบอกเล่าอะไรบางอย่างกับผม ซึ่งก่อนหน้านั้น เขาเลี่ยงไปคุยเรื่องสัพเพเหระ
ผมนิ่งมองหน้า รอให้ยศพูดต่อ
“โอกาสมันมี เพียงแต่เราจะเลือกคว้ามันไหม”
“สำหรับฉัน มองไม่เห็นโอกาสอะไรเลย ได้แต่ก้มหน้าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนไปวันๆ โอกาสก้าวหน้าก็ยังบอกไม่ได้”
“ก็ทำไมไม่ลาออกมาหางานใหม่ล่ะ”
“เศรษฐกิจแบบนี้ มีงานทำก็บุญแล้ว นายล่ะ ไปทำไรมาถึงได้มีเงินซื้อรถราคาหลักล้านแบบนี้” ผมตัดสินใจถามตรงๆ ต่างคนต่างก็กรึ่มๆ กันแล้ว
“เป็นออแกไนเซอร์จัดปาร์ตี้”
“จัดปาร์ตี้เนี่ยนะรวย จริงรึวะ ไม่ใช่ขายยาอีพ่วงไปด้วยนะ”
“เฮ้ย รับรอง ไม่มีเรื่องผิดกฎหมาย”
ผมยังคงมองหน้ายศ สีหน้าไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่
“เอางี้ คืนพรุ่งนี้นายว่างไหม จะชวนไปดูว่าฉันจัดปาร์ตี้แบบไหน ว่าแต่นายมีชุดเสื้อผ้าดีๆ ใส่หรือเปล่า งานโรงแรมหรูนะ”
“ก็พอมี แต่ไม่แน่ใจว่าจะหรูไหม ต้องใส่สูทหรือเปล่า ฉันไม่มีหรอกนะ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหาให้” แล้วยศก็ดึงผมให้ยืนขึ้นแล้วมองดูรูปร่างเพื่อกะขนาดเสื้อผ้า “นายสูงดีนะหุ่นดีใช้ได้เลย เข้าฟิตเนสบ้างหรือเปล่า” ถามพร้อมกับเอื้อมมือมาบีบกล้ามที่แขนผม
“เอาเงินที่ไหนไปเข้าฟิตเนส แค่จะกินยังไม่พอเลย แต่ก็มีออกกำลังบ้าง ไปเตะบอลกับพรรคพวกแถวบ้าน”
“ดี” แล้วยศก็มองผมอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งก่อนจะนัดหมายสำหรับปาร์ตี้คืนพรุ่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปโดยไม่ลืมแชร์ไลน์กับเบอร์มือถือ
ที่หน้าโรงแรมหรู ผมก้มลงมองตัวเองอีกครั้งว่าชุดที่ใส่มาวันนี้สุภาพเรียบร้อยไม่ซอมซ่อเกินไปจนยามไล่ไม่ให้เข้างาน
ยศออกมารับผมที่ล็อบบี้แล้วพาขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพักห้องนึง มีผู้ชายหลายคนกำลังแต่งตัวกันอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงพิกล ยศหยิบเสื้อสูทตัวหนึ่งออกมาจากถุงร้านซักแห้งให้ผมลองใส่ดูว่าพอดีตัวไหม ผมมองดูกระจก เห็นตัวเองใส่เสื้อสูทแล้วอดที่จะยิ้มอย่างพึงใจไม่ได้ว่าผมนี่ก็หล่อไม่เบา
“หิวไหม ทานอะไรมาหรือยัง” ยศถาม
“รองท้องมานิดหน่อยแล้ว” ผมตอบ นึกถึงอาหารในงานเลี้ยงค็อกเทลตามงานแต่งงานที่ผมเคยไปมา มันมีแต่ของว่างเป็นคำๆ ให้จิ้มเข้าปาก มันจะอิ่มตรงไหน ผมถึงต้องรองท้องก่อนมา
“เดี๋ยวเข้าไปในงานมีของกินเพียบ เครื่องดื่มไม่อั้น”
ยศพาผมเดินออกจากห้อง ผมอดที่จะหันไปมองหนุ่มๆ 5-6 คนที่ยังคงแต่งตัวอยู่ในห้องนั้นไม่ได้
พอพ้นมาแล้ว ผมถามขึ้นว่า
“คนพวกนั้นเป็นใครหรือ”
“ในห้องนั่นน่ะหรือ เด็กมาช่วยงาน” ยศตอบเลี่ยงๆ ไม่สบตา แล้วดึงผมให้ลงลิฟต์ไปที่งานปาร์ตี้
พอเดินเข้างาน ผมก็ต้องแปลกใจที่เกือบทั้งงานมีแต่ผู้หญิงเต็มไปหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่ผู้หญิง ไม่เหมือนงานแต่งงานที่ผมเคยไป น่าจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมสตรีอะไรสักอย่าง ผมนึก
ยศเดินเข้าไปสวัสดีคนนั้น ทักทายคนนี้ ดูเพื่อนผมออกจะกว้างขวางไม่น้อย และยศก็ไม่ลืมที่จะแนะนำผมไปด้วย
“นี่ นิว เพื่อนผมเอง” ยศแนะนำด้วยชื่อเล่นของผม เอาเถอะ คงไม่ต้องมีพิธีรีตองกันมากเพราะถึงแนะนำชื่อจริงไปคุณหญิงคุณนายไฮโซทั้งหลายในงานก็ใช่ว่าจะจำผมได้
ยศพาผมไปหย่อนไว้ที่มุมอาหารมุมหนึ่งของงาน พร้อมทั้งเรียกบริกรที่ถือถาดเครื่องดื่มให้แวะมา
“ไวน์ ไหม เหล้าก็มีนะ” ยศถามแต่หยิบแก้วไวน์ทรงสูงยื่นให้ผม เกิดมาผมก็เพิ่งเคยดื่มไวน์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผมรับมาจิบนิดหน่อยพอเป็นพิธี ถ้าจะให้ดื่มสนุก ผมขอเบียร์หรือเหล้าไทยๆ ดีกว่า คอมันคุ้นแบบนั้น
“กินให้อิ่มนะ เดี๋ยวฉันมา”
“จะให้ช่วยอะไรก็บอกนะ” ผมไม่ลืมว่าตัวเองไม่ใช่แขกในงานนี้ แต่มากับเพื่อนที่เป็นคนจัดงาน ผมน่าจะมีหน้าที่ช่วยเหลืออะไรบ้าง ไม่ใช่มากินมา
สนุกอย่างเดียว
“ช่วยทำตัวให้สนุกก็พอ”
ผมยิ้มรับ จู่ๆ ก็ได้มางานเลี้ยง มากินฟรีดื่มฟรีอย่างนี้ ก็ต้องกิน ต้องดื่มให้มันสะใจไปเลย
งานเลี้ยงค็อกเทลเป็นงานที่ผู้คนเดินสังสรรค์กันทั่วงาน ผมก็เดินมั่งกินมั่งสนุกกันไป มีผู้หญิงบางคนเดินผ่านแล้วส่งยิ้มให้ ผมอดจะสะดุดใจไม่ได้ ปกติผู้หญิงไม่แลหางตามองผมสักเท่าไหร่เพราะผมมันหน้าตาแสนจะธรรมดาไม่ได้หล่ออย่างเพื่อน แถมไม่มีรถขับโก้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะมองผม รึว่าเป็นเพราะเสื้อสูทตัวนี้ที่ทำให้คนใส่ดูมีสง่าราศีขึ้นมาบ้าง
“อาหารเขาอร่อยนะคะ” มีเสียงพูดดังขึ้นข้างๆ ผมหันไปมองคนพูดที่เป็นสาวสูงวัยคนหนึ่งในชุดราตรีงามวิจิตรและเครื่องเพชรแพรวพราวจนตาผมแทบพร่า ไม่แน่ใจว่าหล่อนพูดกับผมหรือไม่ ดวงตาคมที่ตกแต่งไว้อย่างประณีตจับจ้องที่ใบหน้าผมพร้อมรอยยิ้มให้ผมมั่นใจว่าหล่อนพูดกับผม
“เอ่อ ครับ อร่อย” ผมรีบตอบด้วยกิริยาสุภาพนอบน้อมกว่าปกติ ผมไม่เคยคุยกับคนระดับนี้มาก่อน
“ลองไปทางมุมโน้นซิคะ มีแฮมที่เขาปรุงพิเศษเลยนะคะ ไปลองชิมดู แล้วจะติดใจ” หล่อนชวนผม แล้วดึงมือผมให้เดินตามไป ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากออกเดินตามแรงจูงนั้นไป มือนุ่มนิ่มอบอุ่นนั้นกุมกระชับจนผมไม่กล้าดึงมือออก พอไปถึงซุ้มอาหาร หล่อนหยิบจานที่มีแฮมหั่นไว้แล้ว 2-3 ชิ้น มาให้ พร้อมทั้งเรียกบริกรเครื่องดื่มมา
“นอกจากอาหารอร่อยแล้ว ไวน์ที่เสิร์ฟในงานนี้ก็ชั้นเลิศด้วยนะคะ” หล่อนแนะนำ พร้อมกับส่งแก้วไวน์มาให้ผมจิบ ผมรับไปจิบพอเป็นพิธี เหล้าหลายแก้วที่ผมดื่มก่อนหน้านี้ กำลังจะตีกับไวน์ เดี๋ยวได้เมากลิ้งไปหรอก ผมบอกตัวเองแล้วคาดคะเนว่าผู้หญิงตรงหน้าคงจะเป็นเจ้าภาพของงานที่คอยมาดูแลแขก อยากจะบอกว่าผมไม่ใช่แขกหรอกครับ ก็พอดียศเดินมาหา
“สวัสดีครับพี่แก้ว” ยศยกมือไหว้ผู้หญิงที่ยืนข้างผม “เจอกันแล้วใช่ไหมครับ นี่เพื่อนผม นิว” ยศแนะนำ ผมจึงยกมือไหว้
“สูง หุ่นดีนะ” แก้วกล่าวยิ้มๆ พลางมองผมตลอดร่างด้วยแววตาบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจ แววตาเจ้าชู้โลมเลีย ? ไม่ใช่ละมั้ง ผมคงเริ่มเมาแล้วตาฝาด
ยศช่างคุย ช่วยนำพาบรรยากาศของคนแปลกหน้าตรงนั้นให้สนุกน่าสนใจ เหล้าบ้าง ไวน์บ้างถูกหยิบยื่นมาให้ผม เสียงดนตรีเร้าใจชวนให้ครึกครื้น ผมเดินไปทั่วงานอย่างมีความสุข ผู้หญิงรอบตัวล้วนแล้วแต่สวยๆ ทุกคน มันทำให้หัวใจหนุ่มฉกรรจ์ที่เปลี่ยวเหงารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยมางานปาร์ตี้อะไรที่แสนสนุกอิ่มอร่อยแบบนี้มาก่อน
แต่มันก็ชักจะดึก และผมก็เริ่มจะมึนๆ แล้ว ถ้าไม่ขอตัวกลับตอนนี้ ต้องหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่ๆ
“จะกลับแล้วหรือ” ยศถาม
“ชักมึนๆ แล้วว่ะ แต่ก็พอจะโหนรถเมล์กลับบ้านไหว ขี้เกียจเสียค่าแท็กซี่”
“ไหวแน่นะ”
“เออ ขอบใจนะที่ชวนมาสนุก” ผมยืนยันและไม่ลืมที่จะขอบใจเพื่อน
“เพื่อเพื่อน ได้อยู่แล้ว อ้อ ก่อนกลับ ช่วยเอาเสื้อสูทไปคืนที่ห้องหน่อยซิ จำห้องได้ใช่ไหม”
ผมก้มลงมองเสื้อที่เพื่อนให้ยืม จริงซิ เกือบลืมคืน
“ได้ ได้ เดี๋ยวเอาไปคืนให้ ห้องเบอร์อะไรนะ”
ยศบอกเบอร์ห้องแล้วโบกมือให้ “กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
“ขอบใจเพื่อน” ผมบอกแล้วเดินออกจากงานไปที่ด้านหนึ่งของล็อบบี้ มีลิฟต์ตั้งอยู่
“1508 1508” ผมท่องจำเบอร์ห้องไปตลอดทาง กลัวว่าสติครึ่งๆ กลางๆ ของผมตอนนี้จะทำให้ผมลืม “ชั้น 15 ห้องเบอร์ 8 ใช่ไหม” ผมซักซ้อมกับตัวเอง แล้วเดินไปหยุดหน้าห้องดังกล่าว ดึงคีย์การ์ดที่ยศจับใส่มือผมออกมาสอดเข้าที่ประตู แสงสีเขียวของมันเป็นสัญญาณเปิดผมกดก้านลูกบิดประตูแล้วผลักเข้าไป ภายในห้องมืดสนิททำให้ผมต้องคลำหาสวิทช์ไฟ
เมื่อไฟในห้องสว่างขึ้น ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้อง
ผู้ชายขายตัว (1 ) เรื่องสั้น โดย ดรัสวันต์
ครับ ผมนี่ล่ะครับผู้ชายขายตัว แต่อย่าไปบอกใครนะครับ ผมบอกแค่คุณคนเดียว และผมอยากจะเล่าเรื่องราวมากมายจากประสบการณ์ ซึ่งมีทั้งหวานและขมให้คุณฟัง
คุณอยากฟังไหม
มันคงต้องเริ่มต้นจากว่าทำไมผมถึงต้องทำ ทำในสิ่งที่สังคมรังเกียจ สังคมรังเกียจคนที่มีอาชีพสุจริตอย่างผม แต่ทีนักการเมืองโกงบ้านโกงเมือง ก็เห็นยกมือไหว้กันเป็นฝักถั่ว ไม่ยักกะมีใครรังเกียจ
สังคมไทยชอบคนรวย แต่งตัวโก้ มีรถหรูไงครับ
ผมถึงอยากเป็นคนรวย แต่งตัวโก้ ขี่รถหรูๆ กับเขาบ้าง แต่มันก็เป็นเพียงแค่ฝันเพราะงานประจำที่ผมทำอยู่ เงินเดือนแสนจะน้อยนิด จนป่านนี้ผมอายุเกือบจะสามสิบแล้ว ยังไม่มีเงินเก็บกับเขาเลย แล้วเมื่อไหร่ผมจะรวยกับเขาสักที ผมถึงได้คิดหาอาชีพเสริม
ตอนแรกก็ไม่คิดจะมาทำอะไรแบบนี้หรอก ไม่ได้อยากมีอาชีพเสริมด้วยการขายตัว ถ้าไม่เป็นเพราะวันหนึ่งที่ผมไปเจอเพื่อนเก่าที่ไม่เคยเจอกันมาเป็นปี ชื่อ ยศ
เพื่อนดูหล่อขึ้นกว่าเดิมมาก ผิวขาวขึ้น จมูกโด่งชนิดที่รู้ว่าไปทำศัลยกรรมมา จนทำให้หน้าตาเปลี่ยนไปจนจำเกือบไม่ได้ นอกจากหล่อขึ้นแล้ว ยศยังแต่งตัวดี มีรถราคาแพงขับโก้จนผมแปลกใจเพราะยศเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ เหมือนผม ฐานะครอบครัวก็ปานกลาง ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไร
“โห รถเท่มากเลย กี่ตังค์วะนี่”
ยศบอกราคาที่ทำให้ผมสะดุ้งแล้วหลุดปากถามออกไปว่า “ไปรวยอะไรมาวะ ถูกล็อตเตอรี่ ขายยาบ้าหรือเป็นหนูตกถังข้าวสาร”
เพื่อนหัวเราะ ไม่ตอบคำถามแล้วชวนผมไปเลี้ยงเบียร์
“มันอยู่ที่จังหวะและโอกาส” หลังจากหมดเบียร์ไปสองขวด ยศก็เริ่มจะบอกเล่าอะไรบางอย่างกับผม ซึ่งก่อนหน้านั้น เขาเลี่ยงไปคุยเรื่องสัพเพเหระ
ผมนิ่งมองหน้า รอให้ยศพูดต่อ
“โอกาสมันมี เพียงแต่เราจะเลือกคว้ามันไหม”
“สำหรับฉัน มองไม่เห็นโอกาสอะไรเลย ได้แต่ก้มหน้าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนไปวันๆ โอกาสก้าวหน้าก็ยังบอกไม่ได้”
“ก็ทำไมไม่ลาออกมาหางานใหม่ล่ะ”
“เศรษฐกิจแบบนี้ มีงานทำก็บุญแล้ว นายล่ะ ไปทำไรมาถึงได้มีเงินซื้อรถราคาหลักล้านแบบนี้” ผมตัดสินใจถามตรงๆ ต่างคนต่างก็กรึ่มๆ กันแล้ว
“เป็นออแกไนเซอร์จัดปาร์ตี้”
“จัดปาร์ตี้เนี่ยนะรวย จริงรึวะ ไม่ใช่ขายยาอีพ่วงไปด้วยนะ”
“เฮ้ย รับรอง ไม่มีเรื่องผิดกฎหมาย”
ผมยังคงมองหน้ายศ สีหน้าไม่เชื่อถือสักเท่าไหร่
“เอางี้ คืนพรุ่งนี้นายว่างไหม จะชวนไปดูว่าฉันจัดปาร์ตี้แบบไหน ว่าแต่นายมีชุดเสื้อผ้าดีๆ ใส่หรือเปล่า งานโรงแรมหรูนะ”
“ก็พอมี แต่ไม่แน่ใจว่าจะหรูไหม ต้องใส่สูทหรือเปล่า ฉันไม่มีหรอกนะ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหาให้” แล้วยศก็ดึงผมให้ยืนขึ้นแล้วมองดูรูปร่างเพื่อกะขนาดเสื้อผ้า “นายสูงดีนะหุ่นดีใช้ได้เลย เข้าฟิตเนสบ้างหรือเปล่า” ถามพร้อมกับเอื้อมมือมาบีบกล้ามที่แขนผม
“เอาเงินที่ไหนไปเข้าฟิตเนส แค่จะกินยังไม่พอเลย แต่ก็มีออกกำลังบ้าง ไปเตะบอลกับพรรคพวกแถวบ้าน”
“ดี” แล้วยศก็มองผมอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้งก่อนจะนัดหมายสำหรับปาร์ตี้คืนพรุ่งนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปโดยไม่ลืมแชร์ไลน์กับเบอร์มือถือ
ที่หน้าโรงแรมหรู ผมก้มลงมองตัวเองอีกครั้งว่าชุดที่ใส่มาวันนี้สุภาพเรียบร้อยไม่ซอมซ่อเกินไปจนยามไล่ไม่ให้เข้างาน
ยศออกมารับผมที่ล็อบบี้แล้วพาขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องพักห้องนึง มีผู้ชายหลายคนกำลังแต่งตัวกันอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงพิกล ยศหยิบเสื้อสูทตัวหนึ่งออกมาจากถุงร้านซักแห้งให้ผมลองใส่ดูว่าพอดีตัวไหม ผมมองดูกระจก เห็นตัวเองใส่เสื้อสูทแล้วอดที่จะยิ้มอย่างพึงใจไม่ได้ว่าผมนี่ก็หล่อไม่เบา
“หิวไหม ทานอะไรมาหรือยัง” ยศถาม
“รองท้องมานิดหน่อยแล้ว” ผมตอบ นึกถึงอาหารในงานเลี้ยงค็อกเทลตามงานแต่งงานที่ผมเคยไปมา มันมีแต่ของว่างเป็นคำๆ ให้จิ้มเข้าปาก มันจะอิ่มตรงไหน ผมถึงต้องรองท้องก่อนมา
“เดี๋ยวเข้าไปในงานมีของกินเพียบ เครื่องดื่มไม่อั้น”
ยศพาผมเดินออกจากห้อง ผมอดที่จะหันไปมองหนุ่มๆ 5-6 คนที่ยังคงแต่งตัวอยู่ในห้องนั้นไม่ได้
พอพ้นมาแล้ว ผมถามขึ้นว่า
“คนพวกนั้นเป็นใครหรือ”
“ในห้องนั่นน่ะหรือ เด็กมาช่วยงาน” ยศตอบเลี่ยงๆ ไม่สบตา แล้วดึงผมให้ลงลิฟต์ไปที่งานปาร์ตี้
พอเดินเข้างาน ผมก็ต้องแปลกใจที่เกือบทั้งงานมีแต่ผู้หญิงเต็มไปหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่ผู้หญิง ไม่เหมือนงานแต่งงานที่ผมเคยไป น่าจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมสตรีอะไรสักอย่าง ผมนึก
ยศเดินเข้าไปสวัสดีคนนั้น ทักทายคนนี้ ดูเพื่อนผมออกจะกว้างขวางไม่น้อย และยศก็ไม่ลืมที่จะแนะนำผมไปด้วย
“นี่ นิว เพื่อนผมเอง” ยศแนะนำด้วยชื่อเล่นของผม เอาเถอะ คงไม่ต้องมีพิธีรีตองกันมากเพราะถึงแนะนำชื่อจริงไปคุณหญิงคุณนายไฮโซทั้งหลายในงานก็ใช่ว่าจะจำผมได้
ยศพาผมไปหย่อนไว้ที่มุมอาหารมุมหนึ่งของงาน พร้อมทั้งเรียกบริกรที่ถือถาดเครื่องดื่มให้แวะมา
“ไวน์ ไหม เหล้าก็มีนะ” ยศถามแต่หยิบแก้วไวน์ทรงสูงยื่นให้ผม เกิดมาผมก็เพิ่งเคยดื่มไวน์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผมรับมาจิบนิดหน่อยพอเป็นพิธี ถ้าจะให้ดื่มสนุก ผมขอเบียร์หรือเหล้าไทยๆ ดีกว่า คอมันคุ้นแบบนั้น
“กินให้อิ่มนะ เดี๋ยวฉันมา”
“จะให้ช่วยอะไรก็บอกนะ” ผมไม่ลืมว่าตัวเองไม่ใช่แขกในงานนี้ แต่มากับเพื่อนที่เป็นคนจัดงาน ผมน่าจะมีหน้าที่ช่วยเหลืออะไรบ้าง ไม่ใช่มากินมา
สนุกอย่างเดียว
“ช่วยทำตัวให้สนุกก็พอ”
ผมยิ้มรับ จู่ๆ ก็ได้มางานเลี้ยง มากินฟรีดื่มฟรีอย่างนี้ ก็ต้องกิน ต้องดื่มให้มันสะใจไปเลย
งานเลี้ยงค็อกเทลเป็นงานที่ผู้คนเดินสังสรรค์กันทั่วงาน ผมก็เดินมั่งกินมั่งสนุกกันไป มีผู้หญิงบางคนเดินผ่านแล้วส่งยิ้มให้ ผมอดจะสะดุดใจไม่ได้ ปกติผู้หญิงไม่แลหางตามองผมสักเท่าไหร่เพราะผมมันหน้าตาแสนจะธรรมดาไม่ได้หล่ออย่างเพื่อน แถมไม่มีรถขับโก้ ผู้หญิงที่ไหนเขาจะมองผม รึว่าเป็นเพราะเสื้อสูทตัวนี้ที่ทำให้คนใส่ดูมีสง่าราศีขึ้นมาบ้าง
“อาหารเขาอร่อยนะคะ” มีเสียงพูดดังขึ้นข้างๆ ผมหันไปมองคนพูดที่เป็นสาวสูงวัยคนหนึ่งในชุดราตรีงามวิจิตรและเครื่องเพชรแพรวพราวจนตาผมแทบพร่า ไม่แน่ใจว่าหล่อนพูดกับผมหรือไม่ ดวงตาคมที่ตกแต่งไว้อย่างประณีตจับจ้องที่ใบหน้าผมพร้อมรอยยิ้มให้ผมมั่นใจว่าหล่อนพูดกับผม
“เอ่อ ครับ อร่อย” ผมรีบตอบด้วยกิริยาสุภาพนอบน้อมกว่าปกติ ผมไม่เคยคุยกับคนระดับนี้มาก่อน
“ลองไปทางมุมโน้นซิคะ มีแฮมที่เขาปรุงพิเศษเลยนะคะ ไปลองชิมดู แล้วจะติดใจ” หล่อนชวนผม แล้วดึงมือผมให้เดินตามไป ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากออกเดินตามแรงจูงนั้นไป มือนุ่มนิ่มอบอุ่นนั้นกุมกระชับจนผมไม่กล้าดึงมือออก พอไปถึงซุ้มอาหาร หล่อนหยิบจานที่มีแฮมหั่นไว้แล้ว 2-3 ชิ้น มาให้ พร้อมทั้งเรียกบริกรเครื่องดื่มมา
“นอกจากอาหารอร่อยแล้ว ไวน์ที่เสิร์ฟในงานนี้ก็ชั้นเลิศด้วยนะคะ” หล่อนแนะนำ พร้อมกับส่งแก้วไวน์มาให้ผมจิบ ผมรับไปจิบพอเป็นพิธี เหล้าหลายแก้วที่ผมดื่มก่อนหน้านี้ กำลังจะตีกับไวน์ เดี๋ยวได้เมากลิ้งไปหรอก ผมบอกตัวเองแล้วคาดคะเนว่าผู้หญิงตรงหน้าคงจะเป็นเจ้าภาพของงานที่คอยมาดูแลแขก อยากจะบอกว่าผมไม่ใช่แขกหรอกครับ ก็พอดียศเดินมาหา
“สวัสดีครับพี่แก้ว” ยศยกมือไหว้ผู้หญิงที่ยืนข้างผม “เจอกันแล้วใช่ไหมครับ นี่เพื่อนผม นิว” ยศแนะนำ ผมจึงยกมือไหว้
“สูง หุ่นดีนะ” แก้วกล่าวยิ้มๆ พลางมองผมตลอดร่างด้วยแววตาบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจ แววตาเจ้าชู้โลมเลีย ? ไม่ใช่ละมั้ง ผมคงเริ่มเมาแล้วตาฝาด
ยศช่างคุย ช่วยนำพาบรรยากาศของคนแปลกหน้าตรงนั้นให้สนุกน่าสนใจ เหล้าบ้าง ไวน์บ้างถูกหยิบยื่นมาให้ผม เสียงดนตรีเร้าใจชวนให้ครึกครื้น ผมเดินไปทั่วงานอย่างมีความสุข ผู้หญิงรอบตัวล้วนแล้วแต่สวยๆ ทุกคน มันทำให้หัวใจหนุ่มฉกรรจ์ที่เปลี่ยวเหงารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยมางานปาร์ตี้อะไรที่แสนสนุกอิ่มอร่อยแบบนี้มาก่อน
แต่มันก็ชักจะดึก และผมก็เริ่มจะมึนๆ แล้ว ถ้าไม่ขอตัวกลับตอนนี้ ต้องหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่ๆ
“จะกลับแล้วหรือ” ยศถาม
“ชักมึนๆ แล้วว่ะ แต่ก็พอจะโหนรถเมล์กลับบ้านไหว ขี้เกียจเสียค่าแท็กซี่”
“ไหวแน่นะ”
“เออ ขอบใจนะที่ชวนมาสนุก” ผมยืนยันและไม่ลืมที่จะขอบใจเพื่อน
“เพื่อเพื่อน ได้อยู่แล้ว อ้อ ก่อนกลับ ช่วยเอาเสื้อสูทไปคืนที่ห้องหน่อยซิ จำห้องได้ใช่ไหม”
ผมก้มลงมองเสื้อที่เพื่อนให้ยืม จริงซิ เกือบลืมคืน
“ได้ ได้ เดี๋ยวเอาไปคืนให้ ห้องเบอร์อะไรนะ”
ยศบอกเบอร์ห้องแล้วโบกมือให้ “กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
“ขอบใจเพื่อน” ผมบอกแล้วเดินออกจากงานไปที่ด้านหนึ่งของล็อบบี้ มีลิฟต์ตั้งอยู่
“1508 1508” ผมท่องจำเบอร์ห้องไปตลอดทาง กลัวว่าสติครึ่งๆ กลางๆ ของผมตอนนี้จะทำให้ผมลืม “ชั้น 15 ห้องเบอร์ 8 ใช่ไหม” ผมซักซ้อมกับตัวเอง แล้วเดินไปหยุดหน้าห้องดังกล่าว ดึงคีย์การ์ดที่ยศจับใส่มือผมออกมาสอดเข้าที่ประตู แสงสีเขียวของมันเป็นสัญญาณเปิดผมกดก้านลูกบิดประตูแล้วผลักเข้าไป ภายในห้องมืดสนิททำให้ผมต้องคลำหาสวิทช์ไฟ
เมื่อไฟในห้องสว่างขึ้น ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ภายในห้อง