วันวาน 14

กระทู้สนทนา

.



             ใครเป็นลูกคนโตของบ้านจะเคยทำสิ่งนี้ หรือ อาจจะไม่ใช่ลูกคนโตก็ได้ แต่ว่าใครที่มีน้องเชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านเรื่องราวนี้มาเหมือนฉัน นึก ๆ ไปก็ตลกตัวเอง เขินนะ! มันคือหน้าที่ของพี่ที่ดีที่พี่ ๆ ทุกคนต้องเคยทำ ฉันเชื่อแบบนั้น

              วันวานจะพาย้อนกลับไปดูตัวเองตอนเด็ก ๆ กัน ฉันเป็นอีกคนที่มีน้องสาวและแบบ! ภูมิใจในตัวเองมากที่ได้ทำหน้าที่พี่สาวที่ดี (หัวเราะ) เชื่อว่าทุกคนที่มีน้อง ไม่ว่าจะน้องสาวหรือน้องชาย เชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านหน้าที่นี้มาแน่นอนตอนเด็ก ๆ

                 ไม่ได้ชวนให้จมอยู่กับอดีต ทว่ามันคือวันวานที่ชวนยิ้มและหัวเราะต่างหาก เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงไม่มีกฎข้อไหนห้ามหรอกว่า ‘ห้ามนึกถึงมัน’

                  เรื่องมีอยู่ว่า…..

             เปิดเรียนมาได้หลายวันแล้ว บอสตื่นเต้นมาก ที่ได้เจอได้เล่นกับเพื่อน ๆ สักที ตอนปิดเทอมเหมือนจะไม่เหงา ทว่าลึก ๆ แล้วมันก็เหงาที่สุด พอมาเจอเพื่อน ๆ ทั้ง 45 คน ชีวิตของบอสมันก็สนุกสนานขึ้นเป็นกอง ไม่เหงาและไม่เบื่อเลย มีบ้างที่ขี้เกียจตื่นตอนเช้า แต่พอมาถึงโรงเรียนมันก็มีแต่เรื่องสนุกให้ทำ

              เปิดเทอมมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ละคนต่างยังไม่หมดเรื่องราวที่นำมาเล่าสู่เพื่อน ๆ ฟัง ใครไปเที่ยวไหนบ้าง ใครทำอะไรบ้าง ทุกคนต่างนำมาอวดกันใหญ่ทั้งที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่คนในคุ้มเดียวกันที่เจอกันทุกวัน ก็ยังมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นมาอวดได้ รวมทั้งพวกเธอทั้งสี่คนด้วย ต่างนำเรื่องราวมาเล่าสู่เพื่อน ๆ ฟัง ส่วนมากจะเป็นเรื่องช่วงเทศกาลสงกรานต์เสียมากกว่า ทุก ๆ วันผ่านไปอย่างสนุกสนานวันนี้ก็เช่นกัน

                 พักเที่ยงแก๊งพวกเธอสี่คน เลือกนั่งกินข้าวที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นเสี้ยว ส่วนมากพวกเธอจะจองที่นี่เป็นที่กินข้าวเที่ยงประจำ วันไหนมีนักเรียนคนอื่นมาแย่งนั่งก่อน พวกเธอถึงจะเปลี่ยนที่ เหมือนสถานที่นี้เป็นที่ประจำของพวกเธอไปแล้ว ไม่ว่าจะปีไหนหรือเทอมไหน พวกเธอก็จะพากันมานั่งกินข้าวมื้อเที่ยงที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นเสี้ยวแห่งนี้

               “บอสห่อข้าวกับหยัง” แพรวถามพร้อมชะโงกหน้ามามองกล่องข้าวของเธอ วันนี้อาหารกลางวันเป็นแกงเขียวหวาน บอสกินคู่กับจ๋อม พิมพ์กับแพรวกินคู่กัน ทว่าก็ห่อข้าวมาจากบ้านของใครของมันเหมือนเดิม อาหารกลางวันเป็นอาหารเสริมเท่านั้น ห่อข้าวไม่จำเป็นต้องมีกับข้าวมาด้วยก็ได้ ห่อเพียงข้าวเปล่ามาอย่างเดียวแล้วมากินกับข้าวโรงเรียนก็ได้ ทว่าพวกเธอก็ห่อกับข้าวมาด้วยเสมอ

                 “ทอดเนื้อแห้ง! มืงสองคนห่อข้าวกับอิหยังแฝดมื้อหนิ อี่จ๋อมนำไสเบิ่งของมืงแน” บอสขอดูห่อข้าวของเพื่อนทุกคน

                 “แม่กูทอดหม่ำให้ ไสของอี่จ๋อมเป็นหยัง” พิมพ์ตอบเธอแล้วถามย้ำห่อข้าวของจ๋อมด้วย พร้อมชะโงกหน้าไปดู

                 “ปิ้งตับไก่” จ๋อมตอบพร้อมเคี้ยวข้าวไปด้วย พวกเธอนั่งกินข้าวมื้อเที่ยงกันอย่างอร่อย กินไปคุยกันไป แลกเปลี่ยนกับข้าวที่ห่อมากันกินด้วย “กินข้าวแล้วเล่นเต้นยางบ่เฮา กูพกยางมานำอยู่ หรือว่าจะไปเล่นหอย” หอยก็คือหมากเก็บนั่นเอง เต้นยางที่จ๋อมพูดก็คือกระโดดยาง “กูเอาโซ่มานำคือกัน กูซื้อไว้บักหลายเลย”

                  เป็นโซ่พลาสติกสำหรับเด็กเล่น สามารถนำมาร้อยแล้วพันเป็นก้อนกลม ๆ นำมาเล่นหมากเก็บแทนก้อนหินได้ เล่นสนุกกว่าก้อนหินตั้งเยอะ พวกเธอนิยมซื้อมาเล่นกัน

                 “เล่นเต้นยางมันจะบ่จุกบ่วะ กูว่าเล่นหอยดีกว่า น้อบอส” แพรวคัดค้าน แถมยังเอ่ยชื่อเธอให้เห็นด้วยไปอีก

                 “เล่นอิหยังกะเล่นโลดสู! เต้นยางกะได้บ่จุกหรอก” บอสเห็นด้วยไปทางจ๋อม เบื่อจะเล่นหมากเก็บ “เล่นอี่ยกอี่ช้างน้อ หรือ จะเล่นจันทร์อังคาร หรือ เล่นอี่มุมกะได้” บอสเสนอการละเล่นกระโดดยาง นั่นก็คือ การเล่นกิงก่องแก้ว ทว่าแถงบ้านของบอสเรียกอีกชื่อว่า ‘ยกอี่ช้าง’ มีหลากหลายการละเล่นที่พวกเธอดัดแปลงการกระโดดยาง ไม่เพียงแต่เล่นกิงก่องแก้วเท่านั้น

                 “เล่นกะเล่น! ยกอี่ช้างเด้อจังมวน” เมื่อตกลงการเล่นกระโดดยางกันได้ จากนั้นพวกเธอก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวกันต่อ ทำเวลาให้กินอิ่มเร็ว ๆ จะได้มีเวลากระโดดยางเยอะ ๆ  พอกินเสร็จก็นำถ้วยไปล้างเก็บใส่ถุงหูหิ้วให้เรียบร้อย

                 ตอนไปรับอาหารกลางวันจ๋อมเป็นคนไปต่อคิวรับ พอกินเสร็จคนล้างจึงต้องเป็นเธอสลับกันแบบนี้ทุกวัน ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย พวกเธอทั้งสี่คนก็นำหนังยางมาเล่น เล่นกิงก่องแก้วกันสี่คน แบ่งกันเป็นทีม ทีมละสองคนนั่นเอง เพราะมีกันเท่านี้

                 ช่วงพักเที่ยงเวลานี้นักเรียนในโรงเรียนต่างใช้ชีวิตของใครของมัน ทุกคนต่างเล่นกลุ่มใครกลุ่มมัน เวลาพักเที่ยงเป็นเวลาให้เล่นตามอัธยาศัย บ้างก็กระโดดยาง เขวี้ยงรองเท้า เล่นเตย เล่นหมากเก็บ อยู่ตามร่มไม้ใต้ถุนอาคารบ้าง พวกผู้ชายก็เตะฟุตบอลที่สนามไม่สนใจแม้จะแดดร้อนแค่ไหน

                 บอส จ๋อม และ สองฝาแฝดเล่นกระโดดยางกันที่ใต้ต้นเสี้ยวอย่างเพลิดเพลิน ถัดไปเป็นกลุ่มของเจนกับหมิวเล่นใกล้ ๆ กัน ต่างคนต่างเล่นไปกลุ่มใครกลุ่มมัน จู่ ๆ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเธอต้องหยุดเล่นสนุกกัน รวมทั้งกลุ่มของหมิวกับเจนด้วย ที่หยุดเล่นฟังพวกเธอคุยกัน

               “พุ่นบอสน้องมืงไห้ย่างมาหาพุ่น! ไผเฮ็ดหยังมาน้อ” ระหว่างที่จ๋อมกำลังจะกระโดดยางหันไปเห็นน้องบีมเดินร้องไห้มาพอดี จึงทักเธอให้หันไปมองตาม น้องบีมกับเพื่อนวัยเดียวกันสามคนเดินมุ่งหน้ามาหาพวกเธอที่ใต้ต้นเสี้ยว ร้องไห้มาตามทางอย่างไม่อายใคร

               แพรวเดินไปหาน้องบีมก่อนใคร “อี่น้องบีมเป็นหยังคือไห้” แพรวเดินไปหาน้องสาวของเธอพร้อมถามถึงเรื่องราว กอดน้องบีมเอาไว้แล้วเช็ดน้ำตาให้น้องบีม “ผู้ใดเฮ็ดอีหยังให้ เซาไห้หน้าเปื้อนเบิดล่ะหนิ” แพรวพูดปลอบพร้อมดันศีรษะน้องบีมกอดเอาไว้ เช็ดน้ำตาให้ด้วย

             “บักวุฒิมันดึกเกิบคุณบีมเข้าป่าฝรั่งตั้วเอื้อยแพรว” น้องแจนเพื่อนหนึ่งในสามคนที่มากับน้องบีมเป็นคนตอบแทน รายงานว่าโดนเพื่อนแกล้งโดยการเขวี้ยงรองเท้าของน้องบีมเข้าป่าใบสาบเสือไป ส่วนเจ้าตัวกำลังร้องไห้อยู่

                 โรงเรียนของพวกเธอครูใหญ่ตั้งกฎขึ้นมา สั่งให้นักเรียนทุกคนห้ามเรียกกันว่า ‘อี่’ นำหน้า ให้เรียกคำว่า ‘คุณแทน’ ถ้าได้ยินใครเรียกเพื่อนอี่จะโดนทำโทษ

                สำหรับแก๊งพวกเธอสี่คนแอบเรียกกันอี่ แต่เรียกเพื่อนคนอื่น ๆ ว่าคุณนำหน้าชื่อเหมือนกัน เวลานี้นักเรียนทั้งโรงเรียนเรียกชื่อกันโดยมีคำนำหน้าว่า ‘คุณ’ กันหมด

                “น้องคุณบอสเป็นหยังคือไห้ ไห้มาซอเอื้อยบ่?” ก้อยหนึ่งในกลุ่มของหมิวร้องถามพวกเธอที่ยืนคุยกัน

                บอสหันหน้าไปทางเพื่อนที่ถามทว่าไม่ได้ตอบอะไร “บักวุฒิมันดึกเกิบน้องบีมถิ่ม ไปฮ่ายมันให้น้องบีมแน” น้องบีมร้องไห้รายงานแพรวกับพวกเธอ

                 เธอฟังที่น้องสาวพูดแล้วเหลือบมองที่เท้า เห็นรองเท้านักเรียนของน้องบีมยังอยู่ “นั่นเด้เกิบคือใส่มาอยู่สั่น คือว่ามันดึกเข้าป่า” บอสถาม

               “พวกน้องเก๋ไปเอามา น้องเก๋กะเลยว่าจะมาบอกพวกเอื้อยบอส” น้องเก๋เพื่อนน้องบีมรายงานอีกคน “เอื้อยบอสไปฮ่ายมันเลย บักวุฒิมันมึนคัก ตอนนั้นกะตีพวกน้องเก๋กับคุณแจนกับคุณบีม”

                “มันอยู่ไสหั่นบักวุฒิตอนหนิ คือมาเก่งแถะ” พิมพ์ถาม ตอนนี้พวกเธอเลิกกระโดดยางหันมาให้ความสนใจน้องบีมกับเพื่อน “ปะบอส แพรว จ๋อม”

                “ไปฮ่ายมันเลยเอื้อยพิมพ์ มันจังบ่กวนน้องบีม” น้องบีมหยุดร้องพร้อมยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา “ขนาดน้องเก๋ว่าจะไปบอกเอื้อยบอส บักวุฒิมันยังว่าบ่ย่าน มันว่าไปบอกเอื้อยมืงมาเลยกูบ่ย่านมันว่าจังสิล่ะเอื้อยบอส”

                 “ไปกะไป! เซาไห้” บอสบอกกับน้องสาว “บักวุฒิมันอยู่ไส”

                “พวกคุณแพรวคุณบอสจะไปฮ่ายเด็กน้อยบ่” หมิวถาม กลุ่มของหมิวก็หยุดเล่นกระโดดยางเพื่อฟังเรื่องราวของพวกเธอ “วุฒิใดน้องเก๋ น้องเอื้อยพรนั่นบ่” หมิวถามอย่างใคร่รู้ หมิวอยู่หมู่หนึ่งคุ้มใต้ทว่าก็รู้จักทั้งโรงเรียนว่าใครเป็นใคร รวมทั้งพวกเธอด้วยที่รู้จักทั้งโรงเรียนเหมือนกัน

                “แมน! น้องเอื้อยพร เฮือนมันอยู่คุ้มเหนือเอื้อยหมิว คุ้มทางเฮือนกำนัน” น้องเก๋หันไปตอบหมิว

                “กะมันเฮ็ดน้องเฮาก่อนนั่นเด้คุณหมิว เฮากะต้องไปฮ่ายมัน มันจังบ่กวนน้องเฮาอีก” บอสตอบ “มันอยู่ไสนะ” บอสถามอีกรอบ เลิกสนใจกลุ่มของพวกหมิวแล้ว

                 “อยู่บ้านพักครูสมพงษ์ ปะพวกน้องเก๋พาไป” น้องเก๋ดูจะเป็นตัวตั้งตัวตีมาก ทั้งที่คนโดนกระทำคือน้องบีม น้องสาวของเธอและเพื่อน ๆ เดินนำหน้าไป พวกเธอเดินตามหลัง มุ่งหน้าไปยังโรงพละหรือบ้านพักครูสมพงษ์สมัยก่อน

                พวกเธอเจ็ดคนเดินเรียบไปตามถนนของขอบสนามฟุตบอล โรงพละอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่พวกเธอเล่นอยู่เมื่อสักครู่ เดินมาไม่นานก็ถึงบ้านพักครูสมพงษ์หรือโรงพละแล้ว

                  ที่โรงพละจะมีลานดินไว้สำหรับออกกำลังกาย มีอุปกรณ์ให้ออกกำลังกายสำหรับเด็ก และ เป็นที่เก็บอุปกรณ์กีฬาของโรงเรียน พวกเธอเดินมาถึงเห็นน้องวุฒินั่งอยู่คนเดียว เพื่อน ๆ หายไปไหนไม่รู้ น้องวุฒิจ้องพวกเธอที่กำลังเดินมาแต่ไกล ๆ ไม่ละสายตา พวกเธอก็จ้องคืนเหมือนกัน

                 “บักวุฒิเอื้อยกูมาแล้ว” คราวนี้รู้สึกว่าน้องบีมจะเหิมเกริมกว่าเมื่อครู่

                  “มืงว่าบ่ย่านเอื้อยบอสกับเอื้อยพิมพ์เอื้อยแพรวติ เรามาแล้ว!” น้องแจนพูดข่มขู่

                  พวกเธอเดินมาถึงบ้านพักครูสมพงษ์ เห็นน้องวุฒินั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ พวกเธอเดินมาหยุดยืนล้อมตัวน้องวุฒิเอาไว้ เธอไม่ได้จะมาหาเรื่องคนที่เด็กกว่า แค่จะมาเตือนเท่านั้นว่าอย่าแกล้งน้องบีมอีก ไม่ได้จะมาทะเลาะกับเด็กเลย

                 “น้องเอื้อยว่าโตดึกเกิบน้องเอื้อยเข้าป่าบ่” พิมพ์ถาม น้องวุฒิก็นั่งเงียบไม่ตอบพวกเธอ

                “เป็นผู้ชายอิหยังคือนิสัยบ่ดีแถะ คือดึกเกิบมูเข้าป่า เทือมันเสียสิเฮ็ดจังใด โตสิซื้อแทนบ่” จ๋อมพูดขึ้นอีกคน พวกเธอยืนกอดอกคุยกับน้องวุฒิ ส่วนน้องวุฒิก็นั่งเงียบ ๆ ไม่ตอบคำถามใด ๆ กับพวกเธอสักคำ

                “มันว่าบ่ย่านเอื้อยพิมพ์กับเอื้อยแพรว เอื้อยบอสนำ” น้องเก๋พูดแทรก

                “ฮือ…. กุว่าอยู่ไสอี่เก๋!!” คราวนี้น้องวุฒิพูดขึ้น รีบตอบน้องเก๋ทันควัน ทว่าเป็นน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกำลังจะร้องไห้ จากนั้นก็เงียบไปอีก ไม่ยอมสบตากับพวกเธอ นั่งก้มหน้าอยู่เงียบ ๆ

               “ว่าบ่ว่ากะซาง ต่อไปอย่ากวนน้องเอื้อยอีกเด้อ อย่าให้เอื้อยได้ยินอีก! เป็นผู้ชายหยังมากวนมูผู้หญิง” คราวนี้เป็นบอสพูดบ้าง และ พอบอสพูดจบประโยค น้องวุฒิกลับร้องไห้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

              พวกเธอทั้งสี่คนเลิ่กลั่กมองหน้ากัน งงว่าน้องวุฒิร้องไห้ทำไม พวกเธอยังไม่ทันได้ทำร้ายอะไรเลย น้องวุฒินั่งร้องไห้จ้าขึ้นมาเสียดื้อ ๆ บ้านพักครูสมพงษ์อยู่ติดกับบ้านพักของครูใหญ่ ที่ใช้พักอาศัยอยู่ ณ ปัจจุบัน ทำให้พวกเธอเกรงว่าครูใหญ่หรือภรรยาของครูใหญ่จะได้ยินเข้า จึงพากันเลิ่กลั่กพอสมควร และก็จริงอย่างที่พวกเธอกลัว ภรรยาของครูใหญ่ได้ยินเสียงร้องไห้ของน้องวุฒิเข้า

                ครูใหญ่พักอาศัยอยู่กับภรรยาและหลานชาย ซึ่งภรรยาของครูใหญ่ไม่ได้รับราชการอะไร อยู่ดูแลเป็นแม่บ้านให้ครูใหญ่เท่านั้น และ เลี้ยงหลานชายคนเดียว ซึ่งเป็นลูกของลูกสาวครูใหญ่เอง ภรรยาของครูใหญ่ดันได้ยินเสียงร้องไห้ของน้องวุฒิจริง ๆ

               “แมนหยังน้อเฮ็ดให้กันเฮ็ดหยังลูก” ภรรยาของครูใหญ่ตะโกนลงมาจากบ้านพัก ชะโงกหน้ามายังบ้านพักครูสมพงษ์มองดูพวกเธอ ครูใหญ่และภรรยาเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับพวกเธอ เพียงต่างอำเภอกันเท่านั้น ภรรยาครูใหญ่จึงใช้ภาษาอีสานกับพวกเธอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่