ผมอยากเจอผี

กระทู้สนทนา


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เรื่องนี้บทพูดเป็นภาษาถิ่น

              เช้าของวันหยุดซึ่งตรงกับประเพณีฮีตสิบสองพอดี คือ ‘บุญข้าวสาก’ ทุกบ้านต้องทำขนมเทียน ข้าวต้มผัด ข้าวต้มมัด หรือจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ จากนั้นก็นำไปวางที่วัด และท้องนา และนำไปให้ญาติผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ เรียกการทำแบบนี้ว่า ‘หยาย’

               วางในวัดและท้องนาเรียกว่า ‘หยายให้ผี’ พอตกตอนกลางวันก็นำหมากพลู ข้าวสาร ข้าวต้มที่ทำ หรือผลไม้ไปแจกญาติผู้ใหญ่ ทำแบบนี้ ‘เรียกหยายให้คนเป็น ไปหยามย่าหยามยายก็ว่าไป’

               ปีนี้บอสเห็นญาติ ๆ กลับบ้านมาทำบุญข้าวสากกันหลายคน รวมทั้งพ่อกับแม่ด้วย ลุงกับป้าพ่อแม่ของพี่ปาวพี่แป้งก็กลับมา ทำให้บุญข้าวสากที่บ้านของเธอครึกครื้นกว่าปีก่อน ๆ ยายยิ้มหน้าบาน เพราะแม่กับลุงกลับมาหยายข้าวสากให้ตา

               คนเฒ่าคนแก่บอกว่าถ้าลูกจากสายเลือดมาหยาย พ่อแม่ที่ตายไปแล้วจะได้รับบุญร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่จึงทำให้แม่กับลุงกลับมาบ้านในปีนี้ ส่วนคนที่ครอบครัวอยู่ครบก็ทำให้สัมภเวสีไม่มีญาติ

               เมื่อคืนยายจัดแจงหมากพลู ผลไม้ และข้าวสารออกเป็นชุด ๆ เพื่อจะให้พวกเธอนำไปให้ญาติ ๆ ทั้งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและต่างหมู่บ้าน ตอนเช้าบอสได้นำหมากพลูและผลไม้ไปให้ตาทวดแล้วชุดหนึ่ง เหลืออีกหลายคนที่จะต้องนำไปให้ หนึ่งในนั้นคือย่ากับย่าน้อยด้วยที่ยายจัดเตรียมให้ แม้อยู่หมู่บ้านเดียวกันก็ต้องให้ เพราะเป็นประเพณี

               “นางของย่าเดี๋ยวพ่อสิถือไปหรอก” พ่อบอกกับเธอ พ่อจะเป็นคนเอาไปให้ย่ากับย่าน้อยเอง ส่วนแม่เป็นคนขับมอเตอร์ไซค์เอาไปให้ญาติ ๆ ที่ต่างหมู่บ้าน ทานข้าวเช้าเสร็จพ่อก็ถือหมากพลู พร้อมผลไม้ที่ยายจัดให้สองชุดเดินไปบ้านหาย่า เธอกับน้องบีมก็ตามพ่อไปด้วย

               มาถึงเห็นย่าน้อยกับลุงหนุ่ยอยู่ที่นี่พอดี จึงถือโอกาสหยายให้ย่าน้อยที่นี่เลย ปีนี้ลุงหนุ่ยลูกชายย่าน้อยก็กลับมาบ้านพร้อมครอบครัว มาหยายข้าวสาก มาหยามย่าน้อยนั่นแหละ พอพ่อเห็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องมาบ้าน พ่อก็ไม่ยอมกลับบ้านเลย

               พ่อกับพวกเธอขลุกอยู่ที่นี่กันทั้งวัน เพื่อนบ้านและญาติบางคน เมื่อเห็นพ่อกับลุงหนุ่ยกลับบ้านก็เดินมาคุยด้วยตามประสา ลุงวิทย์กับสองฝาแฝดก็มาอยู่ที่บ้านย่าด้วย มากินขนมเทียน รวมญาติย่อย ๆ ไปในตัว

               “ป้าต้อยไส้อิหยังหนิ” บอสเดินไปหยิบขนมเทียนในกระด้งที่ป้าทำเอาไว้ พร้อมชูให้ผู้เป็นป้าดู

               “ป้าเฮ็ดไส้บักพร้าวตั้วนาง” ป้าต้อยตอบ

               “ยี… บอสบ่กินหรอกสั่น บ่มัก! มีไส้ถั่วเหลืองบ่ฮั่นป้าต้อย” บอสถามหาไส้ขนมเทียนที่ทำจากถั่วเหลือง ที่บ้านยายก็ทำไส้ถั่วเหลือง แต่เธออยากกินขนมเทียนของย่านี่

               “ไส้บักพร้าวกะแซ่บคือกันตั้ว บ่ทันกินอยู่ว่าบ่แซ่บล่ะ” ย่าพูดกับเธอ นั่งตำหมากเคี้ยวอยู่บนแคร่กับย่าน้อยผู้เป็นพี่สาว นั่งฟังลูก ๆ หลาน ๆ คุยกันอย่างมีความสุข บอสสังเกตเห็นใบหน้าระรื่นของทั้งสองคน ลูกหลายคนบางคนไม่มา แต่บางคนมาเท่านี้ก็สุขใจ

               “หื่อ… บอสบ่มัก เดี๋ยวบอสเมือเอาของอี่ยายมากินกะได้” ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เท่าไหร่ เมื่อไม่มีไส้ที่ชอบก็ไม่กินแค่นั้น จากนั้นบอสก็ไปแอบเปิดดูข้าวต้มผัด บอสกลอกตามองบนให้ข้าวต้มผัดของย่าทันที เพราะข้าวต้มผัดดันเป็นไส้กล้วยเสียนี่ แทนที่จะทำไส้ถั่วเหลือง

               “พุ่น! ใหญ่นงค์ ข้าวต้มผัดกะเฮ็ดไส้กล้วยเด้ เพิ่นพาเฮ็ดไส้ถั่วเหลืองกะหลาย เฮือนหนิล่ะบ่กินถั่วเหลืองเฮ้ย” บอสค่อนขอดย่าอย่างลืมตัว เพราะผิดหวัง อุตส่าห์อยากกินฝีมือของย่าแต่ไส้ข้าวต้มกลับไม่ถูกปาก นั่นแหละที่บ้านของเธอยายก็ทำ ค่อยกลับไปกินที่บ้านก็ได้ เพียงบ่นไปเพราะความผิดหวังชั่ววูบ

               “อิหยัง… จ่มหยังนั่น” ลุงหนุ่ยได้ยินที่เธอบ่น จึงแซวเข้าให้ “ใหญ่เป็นสาวซุคนล่ะปีหนิ ม.ปลายล่ะบ่นาง” ลุงหนุ่ยถามพวกเธอทุกคน

               “จ้า” แพรวตอบลุงหนุ่ย นั่งอยู่ที่แคร่กับย่ากับพิมพ์ ส่วนน้องบีมนั่งที่เปล น้องบีมตอนนี้เรียน ม.ต้นแล้ว

               “มันจ่มนำไส้ขนมหมกตั้ว” ย่าตอบ แล้วก็เลิกสนใจเธอ พอบอสไม่ได้กินก็กลับมานั่งที่แคร่กับทุกคนเช่นเดิม นั่งฟังพ่อกับญาติ ๆ คุยกันตามประสาพี่น้อง

              ทุกคนสนทนากันเรื่องบุญข้าวสากไปเรื่อย เรื่องวัด เรื่องพระ ไป ๆ มา ๆ ก็วนมาเรื่องผีอย่างไรไม่รู้ ลุงหนุ่ยเล่าเรื่องผีสมัยที่บวชเณรให้ฟัง บอสน้องบีมและสองฝาแฝดตั้งใจฟังมาก

               ถึงจะกลัวผีทว่าต่างก็พากันชอบฟังที่สุด และเหมือนลุงหนุ่ยจะรู้ว่าพวกเธอสนใจ ก็เล่าไม่หยุด พูดน้ำไหลไฟดับไปเลย เป็นเรื่องผีที่ตลกมาก เพราะลุงหนุ่ยใส่มุกตลกเข้าไประหว่างพูด คนอารมณ์ดีพูดเรื่องผีก็ตลก ทั้งที่มันควรจะหลอนและน่ากลัว แต่เมื่อเป็นลุงหนุ่ยเล่า ทำเอาเธอกับสองฝาแฝดหัวเราะตัวขดตัวงอ

               เรื่องนี้ทำให้บอสรู้ว่าแท้จริงแล้ว ครอบครัวของย่าน้อยจริง ๆ ไม่ได้รวยอะไรมากมาย ทว่าอยากให้ลูก ๆ ได้เรียนหนังสือก็เท่านั้น และลูก ๆ ทุกคนก็ตั้งใจเรียนจนได้ดิบได้ดีทุกคน

               ลุงหนุ่ยเล่าว่า สมัยเด็ก ๆ จบ ป.6 ปุ๊บ พ่อของลุงหนุ่ยจะส่งให้ไปบวชเรียน ลูกชายทุกคนพอจบ ป.6 จะต้องไปบวชเรียนเท่านั้น เพราะไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนแบบคนปกติธรรมดา ลุงหนุ่ยเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาลูกชายสี่คน พอถึงคราวลุงหนุ่ยจบ ป.6 พ่อก็ให้ไปบวชเรียนเลย ซึ่งบวชเป็นเณรที่วัดแห่งในตัวเมือง

               “ข่อยเกิดขึ้นมาข่อยบ่เคยเห็นผีจักเทือ บาดไปบวชเรียน เห็นซุมื้อ! เห็นจนฮอดมื้อย้ายไปอยู่วัดในกรุงเทพ” ลุงหนุ่ยเล่าปนยิ้ม มันควรจะน่ากลัว แต่ลุงหนุ่ยเล่าแบบตลกสามช่าเหลือเกิน สีหน้าแววตาของลุงหนุ่ยเกิดประกายแห่งความสุข ในการนึกถึงเรื่องราวเมื่อวันวานที่ลืมไม่ลง

               “มืงกะเว้าไปบักหนิ! เห็นจังใดว่ะ ผีเป็นโตจังใด” ย่าคัดค้านลุงหนุ่ย น้ำเสียงดูเอ็นดูหลานชายคนเล็ก

               “เจ้าเชื่อมันสั่นบ่” ย่าน้อยแซวลูกชายบ้าง แววตาดูเอ็นดูลูกชายคนเล็กที่สุดเช่นกัน

               “เอ้าข่อยกะเห็นอิหลินั่นตั้ว กะเป็นโตคนคือเฮาหนิ มาเป็นคนเลย เป็นผู้ชาย ผู้เฒ่าจ่อย ๆ แห้ง ๆ นุ่งตะผ้าล่ามเสื้อบ่ใส่” ลุงหนุ่ยเถียงย่ากับย่าน้อย ส่วนพวกเธอก็พากันฟังแล้วหัวเราะ ชอบท่าทางการเล่าของลุงมากกว่าเนื้อหาที่จะเล่า

               เพราะนิสัยทะเล้นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่กลัวความมืด ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ออกไปในทางดื้อ เมื่อได้ไปบวชเป็นสามเณรก็เป็นสามเณรที่ดื้อรูปหนึ่ง อยู่ต่อหน้าหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ทำตามกฎระเบียบ แต่พอลับตาก็แหกกฎ กราบพระก็ไม่สำรวม ไม่สวย ดีที่เป็นคนหัวเร็ว เรียนดี ตั้งใจเรียนในเวลาเรียน หลวงพ่อท่านจึงยังเอ็นดู

               อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อเกิดขัดหูขัดตาสามเณรหนุ่ยขึ้นมา เพราะเห็นกราบพระไม่สวยนั่นเอง จึงเรียกมาอบรม “เณรหนุ่ยคือกราบพระบ่งามแถะ เทือหน้าหัดกราบพระงาม ๆ ตั้งใจแน บ่สั่นหลวงพ่อจะทำโทษแล้วนะ” หลวงพ่ออบรม “หลวงพ่อเบิ่งมาหลายเทือแล้ว กราบพระหยังคือกราบลวก ๆ คัก เป็นพระเป็นเณรมีการศึกษาเฮ็ดงาม ๆ ดี ๆ แนเป็นหยัง ญาติโยมเพิ่นกะฮัก”

               “ครับหลวงพ่อ เทือหน้าผมสิตั้งใจกราบพระครับ” สามเณรหนุ่ยรับปาก

               “นอกจากกราบพระอยู่ศาลาแล้ว เวลาเข้ากุฏิเณรกราบพระจักเทือบ่” หลวงพ่อถาม เพราะรู้นิสัยลูกศิษย์แต่ละคนดี

               “ตะกี้กราบอยู่ครับ ซุมื้อหนิเซากราบแล้วขี้คร้าน” ลุงหนุ่ยทำเสียงต่ำเสียงสูง เวลาแทนตัวเองเป็นหลวงพ่อก็ทำเสียงต่ำ เวลาแทนตัวเองเป็นตัวเองก็ทำเสียงสูงอย่างตลก

               “เอ้าเป็นหยังคือบ่กราบ บ่ย่านผีหลอกบ่ ระวังเด้อผีสิดึงไปเข้าเบ้าเอาเด้อ” หลวงพ่อขู่

               “ขี้คร้านยังวะครับ อยู่ต่อหน้าหลวงพ่อผมกะเฮ็ดอยู่ ตะบ่เห็นหลวงพ่อผมกะบ่เฮ็ด แล้วกะอย่ามาหาตั๋วผมหลายเรื่องผีน่ะ ผีไม่มีในโลกครับ!” ลุงหนุ่ยเล่าประโยคท้ายเป็นภาษากลาง

               “จากนั้นข่อยเลยท้าหลวงพ่อว่า ถ้าผีมีจริงกะมาโลด ผมสิขอเลขสามโต” ลุงหนุ่ยกล่าว ทำเอาย่ากับย่าน้อยหัวเราะตามไปด้วย พ่อกับลุงวิทย์และคนอื่นก็ขำไปตาม ๆ กัน ทุกคนตั้งใจฟังมาก นั่งคุยกันใต้ถุนบ้านของย่า มีถามแทรกบ้าง ซึ่งขัดใจบอสเหลือเกิน กลัวลุงไม่เล่าต่อจนจบ แต่ลุงหนุ่ยก็เล่าต่อไปอีก

               “เอาไปหยังเลขสามโต” หลวงพ่อถามเณรหนุ่ย

               “เอาไปให้พ่อกับแม่ซื้อครับ พ่อแม่ทุกข์” สามเณรหนุ่ยก็ตอบไปตามตรง

               “อยากเห็นอิหลิบ่ผี?” หลวงพ่อถามอีกรอบ

               “อยากเห็นครับ ผมบ่ย่านหรอก หลวงพ่ออย่ามาตั๋ว ๆ” เณรหนุ่ยท้าทายตามประสาคนดื้อ หลวงพ่อยิ้มและได้ท้าให้เณรหนุ่ยไปนอนที่เตาเผาศพในคืนนี้ และเณรหนุ่ยก็รับคำท้า พอสนทนากับหลวงพ่อจบ เณรหนุ่ยก็รีบนำไม้กวาดไปปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณเตาเผาศพ เพื่อเตรียมนอนสำหรับคืนนี้ เพราะอยากเจอผีนั่นเอง

               “มืงไปนอนอิหลิติบาดหนิ” พ่อถาม ไม่ค่อยจะเชื่อที่น้องชายเล่าเท่าไหร่

               “เอ้ากูกะไปนอนอิหลิล่ะน้อ” ลุงหนุ่ยตอบพ่อ จากนั้นหันไปทางย่ากับย่าน้อยที่ตั้งใจฟังมาก “ข่อยกะเอาไม่กวาดไปกวาดขี้เถ้าออกทวน ๆ พุ่นแหล่ว พระลูกวัดมายืนเบิ่งข่อยเฮ็ด บ่มีไผเชื่อว่าข่อยสิกล้านอน ถอนโตกะได้เด้อเณรพุ่นแหล่วบอกข่อย ข่อยกะว่าบ่ ๆ คืนหนิสิถ่าเบิ่งผี” ลุงหนุ่ยเล่า พวกเธอทั้งสี่คนพี่น้องนั่งหน้าสลอนตั้งใจฟังมากเช่นกัน

               “ป้าดสุวิทย์มืงคือใจแถะวะ คัก ๆ กูบ่ไปแม่มันเด้อกู ไผท้ากะซาง” ลุงวิทย์แซวน้องชายลูกพี่ลูกน้องบ้าง

               พวกเธอหันหน้ามองกัน แล้วหัวเราะให้กัน พึ่งจะรู้ชื่อจริงของลุงหนุ่ยก็วันนี้ นึกตลกที่ชื่อจริงของลุงหนุ่ยไปพ้องกับชื่อลุงวิทย์พอดี จึงแซวไปตามประสา “นั่นสุวิทย์!” ชี้ไปทางลุงหนุ่ย “นี่ประวิทย์” แล้วชี้ไปทางลุงวิทย์พ่อของสองฝาแฝด ลุงหนุ่ยก็ขำไปด้วย จากนั้นลุงหนุ่ยก็เล่าต่อเพราะกำลังติดลม ด้วยเห็นพวกเธอสนใจฟังด้วย

               คืนนั้นเณรหนุ่ยได้ไปกางมุ้งนอนที่เตาเผาศพจริง ๆ ตามคำท้าของหลวงพ่อ มีพระลูกวัดไปแอบดูว่าเณรหนุ่ยจะแอบเข้ากุฏิไปหรือเปล่า แต่เณรหนุ่ยรู้ตัวว่ามีคนแอบดู จึงพูดไล่ให้กลับกุฏิไปได้แล้ว ไม่ต้องมาแอบดูว่าจะหนีหรอก จากนั้นพระลูกวัดก็กลับ ก่อนกลับก็มิวายเป็นห่วงชวนให้เณรหนุ่ยกลับด้วย ทว่าเณรหนุ่ยก็ยังยืนยันจะนอนที่เตาเผาศพต่อ

               ตอนเช้าหลังบิณฑบาตเสร็จเณรหนุ่ยได้รีบไปหาหลวงพ่อเจ้าอาวาส เพื่อไปเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่เห็นผีสักตน เสียงกร่อก ๆ แกร่ง ๆ ก็ไม่ได้ยินสักแอะ

               เมื่อหลวงพ่อเห็นลูกศิษย์เดินหน้าระรื่นมาจึงถามขึ้นก่อน “เป็นจังใดมื้อคืน เห็นผีบ่?” หลวงพ่อถาม หลวงพ่อเชื่อว่าเณรหนุ่ยได้ไปนอนที่เตาเผาศพจริง เพราะแอบไปดูมาเหมือนกัน

               “หื้ย!!! บ่เห็นมีหยังครับ ผีไม่มีในโลก ไม่มีอะไรในกอไผ่ครับหลวงพ่อ” เณรหนุ่ยล้อเลียนเจ้าอาวาสวัด “ตั๋วคนจังผมบ่ได้หรอกคร้าบ”

               “อยากเห็นอิหลิบ่ผีเดี๋ยวหนิ?” หลวงพ่อถามอีก นึกอยากกำหลาบเด็กหัวดื้อให้หลาบจำสักหน่อย

               “อยากเห็นครับ… มาโลด ๆ บ่ย่าน สิขอเลขสามตัวตรงให้พ่อกับแม่ซื้อ” เณรหนุ่ยก็ย้ำหนักแน่นเช่นกัน

               “ขั้นอยากเห็นหลวงพ่อกะสิเห็น” หลวงพ่อพูด “ไป… ไปหากวาดลานวัดให้แปน ๆ พุ่น กวาดแล้วกะไปหาท่องหนังสือหนังหาเด้อ สิได้เห็นหรอกผีนั่นขั้นอยากเห็นอิหลิกะดาย” พูดจบก็ไล่เณรหนุ่ยให้กลับไป

               “มาโลด ๆ ถ่าเบิ่งอยู่ครับ” เณรหนุ่ยไม่สะทกสะท้าน เพราะไม่นึกกลัว จากนั้นก็ไปทำงานตามหลวงพ่อสั่ง พอเณรหนุ่ยไปลับตาแล้ว หลวงพ่อจึงได้อธิษฐาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่