[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Credit Hohenzollern Bridge, CheckTour Magazine
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนแรก https://ppantip.com/topic/36710604
ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/36726785
บทนี้ได้ย้ายเมืองมาอยู่โคโลญจน์ ริมน้ำไรน์ตามหลักของเรื่องแล้วค่ะ ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่มาลงชื่อไว้ และท่านที่ได้อ่านอาจะแสดงตัวในภายหน้าค่ะ
แก้วกรกช หลงรัก , สมาชิกหมาเลข 2196200 ถูกใจ ,Memories pink ถูกใจ, ส่องแสงตะวันฉาย ถูกใจ, เปรียว sixtyone ถูกใจ, turtle_cheesecake หลงรัก, บัวนลิน ถูกใจ, ครูเปี๊ยก ถูกใจ, GTW ทึ่ง, เปลวอัคคี หลงรัก, Lady Star 919 หลงรัก, ชุนเทียน หลงรัก, Na(นะ) ถูกใจ, มัศยวีร์ หลงรัก,WANG JAEหลงรัก
✨✨
วันนัดนั่งทอดสายตาผ่านกระจกหน้าต่างออกไปอย่างเหม่อลอย นานๆครั้งที่เขาจะนั่งปล่อยอารมณ์ให้ลอยกระเจิดกระเจิงไปตามความคิดคำนึง ในเสี้ยวแห่งความนึกคิดก็มานึกได้ว่าเขาควรจะไปเยี่ยมหล่อนอีกสักที เจ้าของร่างเล็กๆที่เขาเองก็ทำเหมือนจะลืมๆหล่อนเสียแล้ว เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามทำอย่างที่แล้วๆมา เพราะเขาเริ่มเหงา อย่างชัยยศเคยเอ่ยปากหรือ อูริเก้ หล่อนทำให้เขาเหงา วันนัดคิดว่าหล่อนทำให้เขาขาดในสิ่งที่เคยมี หนึ่งปีเต็มๆที่เขามีหล่อนเป็นเพื่อน อย่างน้อยหล่อนก็ช่วยให้เขาได้ประสบการณ์หลายๆอย่างจากความแตกต่างในเชื้อชาติ สังคม และนิสัยประจำชาติ หล่อนผ่านมาเพื่อเพียงจะผ่านไปเท่านั้น มันเท่านั้นจริงๆหรือเขาแสดงอะไรว่ามันเหลือรอยมากกว่านั้น มิน่าชัยยศจึงหาว่าเขาเหงา หรือ เพราะโทรศัพท์คืนนั้น ชัยยศไม่ได้ยินนี่นะ ชัยยศหมายความถึงใครกันนี่ อูริเก้ หรือหล่อน ศิรินทร์
แปดโมงเช้าวันนัดคว้ากล้องและกุญแจรถได้ก็รีบมาที่ห้องชัยยศ ไม่ทันจะเคาะ ชัยยศก็โผล่ออกมาเสียก่อน พอเห็นเสื้อลายแถบขาวแดงที่ชัยยศสวมอยู่ วันนัดก็อดจะทักไม่ได้
“ หน้านี้เขาไม่แข่งบอลไม่ใช่หรือ”
“ อ๊ะ..อ๊ะ..ตัวใหม่นะนี่ สีมันช่วยให้ร้อนๆหน่อย ไม่เดี๋ยวหิมะจับตาย”
“ ไปกันเถอะเดี๋ยวเจอหิมะจริงๆจะช้ากันใหญ่” วันนัดกล่าว
วันนัดขับรถด้วยความเร็วปานกลางบนออโตบาห์นไม่มีหิมะมากเหมือนในเมือง ไม่ช้าไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมาย
ศิรินทร์ลุกพรวดพราดมาเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงออด
“ สวัสดีครับ” ชํยยศเอ่ยนำ
“ สวัสดีค่ะ” หล่อนทักทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มสดใส เปิดประตูกว้างให้ทั้งสองก้าวเข้ามาและนั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว
“ ศิไม่นึกว่าจะมาได้เร็วขนาดนี้ ไม่เจอหิมะเลยหรือคะ ที่ถนนนะค่ะ”
“ ไม่มีครับคงจะละลายไปหมดและตกไม่ค่อยมาก ไม่เหมือนที่นี่ แยะเชียวนะครับ” ชัยยศตอบ
“ ศิชอบค่ะ เมื่อกี้ลงไปดูมารอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ไปดูทุกวัน ดูว่าตกเท่าไร เมื่อคืนตอนคุณชัยยศโทรมาก็กำลังตกค่ะ แต่ไม่นาน” หล่อนปรายตามองวันนัดซึ่งได้แต่ยิ้ม
“ คุณวันนัดขับรถเหนื่อยหรือคะ ไม่เห็นพูดเลย”
“ วันนี้ผมเป็นฝ่ายภาพครับ” เอามือตบกล้องให้ดู
“ เขาว่าผมเป็นฝ่ายพูดน่ะครับ”
ศิรินทร์นึกขำอารมณ์ขันของเขา ทำให้บรรยากาศเป็นกันเองและสนุกเสมอ
“ คุณศิรินทร์ครับ ผมจะมาชวนคุณไปงานวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่สถานทูตครับ ที่บอนน์ ( Bad Godesberg)“ ชัยยศเอ่ยปากขึ้นมา
“ ไกลใช่ไหมคะ ศิจะไปได้อย่างไร กลับไม่ทันหรอกค่ะ”
“ ก็ไปกันตั้งสามคน ไม่เห็นน่ากลัวอะไรนี่ครับ แล้วถ้าคุณศิรินทร์ไม่รังเกียจอะไร ผมติดต่อหาที่นอนกับเพื่อนที่บอนน์ให้แล้วครับ”
หล่อนหันไปมองวันนัดราวกับจะขอความเห็น
“ ไปพบคนไทย กินข้าวไทยๆ อาจจะหายเหงานะครับ” วันนัดพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ ที่จริงเอาขนมมาเผื่อศิสักอย่างก็ได้นี่คะ แต่เดี๋ยวเราไปเดินเที่ยวกันดีกว่านะคะ แล้วศิให้คำตอบทีหลัง”
“ ใช่ครับ ผมชวนเร็วไป ยังไม่ได้ให้เวลาคิดเลย” ชัยยศเห็นคล้อยด้วยพลางลุกนำไปเปิดประตูให้ทั้งสอง พูดเบาๆขณะวันนัดเดินผ่านว่า
“ อีกหน่อยผมคงนับต้นไม้ครบทุกต้นละซีน่า”
ศิรินทร์นั่งเก้าอี้เอามือพาดขอบหน้าต่าง วางคางบนหลังมือเพ่งออกไปนอกกระจกจนปลายจมูกเย็นเพราะชนกระจกหน้าต่างนั้น แต่หล่อนก็ยังนั่งเหมือนไม่รู้สึกหนาวเย็น หล่อนนึกย้อนไปย้อนมาทบทวนอย่างไม่แน่ใจตนเอง หล่อนน่าจะได้ไปสนุกที่งานเฉลิมที่บอนน์แล้ว ถ้าไม่ใช่การตัดสินใจอย่างฉับพลันของหล่อน เมื่อหล่อนบอกว่าหล่อนยังไม่พร้อมที่จะไปไกลๆอย่างนั้น ดูรู้สึกว่าทั้งชัยยศและวันนัดออกจะผิดหวัง หล่อนเองก็อยากจะตอบเหมือนใจนึก แต่หล่อนกลัวใจตนเอง ที่จะควบคุมไม่ได้ แล้วหล่อนจะเปลี่ยนไป ศิรินทร์รู้ตัวเองว่าจิตใจของหล่อนไม่อยู่ในสภาพที่ควบคุมได้ในบางเวลา หล่อนกลัวเวลานั้นเสียจริงๆและเดี๋ยวนี้หล่อนก็ไม่อยากให้ความรวดเร็วมาพาไป บางครั้งศิรินทร์อยากให้รอยโค้งต่อนี้เปลี่ยนสภาพไปจากทุกๆวัน เพื่อหล่อนจะได้รู้บางสิ่งบางอย่างให้มากกว่านี้ อีกเพียงเดือนเดียวหล่อนก็จะได้ ..... ต้องไปจากเมืองนี้ เมืองอันเงียบสงบ ที่ทำให้หล่อนรู้จักแต่ความเหงามากกว่าสิ่งอื่น มากกว่าผู้คนและประเทศนี้ หล่อนรู้สึกใจหายบ้าง แต่ก็คิดว่าคงเป็นธรรมดาสำหรับการงาน ชีวิตคนต้องโลดแล่นไปมากกว่านี้ และคงจะไปไกลกว่านี้ หล่อนนึกอย่างพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง
ศิรินทร์อยากให้หกเดือนเรียนภาษานี้จบเร็วๆ เพื่อหล่อนจะได้หาโรงเรียนเข้าเรียนเสียที หล่อนกลับได้รับแจ้งจากสำนักดูแลนักเรียนไทยว่า หล่อนจะต้องฝึกงานตามสาขาที่จะต้องเรียนอีกหนึ่งปี ซึ่งเท่ากับว่าหล่อนมีเวลาตัดสินใจว่าจะเรียนในแขนงที่ฝึกงานจริงๆเมื่อจบเวลาทดลองงาน หล่อนขอภาวนาว่าเมืองที่หล่อนจะได้รับแจ้งแน่นอนนั้นได้เพื่อนสักคน เพื่อนผู้หญิงที่หล่อนจะได้สนุกสนาน สมวัยอันที่ควรจะเป็น...
และแล้ววันที่ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้ก็มาถึง วันที่ศิรินทร์ออกจะตื่นเต้นผสมใจหาย จะไม่ให้ใจหายได้อย่างไร คำพูดแรกของวันนี้ที่แม่บ้านพูดกับหล่อน ว่า เราพบเพื่อจาก ศิรินทร์น้ำตาตื้นคลอตาจนต้องรีบกรีดออก บรรยากาศเศร้าๆได้เริ่มขึ้นแล้วจริงๆ หล่อนไม่นึกว่าความรู้สึกจะมากมายขนาดนี้พอสายหน่อยศิรินทร์ก็เก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางได้หมด แถมถุงหิ้วใบใหญ่ๆอีกหนึ่งใบ ศิรินทร์บอกลาแอนนี่เพื่อนร่วมห้องตั้งแต่เมื่อคืน ดูจะเป็นธรรมเนียมมากกว่า เช้านี้แอนนี่มีส่วนช่วยรวบรวมของมากองรวมกันไว้ ของใช้ส่วนตัวของศิรินทร์ดูจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม หล่อนเก็บเสร็จพอดีกับออดประตูดังขึ้น ชัยยศกับวันนัดมาตรงเวลา เขาจะช่วยไปส่งหล่อนที่รถไฟทั้งๆที่อยากจะไปส่งให้ถึงเมืองนั้น แต่หล่อนคัดค้านเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ หล่อนกลัวว่าเขาจะกลับมาไม่ทัน และหล่อนอยากจะเดินทางคนเดียว หล่อนไม่ได้หวาดกลัวอะไร เพราะหล่อนชักมั่นใจในภาษาที่หล่อนพร้อมที่จะเอ่ยปากถามใครก็ได้แล้ว หอพักของหล่อนทางสำนักงานก็จัดการให้เรียบร้อย ชัยยศและวันนัดมาพบหล่อนอีกครั้งหนึ่งก่อนจะถึงวันนี้ ศิรินทร์ใจคอเหี่ยวแห้งจนไม่สามารถจะคุยอะไรได้ หล่อนนั่งเงียบมาตลอดทางและดูเหมือนทุกคนเข้าใจในบรรยากาศจนถึงสถานีรถไฟ ทั้งคู่ช่วยกันหอบสัมภาระ ศิรินทร์รีบซื้อตั๋วตรวจสอบเวลารถออก แล้วจึงพากันไปดื่มกาแฟฆ่าเวลาและขนมเบาๆอีกคนละชิ้นแทนอาหารเช้า ซึ่งต่างก็ไม่ได้กินมาและไม่รู้สึกหิว ศิรินทร์ไม่กล้าสบตาใครนัก เพราะกลัวความไม่เข้มแข็งจะปรากฏ แต่หล่อนก็รู้ว่าหล่อนถูกมองด้วยสายตาสองคู่นั้นบ่อยครั้ง สายตาแต่ละคู่คงไม่เหมือนกัน แต่หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะคิดและเหลือบมอง
ชัยยศเอ่ยท่ามกลางความเงียบว่า
“ ที่จริงเราน่าจะไปส่งคุณศิรินทร์ให้ถึงที่นะนัดนะ ติดว่าคุณศิรินทร์ห้ามเสียจริง”
“ แค่นี้ก็เป็นบุญคุณแย่แล้วค่ะ แล้วคุณทั้งสองจะกลับมาไม่ทันด้วย ตั้งไกล ศิจะโทรมารายงานตัวถ้าถึงเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“ คุณศิรินทร์คงไม่ลืมอะไรนะครับ” ชัยยศถาม
“ คงไม่ลืมค่ะ ทั้งคนด้วย”
“ พูดให้ดีใจงั้นแหละ” ชัยยศช่วยสร้างบรรยากาศใหม่
“ ศิพูดจริงๆนะคะ อย่างไรคุณทั้งสองก็เป็นคนไทยที่ศิไม่มีวันลืมพร้อมๆกัน” หล่อนทำตาปรอย
หล่อนมองนาฬิกาเมื่อคิดว่าได้เวลา หล่อนกลัวตกรถ อยากจะให้ความรู้สึกขณะนี้ผ่านไปเสียเร็วๆ มันทรมานความรู้สึกสิ้นดี เมื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็พากันมาที่ตู้รถไฟวางของเสร็จสรรพ ศิรินทร์ก็พนมมือไหว้ทั้งสองด้วยความตื้นตันในน้ำใจของเขาจริงๆ และแล้วเมื่อได้เวลารถไฟก็เริ่มเคลื่อน ศิรินทร์กล่าวต่อคนทั้งสองที่ยืนส่งที่ประตูรถอย่างเงียบๆว่า
“ ศิพูดไม่ออกว่าเป็นอย่างไร แล้วศิจะเขียนเล่ามา เขียนมาจริงๆ ศิลาก่อน” หล่อนก้มหน้าพูดเสียแล้ว รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ มีมือเท่านั้นที่ยกโบกไหวๆ เมื่อเงยหน้าอีกครั้งน้ำตาก็บดบังภาพสายตาทั้งสองคู่จนเลือนรางไปหมด เห็นภาพคนทั้งสองห่างไกลไปทุกที ลาก่อน Blaubeuren….
สถานีโคโลญจน์ ( Köln) รถไฟมาถึงตรงต่อเวลา ศิรินทร์ไม่ได้นั่งอย่างเพลิดเพลิน หล่อนรู้สึกออกจะเคร่งเครียดด้วยซ้ำไปตลอดเวลาที่อยู่ในรถไฟ นึกถึงที่อยู่ใหม่หล่อนก็วาดภาพไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร หล่อนรู้แต่ว่าเป็นเมืองสวยอยู่กลางประเทศ ใกล้เมืองบอนน์ มีแม่น้ำไรน์ (Rhein)ไหลผ่าน เมื่อรถไฟจอดสนิทนิ่งหล่อนก็ยกถุงที่อยู่บนชั้นวางเหนือศีรษะลงมา ลากกระเป๋าที่วางอยู่ใกล้เท้าเตรียมออกจากตู้โดยสาร ที่มีคนทยอยออกมาเรื่อยๆ กระเป๋าอันหนักอึ้งที่ชัยยศยกขึ้นรถไฟมาให้นี่มันหนักเอาการทีเดียว หล่อนได้สุภาพบุรุษวัยกลางคนช่วยยกลงจากรถไฟมาวางที่พื้นชานชาลาให้ หล่อนกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มอย่างจงใจซึ่งก็ได้รับตอบด้วยแววตายินดี เมื่อลากกระเป๋าออกมาจากบริเวณสถานีก็มารอที่ป้ายเรียกแท็กซี่ หล่อนเอาที่อยู่ของหอพักมาดู และจำชื่อเพื่อบอกกับแท็กชี่ ไม่นานแท็กซี่ก็มาจอดพร้อมยกกระเป๋าของหล่อนขึ้นใส่ท้ายรถ ที่หล่อนมองอยู่และเห็นว่าเป็นรถยี่ห้อดาวสามแฉก เมอร์เซเดส นั่นเอง เมื่อหล่อนขึ้นไปนั่งพร้อมบอกชื่อถนนและเลขที่บ้าน แท็กซี่ก็ขับไปในทันที
แท็กซี่ขับวนที่ตึกขนาดใหญ่ห้าชั้นที่มีอยู่สามหลัง ตั้งเยื้องแนวกันอยู่ และแท็กซี่ก็มาจอดที่ตึกกลาง บอกว่าที่นี่แหละ หล่อนจ่ายเงินไปสำหรับค่าเดินทางราวยี่สิบนาทีจากสถานีรถไฟ เมื่อแท็กชี่ยกกระเป๋าออกจากท้ายรถให้แล้ว หล่อนก็หยุดกวาดสายตามองไปรอบๆ อาคารที่ซีกหนึ่งเป็นห้องพักสีเทามีระเบียงเป็นแนวยาว อีกซีกหนึ่งเป็นผนังสีปูนมีช่องหน้าต่างห่างเป็นระยะ คงเป็นครัวเพราะหน้าต่างเป็นแบบเปิดได้ทุกทิศทางยกแง้ม ตึกดูสะอาดและไม่เก่า ที่บริเวณที่หล่อนยืนเป็นบริเวณที่จอดรถได้สักสามสิบคันระหว่างความห่างสองตึกนี้ ประตูกระจกแข็งแรงที่หล่อนก้าวเดินผลักเข้ามาอบอุ่น เข้ามาอีกประตูหนึ่งพบข้างหน้าเป็นห้องที่มีกระจกและมีโทรศัพท์อยู่หลายเครื่อง และมีลิฟท์อยู่กลางตึกเพื่อว่าจะใช้สำหรับผู้อยู่ทั้งสองปีกของตึก
(มีต่อ)
🌜🌙⭐️หอรักริมไรน์ ชีวิตนักเรียนไทยในเยอรมัน (อยู่เมืองฝรั่ง) 3⭐️🌙🌛
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทนี้ได้ย้ายเมืองมาอยู่โคโลญจน์ ริมน้ำไรน์ตามหลักของเรื่องแล้วค่ะ ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่มาลงชื่อไว้ และท่านที่ได้อ่านอาจะแสดงตัวในภายหน้าค่ะ
แก้วกรกช หลงรัก , สมาชิกหมาเลข 2196200 ถูกใจ ,Memories pink ถูกใจ, ส่องแสงตะวันฉาย ถูกใจ, เปรียว sixtyone ถูกใจ, turtle_cheesecake หลงรัก, บัวนลิน ถูกใจ, ครูเปี๊ยก ถูกใจ, GTW ทึ่ง, เปลวอัคคี หลงรัก, Lady Star 919 หลงรัก, ชุนเทียน หลงรัก, Na(นะ) ถูกใจ, มัศยวีร์ หลงรัก,WANG JAEหลงรัก
✨✨
วันนัดนั่งทอดสายตาผ่านกระจกหน้าต่างออกไปอย่างเหม่อลอย นานๆครั้งที่เขาจะนั่งปล่อยอารมณ์ให้ลอยกระเจิดกระเจิงไปตามความคิดคำนึง ในเสี้ยวแห่งความนึกคิดก็มานึกได้ว่าเขาควรจะไปเยี่ยมหล่อนอีกสักที เจ้าของร่างเล็กๆที่เขาเองก็ทำเหมือนจะลืมๆหล่อนเสียแล้ว เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามทำอย่างที่แล้วๆมา เพราะเขาเริ่มเหงา อย่างชัยยศเคยเอ่ยปากหรือ อูริเก้ หล่อนทำให้เขาเหงา วันนัดคิดว่าหล่อนทำให้เขาขาดในสิ่งที่เคยมี หนึ่งปีเต็มๆที่เขามีหล่อนเป็นเพื่อน อย่างน้อยหล่อนก็ช่วยให้เขาได้ประสบการณ์หลายๆอย่างจากความแตกต่างในเชื้อชาติ สังคม และนิสัยประจำชาติ หล่อนผ่านมาเพื่อเพียงจะผ่านไปเท่านั้น มันเท่านั้นจริงๆหรือเขาแสดงอะไรว่ามันเหลือรอยมากกว่านั้น มิน่าชัยยศจึงหาว่าเขาเหงา หรือ เพราะโทรศัพท์คืนนั้น ชัยยศไม่ได้ยินนี่นะ ชัยยศหมายความถึงใครกันนี่ อูริเก้ หรือหล่อน ศิรินทร์
แปดโมงเช้าวันนัดคว้ากล้องและกุญแจรถได้ก็รีบมาที่ห้องชัยยศ ไม่ทันจะเคาะ ชัยยศก็โผล่ออกมาเสียก่อน พอเห็นเสื้อลายแถบขาวแดงที่ชัยยศสวมอยู่ วันนัดก็อดจะทักไม่ได้
“ หน้านี้เขาไม่แข่งบอลไม่ใช่หรือ”
“ อ๊ะ..อ๊ะ..ตัวใหม่นะนี่ สีมันช่วยให้ร้อนๆหน่อย ไม่เดี๋ยวหิมะจับตาย”
“ ไปกันเถอะเดี๋ยวเจอหิมะจริงๆจะช้ากันใหญ่” วันนัดกล่าว
วันนัดขับรถด้วยความเร็วปานกลางบนออโตบาห์นไม่มีหิมะมากเหมือนในเมือง ไม่ช้าไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมาย
ศิรินทร์ลุกพรวดพราดมาเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงออด
“ สวัสดีครับ” ชํยยศเอ่ยนำ
“ สวัสดีค่ะ” หล่อนทักทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มสดใส เปิดประตูกว้างให้ทั้งสองก้าวเข้ามาและนั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว
“ ศิไม่นึกว่าจะมาได้เร็วขนาดนี้ ไม่เจอหิมะเลยหรือคะ ที่ถนนนะค่ะ”
“ ไม่มีครับคงจะละลายไปหมดและตกไม่ค่อยมาก ไม่เหมือนที่นี่ แยะเชียวนะครับ” ชัยยศตอบ
“ ศิชอบค่ะ เมื่อกี้ลงไปดูมารอบหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก็ไปดูทุกวัน ดูว่าตกเท่าไร เมื่อคืนตอนคุณชัยยศโทรมาก็กำลังตกค่ะ แต่ไม่นาน” หล่อนปรายตามองวันนัดซึ่งได้แต่ยิ้ม
“ คุณวันนัดขับรถเหนื่อยหรือคะ ไม่เห็นพูดเลย”
“ วันนี้ผมเป็นฝ่ายภาพครับ” เอามือตบกล้องให้ดู
“ เขาว่าผมเป็นฝ่ายพูดน่ะครับ”
ศิรินทร์นึกขำอารมณ์ขันของเขา ทำให้บรรยากาศเป็นกันเองและสนุกเสมอ
“ คุณศิรินทร์ครับ ผมจะมาชวนคุณไปงานวันเฉลิมพระชนม์พรรษาที่สถานทูตครับ ที่บอนน์ ( Bad Godesberg)“ ชัยยศเอ่ยปากขึ้นมา
“ ไกลใช่ไหมคะ ศิจะไปได้อย่างไร กลับไม่ทันหรอกค่ะ”
“ ก็ไปกันตั้งสามคน ไม่เห็นน่ากลัวอะไรนี่ครับ แล้วถ้าคุณศิรินทร์ไม่รังเกียจอะไร ผมติดต่อหาที่นอนกับเพื่อนที่บอนน์ให้แล้วครับ”
หล่อนหันไปมองวันนัดราวกับจะขอความเห็น
“ ไปพบคนไทย กินข้าวไทยๆ อาจจะหายเหงานะครับ” วันนัดพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ ที่จริงเอาขนมมาเผื่อศิสักอย่างก็ได้นี่คะ แต่เดี๋ยวเราไปเดินเที่ยวกันดีกว่านะคะ แล้วศิให้คำตอบทีหลัง”
“ ใช่ครับ ผมชวนเร็วไป ยังไม่ได้ให้เวลาคิดเลย” ชัยยศเห็นคล้อยด้วยพลางลุกนำไปเปิดประตูให้ทั้งสอง พูดเบาๆขณะวันนัดเดินผ่านว่า
“ อีกหน่อยผมคงนับต้นไม้ครบทุกต้นละซีน่า”
ศิรินทร์นั่งเก้าอี้เอามือพาดขอบหน้าต่าง วางคางบนหลังมือเพ่งออกไปนอกกระจกจนปลายจมูกเย็นเพราะชนกระจกหน้าต่างนั้น แต่หล่อนก็ยังนั่งเหมือนไม่รู้สึกหนาวเย็น หล่อนนึกย้อนไปย้อนมาทบทวนอย่างไม่แน่ใจตนเอง หล่อนน่าจะได้ไปสนุกที่งานเฉลิมที่บอนน์แล้ว ถ้าไม่ใช่การตัดสินใจอย่างฉับพลันของหล่อน เมื่อหล่อนบอกว่าหล่อนยังไม่พร้อมที่จะไปไกลๆอย่างนั้น ดูรู้สึกว่าทั้งชัยยศและวันนัดออกจะผิดหวัง หล่อนเองก็อยากจะตอบเหมือนใจนึก แต่หล่อนกลัวใจตนเอง ที่จะควบคุมไม่ได้ แล้วหล่อนจะเปลี่ยนไป ศิรินทร์รู้ตัวเองว่าจิตใจของหล่อนไม่อยู่ในสภาพที่ควบคุมได้ในบางเวลา หล่อนกลัวเวลานั้นเสียจริงๆและเดี๋ยวนี้หล่อนก็ไม่อยากให้ความรวดเร็วมาพาไป บางครั้งศิรินทร์อยากให้รอยโค้งต่อนี้เปลี่ยนสภาพไปจากทุกๆวัน เพื่อหล่อนจะได้รู้บางสิ่งบางอย่างให้มากกว่านี้ อีกเพียงเดือนเดียวหล่อนก็จะได้ ..... ต้องไปจากเมืองนี้ เมืองอันเงียบสงบ ที่ทำให้หล่อนรู้จักแต่ความเหงามากกว่าสิ่งอื่น มากกว่าผู้คนและประเทศนี้ หล่อนรู้สึกใจหายบ้าง แต่ก็คิดว่าคงเป็นธรรมดาสำหรับการงาน ชีวิตคนต้องโลดแล่นไปมากกว่านี้ และคงจะไปไกลกว่านี้ หล่อนนึกอย่างพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง
ศิรินทร์อยากให้หกเดือนเรียนภาษานี้จบเร็วๆ เพื่อหล่อนจะได้หาโรงเรียนเข้าเรียนเสียที หล่อนกลับได้รับแจ้งจากสำนักดูแลนักเรียนไทยว่า หล่อนจะต้องฝึกงานตามสาขาที่จะต้องเรียนอีกหนึ่งปี ซึ่งเท่ากับว่าหล่อนมีเวลาตัดสินใจว่าจะเรียนในแขนงที่ฝึกงานจริงๆเมื่อจบเวลาทดลองงาน หล่อนขอภาวนาว่าเมืองที่หล่อนจะได้รับแจ้งแน่นอนนั้นได้เพื่อนสักคน เพื่อนผู้หญิงที่หล่อนจะได้สนุกสนาน สมวัยอันที่ควรจะเป็น...
และแล้ววันที่ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้ก็มาถึง วันที่ศิรินทร์ออกจะตื่นเต้นผสมใจหาย จะไม่ให้ใจหายได้อย่างไร คำพูดแรกของวันนี้ที่แม่บ้านพูดกับหล่อน ว่า เราพบเพื่อจาก ศิรินทร์น้ำตาตื้นคลอตาจนต้องรีบกรีดออก บรรยากาศเศร้าๆได้เริ่มขึ้นแล้วจริงๆ หล่อนไม่นึกว่าความรู้สึกจะมากมายขนาดนี้พอสายหน่อยศิรินทร์ก็เก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางได้หมด แถมถุงหิ้วใบใหญ่ๆอีกหนึ่งใบ ศิรินทร์บอกลาแอนนี่เพื่อนร่วมห้องตั้งแต่เมื่อคืน ดูจะเป็นธรรมเนียมมากกว่า เช้านี้แอนนี่มีส่วนช่วยรวบรวมของมากองรวมกันไว้ ของใช้ส่วนตัวของศิรินทร์ดูจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม หล่อนเก็บเสร็จพอดีกับออดประตูดังขึ้น ชัยยศกับวันนัดมาตรงเวลา เขาจะช่วยไปส่งหล่อนที่รถไฟทั้งๆที่อยากจะไปส่งให้ถึงเมืองนั้น แต่หล่อนคัดค้านเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ หล่อนกลัวว่าเขาจะกลับมาไม่ทัน และหล่อนอยากจะเดินทางคนเดียว หล่อนไม่ได้หวาดกลัวอะไร เพราะหล่อนชักมั่นใจในภาษาที่หล่อนพร้อมที่จะเอ่ยปากถามใครก็ได้แล้ว หอพักของหล่อนทางสำนักงานก็จัดการให้เรียบร้อย ชัยยศและวันนัดมาพบหล่อนอีกครั้งหนึ่งก่อนจะถึงวันนี้ ศิรินทร์ใจคอเหี่ยวแห้งจนไม่สามารถจะคุยอะไรได้ หล่อนนั่งเงียบมาตลอดทางและดูเหมือนทุกคนเข้าใจในบรรยากาศจนถึงสถานีรถไฟ ทั้งคู่ช่วยกันหอบสัมภาระ ศิรินทร์รีบซื้อตั๋วตรวจสอบเวลารถออก แล้วจึงพากันไปดื่มกาแฟฆ่าเวลาและขนมเบาๆอีกคนละชิ้นแทนอาหารเช้า ซึ่งต่างก็ไม่ได้กินมาและไม่รู้สึกหิว ศิรินทร์ไม่กล้าสบตาใครนัก เพราะกลัวความไม่เข้มแข็งจะปรากฏ แต่หล่อนก็รู้ว่าหล่อนถูกมองด้วยสายตาสองคู่นั้นบ่อยครั้ง สายตาแต่ละคู่คงไม่เหมือนกัน แต่หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะคิดและเหลือบมอง
ชัยยศเอ่ยท่ามกลางความเงียบว่า
“ ที่จริงเราน่าจะไปส่งคุณศิรินทร์ให้ถึงที่นะนัดนะ ติดว่าคุณศิรินทร์ห้ามเสียจริง”
“ แค่นี้ก็เป็นบุญคุณแย่แล้วค่ะ แล้วคุณทั้งสองจะกลับมาไม่ทันด้วย ตั้งไกล ศิจะโทรมารายงานตัวถ้าถึงเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“ คุณศิรินทร์คงไม่ลืมอะไรนะครับ” ชัยยศถาม
“ คงไม่ลืมค่ะ ทั้งคนด้วย”
“ พูดให้ดีใจงั้นแหละ” ชัยยศช่วยสร้างบรรยากาศใหม่
“ ศิพูดจริงๆนะคะ อย่างไรคุณทั้งสองก็เป็นคนไทยที่ศิไม่มีวันลืมพร้อมๆกัน” หล่อนทำตาปรอย
หล่อนมองนาฬิกาเมื่อคิดว่าได้เวลา หล่อนกลัวตกรถ อยากจะให้ความรู้สึกขณะนี้ผ่านไปเสียเร็วๆ มันทรมานความรู้สึกสิ้นดี เมื่อเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็พากันมาที่ตู้รถไฟวางของเสร็จสรรพ ศิรินทร์ก็พนมมือไหว้ทั้งสองด้วยความตื้นตันในน้ำใจของเขาจริงๆ และแล้วเมื่อได้เวลารถไฟก็เริ่มเคลื่อน ศิรินทร์กล่าวต่อคนทั้งสองที่ยืนส่งที่ประตูรถอย่างเงียบๆว่า
“ ศิพูดไม่ออกว่าเป็นอย่างไร แล้วศิจะเขียนเล่ามา เขียนมาจริงๆ ศิลาก่อน” หล่อนก้มหน้าพูดเสียแล้ว รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ มีมือเท่านั้นที่ยกโบกไหวๆ เมื่อเงยหน้าอีกครั้งน้ำตาก็บดบังภาพสายตาทั้งสองคู่จนเลือนรางไปหมด เห็นภาพคนทั้งสองห่างไกลไปทุกที ลาก่อน Blaubeuren….
สถานีโคโลญจน์ ( Köln) รถไฟมาถึงตรงต่อเวลา ศิรินทร์ไม่ได้นั่งอย่างเพลิดเพลิน หล่อนรู้สึกออกจะเคร่งเครียดด้วยซ้ำไปตลอดเวลาที่อยู่ในรถไฟ นึกถึงที่อยู่ใหม่หล่อนก็วาดภาพไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร หล่อนรู้แต่ว่าเป็นเมืองสวยอยู่กลางประเทศ ใกล้เมืองบอนน์ มีแม่น้ำไรน์ (Rhein)ไหลผ่าน เมื่อรถไฟจอดสนิทนิ่งหล่อนก็ยกถุงที่อยู่บนชั้นวางเหนือศีรษะลงมา ลากกระเป๋าที่วางอยู่ใกล้เท้าเตรียมออกจากตู้โดยสาร ที่มีคนทยอยออกมาเรื่อยๆ กระเป๋าอันหนักอึ้งที่ชัยยศยกขึ้นรถไฟมาให้นี่มันหนักเอาการทีเดียว หล่อนได้สุภาพบุรุษวัยกลางคนช่วยยกลงจากรถไฟมาวางที่พื้นชานชาลาให้ หล่อนกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มอย่างจงใจซึ่งก็ได้รับตอบด้วยแววตายินดี เมื่อลากกระเป๋าออกมาจากบริเวณสถานีก็มารอที่ป้ายเรียกแท็กซี่ หล่อนเอาที่อยู่ของหอพักมาดู และจำชื่อเพื่อบอกกับแท็กชี่ ไม่นานแท็กซี่ก็มาจอดพร้อมยกกระเป๋าของหล่อนขึ้นใส่ท้ายรถ ที่หล่อนมองอยู่และเห็นว่าเป็นรถยี่ห้อดาวสามแฉก เมอร์เซเดส นั่นเอง เมื่อหล่อนขึ้นไปนั่งพร้อมบอกชื่อถนนและเลขที่บ้าน แท็กซี่ก็ขับไปในทันที
แท็กซี่ขับวนที่ตึกขนาดใหญ่ห้าชั้นที่มีอยู่สามหลัง ตั้งเยื้องแนวกันอยู่ และแท็กซี่ก็มาจอดที่ตึกกลาง บอกว่าที่นี่แหละ หล่อนจ่ายเงินไปสำหรับค่าเดินทางราวยี่สิบนาทีจากสถานีรถไฟ เมื่อแท็กชี่ยกกระเป๋าออกจากท้ายรถให้แล้ว หล่อนก็หยุดกวาดสายตามองไปรอบๆ อาคารที่ซีกหนึ่งเป็นห้องพักสีเทามีระเบียงเป็นแนวยาว อีกซีกหนึ่งเป็นผนังสีปูนมีช่องหน้าต่างห่างเป็นระยะ คงเป็นครัวเพราะหน้าต่างเป็นแบบเปิดได้ทุกทิศทางยกแง้ม ตึกดูสะอาดและไม่เก่า ที่บริเวณที่หล่อนยืนเป็นบริเวณที่จอดรถได้สักสามสิบคันระหว่างความห่างสองตึกนี้ ประตูกระจกแข็งแรงที่หล่อนก้าวเดินผลักเข้ามาอบอุ่น เข้ามาอีกประตูหนึ่งพบข้างหน้าเป็นห้องที่มีกระจกและมีโทรศัพท์อยู่หลายเครื่อง และมีลิฟท์อยู่กลางตึกเพื่อว่าจะใช้สำหรับผู้อยู่ทั้งสองปีกของตึก
(มีต่อ)