ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ ในทุกช่องทาง ยูทุบ ไอทุบ ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน จักรวาลไหน sister universe หลุมดำ หลุมขาว โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม พหุจักรวาล โลกอนาคต ห้าม ทั้งนั้น ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น เท่านั้น
เรื่องนี้ ขอแบ่งเป็น สองกระทู้นะครับ
.....
วันนั้น ขณะที่ผมกับลุงนพ จอมขมังเวท กำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องของเครื่องราง ของขลัง เวทมนตร์คาถา เลขท้ายสองตัว สาวสวย และเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ประมาณบ่ายแก่ ๆ มีผู้ชายตัวผอมคนหนึ่ง ชื่อน้าชัย อายุประมาณสามสิบกว่าปี มาหาลุงถึงบ้าน ผมเคยเห็นหน้าค่าตา น้าชัยคนนี้ว่าอยู่ต่างหมู่บ้าน ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไร น้าชัยสนใจเรื่องไสยเวทมนตร์ดำอยู่เหมือนกัน เพราะเห็นแกมาปรึกษาหารือลุงของผมหลายครั้ง
เห็นสีหน้าท่าทาง ก็พอจะเดาได้ว่า น้าชัยจะต้องมีเรื่องไม่สบายใจ มาฝากอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่สังหรณ์ใจ
หลังจากนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ข้างบ้าน ดื่มน้ำดื่มท่าพอเป็นพิธี น้าชัยก็เริ่มเล่าเข้าประเด็น โดยไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แกบอกว่า พี่ชายฝาแฝดที่ชื่อ โชติ ถูกผีเข้า อยากให้ลุงรีบไปไล่ผี เพราะท่าทางจะแย่แล้ว
ลุงนพไม่ได้มีท่าทางรีบร้อน แต่ชวนคุยว่าน้าชัยวิชาอาคมก็มีอยู่ ทำไมไม่ไล่ผีเสียเอง น้าชัยส่ายหน้าตอบว่า ไม่ไหว ครั้งนี้มันแรง พลางเร่งให้ลุงนพออกเดินทางโดยเร็ว
ลุงนพบอกให้ใจเย็น ว่าจะทำอะไรก็ต้อง ดูวัน ดูเวลา ดูตาม้า ดูตาเรือ รู้เขา รู้เรา ไล่ผีร้อยครั้ง ผีออกร้อยครา พูดแล้วลุงนพก็หัวเราะตามสไตล์ตลกร้ายของแก
ผมเคยเห็นหน้าค่าตาแฝดสอง ทั้งน้าชัยและน้าโชติ พร้อมกัน เปรียบเทียบกันแล้ว รูปร่างหน้าตาคล้ายกันมาก เวลาเกิดจึงถือว่าใกล้เคียงกันมาก น่าจะลงเวลาเกิดเหมือนกัน น้าโชติออกครรภ์มาก่อน จึงเรียกว่าแฝดน้อง ส่วนน้าชัยคลอดตามหลังมา ก็เลยถูกเรียกว่าแฝดพี่ เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า พี่ต้องเสียสละให้น้องออกมาก่อน ส่วนบางคนก็บอกว่า เป็นเรื่องความเชื่อ ว่าเด็กคลอดใหม่ ๆ อาจจะมีภูตผีปีศาจจ้องมาเอาตัวไป ก็เลยต้องมีการเรียกสับขาหลอก ‘เรียกหลอกผี’ เพื่อทำให้ผีสับสน ไม่รู้ว่าคนไหน เป็นพี่หรือเป็นน้องกันแน่ เหมือนกับที่ชอบพูดถึงเด็กแรกเกิดว่า ‘น่าเกลียดน่าชัง’ นั่นแหละครับ ผีก็คงว่า น่าเกลียดน่าชังตรงไหน(วะ) ฟังดูก็แปลก ๆ ว่าผีมันไม่ฉลาดหรืออย่างไร ถึงสับสนไม่รู้ว่าใครพี่ ใครน้อง แต่มันก็เป็นเรื่องความเชื่อ หรือไม่ก็เป็นเรื่องของมุมมองข้อแม้ในโลกวิญญาณ ที่คนเราไม่เข้าใจ คนกับผี อาจมองด้วยวิธีการรับรู้ต่างกัน ก็เป็นได้
น้าชัยเล่าว่าพี่ชายของแกไปเที่ยวงานสงกรานต์ต่างอำเภอ เที่ยวบ้านเพื่อนได้สามวันกลับมา ก็มีท่าทางเหมือนคนป่วยไข้ และหลังจากนั้น ก็เริ่มอาการผิดปกติ หูตาขวาง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมกินข้าวกินปลาเสียงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ลุงนพเลียบเคียงถามว่า แล้วพวกของดิบ เลือด เครื่องใน ไม่กินเหรอ น้าชัยถอนใจ ส่ายหน้าตอบว่า น้องชายบอกไม่กิน แต่กูจะกินไอ้นี่ ว่าพลางเอามือชี้หน้าอกตัวเอง
สงสัยไม่ใช่ปอบ ลุงนพพูดพึมพำ เอามือเกาหัว ทำหน้าครุ่นคิด แล้วบอกว่าถ้าเป็นปอบ จะต้องกินของสด ของคาว แต่ก็ไม่แน่ ยังไงจะต้องไปดูให้เห็นกับตาเสียก่อน ฟังดูมันแปลก ๆ แต่ขอเป็นพรุ่งนี้ จะได้เตรียมสิ่งของจำเป็น
น้าชัยลุกขึ้น รบเร้าให้รีบไป เดี๋ยวจะไม่ทันการ ทำเอาลุงนพโบกมือปฏิเสธ บอกว่าต้องเตรียมตัวก่อน เท่าที่ฟังดูยังไม่มีอะไร ท่าทางของน้าชัยดูค่อนข้างผิดหวัง ขณะขอตัวกลับบ้าน ผมก็ได้แต่นึกสงสัยว่า ทำไมลุงนพไม่รีบไปช่วย เดี๋ยวก็ตายก่อนหรอก ลุงนพยังพึมพำว่า มันแปลก ๆ ชอบกล น้าโชติที่ว่า ไม่ใช่คนชอบไปมีเรื่องกับใคร ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามีอะไรแปลกตรงไหน
วันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ดังนั้นเรื่องดี ๆ มีหรือจะพลาด ผมขอติดตามลุงนพไปดูการไล่ผี ฐานะพยานบุคคล ซึ่งลุงก็ไม่ปฏิเสธ บอกว่าดี จะมีผู้ช่วย นัดให้ผมมาหาตอนบ่าย จะได้เดินทางกัน
พอถึงวันอาทิตย์ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราลุงหลานสะพายย่ามข้างตัว ออกจากบ้านช่วงบ่าย เดินทางแบบไม่รีบร้อน เพราะบ้านน้าชัยอยู่ในระยะเดินเท้า ไปมาหาสู่กันได้ ใช้เวลาเดินประมาณเกือบชั่วโมง ซึ่งไม่เป็นปัญหา ไกลกว่านี้หลายเท่าก็ยังเคย เราสองลุงหลานเดินตามทางเกวียน ลัดเลาะไปตามป่าละเมาะ เทือกสวนไร่นา ลำห้วย ป่าโปร่ง แบบคุ้นเคยเส้นทาง ไปถึงหมู่บ้านน้าชัยก็ประมาณบ่ายสองกว่า
บ้านหลังใหญ่ของน้าชัย เป็นไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนสูงแบบทรงโบราณ อยู่กับภรรยาและลูก ๆ อีกสามคน ความจริงน้าโชติ คนที่คาดเดาว่าถูกผีเข้า อาศัยอยู่บ้านปู่ ซึ่งบ้านปู่ก็อยู่ข้าง ๆ กันนั่นเอง มีรั้วไม้ไผ่กั้นพอเป็นพิธี ข้ามไปมาหาสู่กันได้สะดวก แต่พอน้าโชติมีอาการประหลาด ก็ต้องย้ายมานอนพักรักษาตัว ที่บ้านน้องชายชั่วคราว เพราะปู่กับย่าอายุมากแล้ว หลับยาก ต่างพากันรำคาญเสียงร้องของน้าโชติ จนนอนไม่หลับ
ที่แคร่ไม้ไผ่ ใต้ถุนบ้าน น้าชัยกับครอบครัวนั่งรออยู่แล้ว พอเห็นลุงนพกับผม ต่างพากันต้อนรับอย่างดีใจ ชื่อเสียงของลุงผม เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ดังข้ามอำเภอกันเลยทีเดียว ถึงจะอายุสี่สิบกว่า แต่ลุงยังหน้าตาหล่อ เป็นโสดอีกต่างหาก เห็นมีสาวชาวบ้านหลายคน มาด้อม ๆ มอง ๆ แล้วปิดปากหัวเราะกันคิกคัก แต่ลุงสุดหล่อของผมนิ่งสำรวมไม่สั่นไหว นั่นทำให้ดูดีมากขึ้นไปอีก เข้าทำนองว่า คนหล่อทำอะไรก็ดูดีไปหมด
หลังจากดื่มน้ำฝนเย็น ๆ หายเหนื่อย ลุงนพก็ถามถึงคนป่วย น้าชัยไม่เสียเวลา เดินนำหน้าขึ้นไปบนนอกชาน ผ่านเข้าห้องโถง เข้าไปถึงห้องนอนประตูเปิดอ้ารออยู่ น้าชัยพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เข้าไป
ผมเริ่มใจสั่น ประสาทเริ่มเสีย ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป อย่าลืมว่าผมยังเด็กนะครับ ไม่ใช่เด็กสู้ผีที่ไหน
มุมห้องด้านในสุด ร่างผอมสูงของน้าโชตินอนนิ่ง หันหลังอยู่บนฟูก ผ้าห่มคลุมถึงไหล่ ไม่สนใจว่าใครจะมาเยี่ยมมาหา หน้าต่างสองบานถูกปิดเอาไว้ ทำให้บรรยากาศภายในห้องสลัว ๆ ชวนอึดอัด ลุงแกยืนมองไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อย ๆ นั่งลงขัดสมาธินิ่งอยู่ สีหน้าสงบ ทำให้ผมกับน้าชัยต้องนั่งลงตามไปด้วย
ข้างฟูกนอนคนป่วย มีถ้วยชามอาหารพื้นบ้านวางอยู่ แต่ไม่มีร่องรอยการถูกกินแม้แต่น้อย แม้แต่ขวดน้ำก็ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มขวด
หลังจากนั่งดูปฏิกิริยาอึดใจหนึ่ง ลุงนพก็พูดเปรย ๆ ขึ้นว่า อากาศในห้องมันอึดอัดนะ หายใจไม่ค่อยสะดวก เปิดหน้าต่างน่าจะดี ว่าพลางก็หันมาพยักหน้าให้ผม ซึ่งรู้ทางกันเป็นอย่างดี ผมลุกขึ้นเดินตรงไปยังหน้าต่าง ดึงกลอนโลหะขึ้นจากร่อง เปิดหน้าต่างไม้แบบบานพับออกรับลม หางตาคอยชำเลืองมองร่างของน้าโชติอย่างไม่ค่อยไว้ใจ กลัวว่าแกจะทำอะไรให้ตกใจ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเปิดหน้าต่างครบทั้งสองบาน จึงเดินกลับมานั่งข้างลุงนพอย่างโล่งอก
แต่ยังไม่ทันจะได้โล่งใจ หน้าต่างทั้งสองบาน ที่เพิ่งเปิดกว้างออก ก็เริ่มปิดเข้าอย่างช้า ๆ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็น กำลังดึงบานหน้าต่างปิดเข้าแบบใจเย็น เสียงบานพับเก่า ๆ ดังเอี๊ยด...ลากยาว ตามด้วยเสียงตัวกลอนกระแทกล็อก ทำเอาผมเริ่มหน้าตาตื่น ท่าทางไม่ดีเสียแล้ว แต่ก็พยายามทำนิ่ง ไม่ให้เสียชื่อลุงของผม ไหน ๆ ก็มาด้วยกัน
เสียงหัวเราะแหบ ๆ แต่ผมไม่กล้ามอง
นี่มันกลางวันนะขอรับ จะไม่ไว้หน้ากันเลยหรืออย่างไร ผมคิดแล้วเริ่มปาดเหงื่อ แต่พอเห็นลุงนพยังคงนั่งด้วยสีหน้าปกติ จึงใจชื้นขึ้นมาบ้าง ส่วนร่างที่นอนหันหลังสงบนิ่ง ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดให้ตื่นเต้นหลังการแสดงต้อนรับเล็ก ๆ น้อย ๆ
ลุงนพถอนลมหายใจเฮือก หันมองผมอีก พยักพเยิด บู้ยใบ้ให้รู้ ลองอีกสักทีสิ แกคงว่าอย่างนั้น จะลองอะไรกันนักกันหนา ผมบ่นในใจ เพราะเริ่มรับรู้ความผิดปกติ แต่เมื่อลุงสั่งก็ต้องทำ ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้ใช้ขอสับเสียบลงไปในห่วงรับขอสับ เพื่อความรอบคอบ ป้องกันไม่ให้หน้าต่างปิดเอง คราวนี้แน่จริงก็ลองเปิดดูสิ.... ผมนึกท้าอยู่ในใจ ขณะเดินกลับมานั่งตามเดิม
มีเสียงหัวเราะแหบพร่าดังมาจากร่างของน้าโชติ เป็นเสียงของคนแก่กำลังชอบอกชอบใจ ผมรีบขยับเข้าใกล้ลุงนพทันที เพราะเริ่มขนลุกกับเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่ากลัวเพิ่มขึ้นทุกที หลังจากหัวเราะจนตัวสั่นจบลง มีพูดช้า ๆ เสียงต่ำ ๆ เแบบยานคางว่า ไอ้หนูคนนี้มันฉลาดดี ข้าชักจะชอบมันเข้าให้แล้วสิ...น่าจะเอาไปอยู่ด้วย ผมฟังแล้วสะดุ้งโหยง เพราะในห้องมีผมคนเดียวเป็นไอ้หนู ไม่เอา... จะมารักมาชอบทำไม ยังไงก็ไม่เล่นด้วย
ทันใดนั้น มีเสียงดัง กริ๊ก จากทางหน้าต่าง น่าจะเป็นเสียงตะขอสับ หลุดออกจากห่วงรับ คราวนี้หน้าต่างทั้งสองบานกระแทกเปรี้ยงปิดเข้าอย่างแรง จนทำให้ทุกคนสะดุ้ง
ลุงนพลุกขึ้น ดึงแขนของผมให้ลุกขึ้นด้วย พลางพูดว่า เอ้อ...ท่าทางไม่ค่อยเข้าท่า มีอะไรแปลก ๆ แถม แรง เสียด้วย เผ่นตั้งหลักกันก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็ลากแขนผมออกมาจากห้อง น้าชัยเองก็ไม่ยอมอยู่ ตามหลังออกมาติด ๆ แต่ก็กล้าพอจะหันไปปิดประตูห้อง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพักนี้ ลุงถึงมักพูดว่ามีอะไรแปลก ๆ หลายครั้งแล้ว
ใต้ถุนบ้าน มีผู้คนเพิ่มขึ้นมาหลายคน คงเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนี้ ได้ข่าวผู้ทรงวิชา จึงพากันมาสังเกตการณ์ รุมล้อมซักถาม ฟังกันจนแทบไม่ได้ศัพท์ จนลุงนพต้องโบกมือห้าม จึงพากันลดเสียงลง
หมอผีรูปหล่อมีโอกาส พูดขึ้นว่า นี่ไม่ใช่ผีธรรมดา ถ้าเป็นปอบก็คงเป็นปอบระดับสูง หรือจะเป็นผีอะไรก็ยังไม่ทราบ คงต้องดูกันไปก่อน คืนนี้ค่อยว่ากันใหม่ กลางวันทำอะไรมันไม่ค่อยได้ นิสัยมันต่างจากผีตัวอื่น เป็นผีอาคม คำพูดของลุงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันจอกแจกจอแจ ว่ากันไปต่าง ๆ นานา เพราะส่วนใหญ่ พากันทายว่า เป็นผีปอบกันทั้งนั้น
ลุงนพทำหน้านิ่งคิดอะไรอยู่ในใจ สักพักจึงหันไปทางพวกชาวบ้าน พูดเสียงดัง ๆ ว่า คืนนี้จะมีการไล่ผี ขอให้ทุกคนอยู่ในบ้าน ตั้งแต่หัวค่ำ อย่าออกนอกบ้านเป็นอันขาด ของมันแรง พวกอาถรรพ์วิญญาณชั่วร้าย ลมเพลมพัด ไปเข้าตัวของใครจะซวย เผลอ ๆ ตอนนี้ของอาถรรพ์คุณไสย อาจกำลังลอยป้วนเปี้ยนอยู่แล้วก็เป็นได้
คำพูดของลุง ทำให้พวกชาวบ้านเริ่มหน้าเสีย พากันถอยห่าง แยกย้ายกันกลับบ้านทันที
ผมกระตุกชายเสื้อของลุงนพ กระซิบว่า ลุงครับ ที่พูดนั้นโกหก ผิดศีลข้อ 4 ห้ามโกหก ลุงจ้องหน้าผม ทำหน้าจริงจัง โกหกที่ไหนกัน นี่มันเรื่องจริง ว่าแล้วก็เดินไปคุยกับน้าชัย ทำท่าเหมือนปรึกษานัดแนะ อะไรกันบางอย่าง ทำเอาผมยืนเกาหัวด้วยความสงสัย ว่าลุงแกพูดจริง หรือพูดเล่นกันแน่
ก่อนค่ำ ลุงนพให้ผมรออยู่ที่บ้านน้าชัย แกขอตัวไปทำธุระบางอย่าง บอกจะกลับมาตอนเย็น ๆ ผมทำตามคำสั่งอย่างไม่อิดออด เพราะรู้ว่าลุงนพต้องมีเหตุผลของแก
หลังจากหายไปนาน ลุงนพกลับมาช่วงตะวันชิงพลบ รู้สึกว่าย่ามสะพายขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แสดงว่ามีสิ่งของเพิ่มเติม ผมไม่ได้สนใจ คิดว่าถึงเวลาก็คงรู้เอง
...
คืนไล่ผี...1/2
ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ ในทุกช่องทาง ยูทุบ ไอทุบ ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน จักรวาลไหน sister universe หลุมดำ หลุมขาว โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม พหุจักรวาล โลกอนาคต ห้าม ทั้งนั้น ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น เท่านั้น
เรื่องนี้ ขอแบ่งเป็น สองกระทู้นะครับ
.....
วันนั้น ขณะที่ผมกับลุงนพ จอมขมังเวท กำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องของเครื่องราง ของขลัง เวทมนตร์คาถา เลขท้ายสองตัว สาวสวย และเรื่องสัพเพเหระต่าง ๆ ประมาณบ่ายแก่ ๆ มีผู้ชายตัวผอมคนหนึ่ง ชื่อน้าชัย อายุประมาณสามสิบกว่าปี มาหาลุงถึงบ้าน ผมเคยเห็นหน้าค่าตา น้าชัยคนนี้ว่าอยู่ต่างหมู่บ้าน ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไร น้าชัยสนใจเรื่องไสยเวทมนตร์ดำอยู่เหมือนกัน เพราะเห็นแกมาปรึกษาหารือลุงของผมหลายครั้ง
เห็นสีหน้าท่าทาง ก็พอจะเดาได้ว่า น้าชัยจะต้องมีเรื่องไม่สบายใจ มาฝากอย่างแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่สังหรณ์ใจ
หลังจากนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ข้างบ้าน ดื่มน้ำดื่มท่าพอเป็นพิธี น้าชัยก็เริ่มเล่าเข้าประเด็น โดยไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แกบอกว่า พี่ชายฝาแฝดที่ชื่อ โชติ ถูกผีเข้า อยากให้ลุงรีบไปไล่ผี เพราะท่าทางจะแย่แล้ว
ลุงนพไม่ได้มีท่าทางรีบร้อน แต่ชวนคุยว่าน้าชัยวิชาอาคมก็มีอยู่ ทำไมไม่ไล่ผีเสียเอง น้าชัยส่ายหน้าตอบว่า ไม่ไหว ครั้งนี้มันแรง พลางเร่งให้ลุงนพออกเดินทางโดยเร็ว
ลุงนพบอกให้ใจเย็น ว่าจะทำอะไรก็ต้อง ดูวัน ดูเวลา ดูตาม้า ดูตาเรือ รู้เขา รู้เรา ไล่ผีร้อยครั้ง ผีออกร้อยครา พูดแล้วลุงนพก็หัวเราะตามสไตล์ตลกร้ายของแก
ผมเคยเห็นหน้าค่าตาแฝดสอง ทั้งน้าชัยและน้าโชติ พร้อมกัน เปรียบเทียบกันแล้ว รูปร่างหน้าตาคล้ายกันมาก เวลาเกิดจึงถือว่าใกล้เคียงกันมาก น่าจะลงเวลาเกิดเหมือนกัน น้าโชติออกครรภ์มาก่อน จึงเรียกว่าแฝดน้อง ส่วนน้าชัยคลอดตามหลังมา ก็เลยถูกเรียกว่าแฝดพี่ เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า พี่ต้องเสียสละให้น้องออกมาก่อน ส่วนบางคนก็บอกว่า เป็นเรื่องความเชื่อ ว่าเด็กคลอดใหม่ ๆ อาจจะมีภูตผีปีศาจจ้องมาเอาตัวไป ก็เลยต้องมีการเรียกสับขาหลอก ‘เรียกหลอกผี’ เพื่อทำให้ผีสับสน ไม่รู้ว่าคนไหน เป็นพี่หรือเป็นน้องกันแน่ เหมือนกับที่ชอบพูดถึงเด็กแรกเกิดว่า ‘น่าเกลียดน่าชัง’ นั่นแหละครับ ผีก็คงว่า น่าเกลียดน่าชังตรงไหน(วะ) ฟังดูก็แปลก ๆ ว่าผีมันไม่ฉลาดหรืออย่างไร ถึงสับสนไม่รู้ว่าใครพี่ ใครน้อง แต่มันก็เป็นเรื่องความเชื่อ หรือไม่ก็เป็นเรื่องของมุมมองข้อแม้ในโลกวิญญาณ ที่คนเราไม่เข้าใจ คนกับผี อาจมองด้วยวิธีการรับรู้ต่างกัน ก็เป็นได้
น้าชัยเล่าว่าพี่ชายของแกไปเที่ยวงานสงกรานต์ต่างอำเภอ เที่ยวบ้านเพื่อนได้สามวันกลับมา ก็มีท่าทางเหมือนคนป่วยไข้ และหลังจากนั้น ก็เริ่มอาการผิดปกติ หูตาขวาง เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมกินข้าวกินปลาเสียงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ลุงนพเลียบเคียงถามว่า แล้วพวกของดิบ เลือด เครื่องใน ไม่กินเหรอ น้าชัยถอนใจ ส่ายหน้าตอบว่า น้องชายบอกไม่กิน แต่กูจะกินไอ้นี่ ว่าพลางเอามือชี้หน้าอกตัวเอง
สงสัยไม่ใช่ปอบ ลุงนพพูดพึมพำ เอามือเกาหัว ทำหน้าครุ่นคิด แล้วบอกว่าถ้าเป็นปอบ จะต้องกินของสด ของคาว แต่ก็ไม่แน่ ยังไงจะต้องไปดูให้เห็นกับตาเสียก่อน ฟังดูมันแปลก ๆ แต่ขอเป็นพรุ่งนี้ จะได้เตรียมสิ่งของจำเป็น
น้าชัยลุกขึ้น รบเร้าให้รีบไป เดี๋ยวจะไม่ทันการ ทำเอาลุงนพโบกมือปฏิเสธ บอกว่าต้องเตรียมตัวก่อน เท่าที่ฟังดูยังไม่มีอะไร ท่าทางของน้าชัยดูค่อนข้างผิดหวัง ขณะขอตัวกลับบ้าน ผมก็ได้แต่นึกสงสัยว่า ทำไมลุงนพไม่รีบไปช่วย เดี๋ยวก็ตายก่อนหรอก ลุงนพยังพึมพำว่า มันแปลก ๆ ชอบกล น้าโชติที่ว่า ไม่ใช่คนชอบไปมีเรื่องกับใคร ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามีอะไรแปลกตรงไหน
วันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ดังนั้นเรื่องดี ๆ มีหรือจะพลาด ผมขอติดตามลุงนพไปดูการไล่ผี ฐานะพยานบุคคล ซึ่งลุงก็ไม่ปฏิเสธ บอกว่าดี จะมีผู้ช่วย นัดให้ผมมาหาตอนบ่าย จะได้เดินทางกัน
พอถึงวันอาทิตย์ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราลุงหลานสะพายย่ามข้างตัว ออกจากบ้านช่วงบ่าย เดินทางแบบไม่รีบร้อน เพราะบ้านน้าชัยอยู่ในระยะเดินเท้า ไปมาหาสู่กันได้ ใช้เวลาเดินประมาณเกือบชั่วโมง ซึ่งไม่เป็นปัญหา ไกลกว่านี้หลายเท่าก็ยังเคย เราสองลุงหลานเดินตามทางเกวียน ลัดเลาะไปตามป่าละเมาะ เทือกสวนไร่นา ลำห้วย ป่าโปร่ง แบบคุ้นเคยเส้นทาง ไปถึงหมู่บ้านน้าชัยก็ประมาณบ่ายสองกว่า
บ้านหลังใหญ่ของน้าชัย เป็นไม้ทั้งหลัง ใต้ถุนสูงแบบทรงโบราณ อยู่กับภรรยาและลูก ๆ อีกสามคน ความจริงน้าโชติ คนที่คาดเดาว่าถูกผีเข้า อาศัยอยู่บ้านปู่ ซึ่งบ้านปู่ก็อยู่ข้าง ๆ กันนั่นเอง มีรั้วไม้ไผ่กั้นพอเป็นพิธี ข้ามไปมาหาสู่กันได้สะดวก แต่พอน้าโชติมีอาการประหลาด ก็ต้องย้ายมานอนพักรักษาตัว ที่บ้านน้องชายชั่วคราว เพราะปู่กับย่าอายุมากแล้ว หลับยาก ต่างพากันรำคาญเสียงร้องของน้าโชติ จนนอนไม่หลับ
ที่แคร่ไม้ไผ่ ใต้ถุนบ้าน น้าชัยกับครอบครัวนั่งรออยู่แล้ว พอเห็นลุงนพกับผม ต่างพากันต้อนรับอย่างดีใจ ชื่อเสียงของลุงผม เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ดังข้ามอำเภอกันเลยทีเดียว ถึงจะอายุสี่สิบกว่า แต่ลุงยังหน้าตาหล่อ เป็นโสดอีกต่างหาก เห็นมีสาวชาวบ้านหลายคน มาด้อม ๆ มอง ๆ แล้วปิดปากหัวเราะกันคิกคัก แต่ลุงสุดหล่อของผมนิ่งสำรวมไม่สั่นไหว นั่นทำให้ดูดีมากขึ้นไปอีก เข้าทำนองว่า คนหล่อทำอะไรก็ดูดีไปหมด
หลังจากดื่มน้ำฝนเย็น ๆ หายเหนื่อย ลุงนพก็ถามถึงคนป่วย น้าชัยไม่เสียเวลา เดินนำหน้าขึ้นไปบนนอกชาน ผ่านเข้าห้องโถง เข้าไปถึงห้องนอนประตูเปิดอ้ารออยู่ น้าชัยพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เข้าไป
ผมเริ่มใจสั่น ประสาทเริ่มเสีย ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป อย่าลืมว่าผมยังเด็กนะครับ ไม่ใช่เด็กสู้ผีที่ไหน
มุมห้องด้านในสุด ร่างผอมสูงของน้าโชตินอนนิ่ง หันหลังอยู่บนฟูก ผ้าห่มคลุมถึงไหล่ ไม่สนใจว่าใครจะมาเยี่ยมมาหา หน้าต่างสองบานถูกปิดเอาไว้ ทำให้บรรยากาศภายในห้องสลัว ๆ ชวนอึดอัด ลุงแกยืนมองไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อย ๆ นั่งลงขัดสมาธินิ่งอยู่ สีหน้าสงบ ทำให้ผมกับน้าชัยต้องนั่งลงตามไปด้วย
ข้างฟูกนอนคนป่วย มีถ้วยชามอาหารพื้นบ้านวางอยู่ แต่ไม่มีร่องรอยการถูกกินแม้แต่น้อย แม้แต่ขวดน้ำก็ยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มขวด
หลังจากนั่งดูปฏิกิริยาอึดใจหนึ่ง ลุงนพก็พูดเปรย ๆ ขึ้นว่า อากาศในห้องมันอึดอัดนะ หายใจไม่ค่อยสะดวก เปิดหน้าต่างน่าจะดี ว่าพลางก็หันมาพยักหน้าให้ผม ซึ่งรู้ทางกันเป็นอย่างดี ผมลุกขึ้นเดินตรงไปยังหน้าต่าง ดึงกลอนโลหะขึ้นจากร่อง เปิดหน้าต่างไม้แบบบานพับออกรับลม หางตาคอยชำเลืองมองร่างของน้าโชติอย่างไม่ค่อยไว้ใจ กลัวว่าแกจะทำอะไรให้ตกใจ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเปิดหน้าต่างครบทั้งสองบาน จึงเดินกลับมานั่งข้างลุงนพอย่างโล่งอก
แต่ยังไม่ทันจะได้โล่งใจ หน้าต่างทั้งสองบาน ที่เพิ่งเปิดกว้างออก ก็เริ่มปิดเข้าอย่างช้า ๆ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็น กำลังดึงบานหน้าต่างปิดเข้าแบบใจเย็น เสียงบานพับเก่า ๆ ดังเอี๊ยด...ลากยาว ตามด้วยเสียงตัวกลอนกระแทกล็อก ทำเอาผมเริ่มหน้าตาตื่น ท่าทางไม่ดีเสียแล้ว แต่ก็พยายามทำนิ่ง ไม่ให้เสียชื่อลุงของผม ไหน ๆ ก็มาด้วยกัน
เสียงหัวเราะแหบ ๆ แต่ผมไม่กล้ามอง
นี่มันกลางวันนะขอรับ จะไม่ไว้หน้ากันเลยหรืออย่างไร ผมคิดแล้วเริ่มปาดเหงื่อ แต่พอเห็นลุงนพยังคงนั่งด้วยสีหน้าปกติ จึงใจชื้นขึ้นมาบ้าง ส่วนร่างที่นอนหันหลังสงบนิ่ง ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดให้ตื่นเต้นหลังการแสดงต้อนรับเล็ก ๆ น้อย ๆ
ลุงนพถอนลมหายใจเฮือก หันมองผมอีก พยักพเยิด บู้ยใบ้ให้รู้ ลองอีกสักทีสิ แกคงว่าอย่างนั้น จะลองอะไรกันนักกันหนา ผมบ่นในใจ เพราะเริ่มรับรู้ความผิดปกติ แต่เมื่อลุงสั่งก็ต้องทำ ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้ใช้ขอสับเสียบลงไปในห่วงรับขอสับ เพื่อความรอบคอบ ป้องกันไม่ให้หน้าต่างปิดเอง คราวนี้แน่จริงก็ลองเปิดดูสิ.... ผมนึกท้าอยู่ในใจ ขณะเดินกลับมานั่งตามเดิม
มีเสียงหัวเราะแหบพร่าดังมาจากร่างของน้าโชติ เป็นเสียงของคนแก่กำลังชอบอกชอบใจ ผมรีบขยับเข้าใกล้ลุงนพทันที เพราะเริ่มขนลุกกับเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่ากลัวเพิ่มขึ้นทุกที หลังจากหัวเราะจนตัวสั่นจบลง มีพูดช้า ๆ เสียงต่ำ ๆ เแบบยานคางว่า ไอ้หนูคนนี้มันฉลาดดี ข้าชักจะชอบมันเข้าให้แล้วสิ...น่าจะเอาไปอยู่ด้วย ผมฟังแล้วสะดุ้งโหยง เพราะในห้องมีผมคนเดียวเป็นไอ้หนู ไม่เอา... จะมารักมาชอบทำไม ยังไงก็ไม่เล่นด้วย
ทันใดนั้น มีเสียงดัง กริ๊ก จากทางหน้าต่าง น่าจะเป็นเสียงตะขอสับ หลุดออกจากห่วงรับ คราวนี้หน้าต่างทั้งสองบานกระแทกเปรี้ยงปิดเข้าอย่างแรง จนทำให้ทุกคนสะดุ้ง
ลุงนพลุกขึ้น ดึงแขนของผมให้ลุกขึ้นด้วย พลางพูดว่า เอ้อ...ท่าทางไม่ค่อยเข้าท่า มีอะไรแปลก ๆ แถม แรง เสียด้วย เผ่นตั้งหลักกันก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็ลากแขนผมออกมาจากห้อง น้าชัยเองก็ไม่ยอมอยู่ ตามหลังออกมาติด ๆ แต่ก็กล้าพอจะหันไปปิดประตูห้อง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพักนี้ ลุงถึงมักพูดว่ามีอะไรแปลก ๆ หลายครั้งแล้ว
ใต้ถุนบ้าน มีผู้คนเพิ่มขึ้นมาหลายคน คงเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนี้ ได้ข่าวผู้ทรงวิชา จึงพากันมาสังเกตการณ์ รุมล้อมซักถาม ฟังกันจนแทบไม่ได้ศัพท์ จนลุงนพต้องโบกมือห้าม จึงพากันลดเสียงลง
หมอผีรูปหล่อมีโอกาส พูดขึ้นว่า นี่ไม่ใช่ผีธรรมดา ถ้าเป็นปอบก็คงเป็นปอบระดับสูง หรือจะเป็นผีอะไรก็ยังไม่ทราบ คงต้องดูกันไปก่อน คืนนี้ค่อยว่ากันใหม่ กลางวันทำอะไรมันไม่ค่อยได้ นิสัยมันต่างจากผีตัวอื่น เป็นผีอาคม คำพูดของลุงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันจอกแจกจอแจ ว่ากันไปต่าง ๆ นานา เพราะส่วนใหญ่ พากันทายว่า เป็นผีปอบกันทั้งนั้น
ลุงนพทำหน้านิ่งคิดอะไรอยู่ในใจ สักพักจึงหันไปทางพวกชาวบ้าน พูดเสียงดัง ๆ ว่า คืนนี้จะมีการไล่ผี ขอให้ทุกคนอยู่ในบ้าน ตั้งแต่หัวค่ำ อย่าออกนอกบ้านเป็นอันขาด ของมันแรง พวกอาถรรพ์วิญญาณชั่วร้าย ลมเพลมพัด ไปเข้าตัวของใครจะซวย เผลอ ๆ ตอนนี้ของอาถรรพ์คุณไสย อาจกำลังลอยป้วนเปี้ยนอยู่แล้วก็เป็นได้
คำพูดของลุง ทำให้พวกชาวบ้านเริ่มหน้าเสีย พากันถอยห่าง แยกย้ายกันกลับบ้านทันที
ผมกระตุกชายเสื้อของลุงนพ กระซิบว่า ลุงครับ ที่พูดนั้นโกหก ผิดศีลข้อ 4 ห้ามโกหก ลุงจ้องหน้าผม ทำหน้าจริงจัง โกหกที่ไหนกัน นี่มันเรื่องจริง ว่าแล้วก็เดินไปคุยกับน้าชัย ทำท่าเหมือนปรึกษานัดแนะ อะไรกันบางอย่าง ทำเอาผมยืนเกาหัวด้วยความสงสัย ว่าลุงแกพูดจริง หรือพูดเล่นกันแน่
ก่อนค่ำ ลุงนพให้ผมรออยู่ที่บ้านน้าชัย แกขอตัวไปทำธุระบางอย่าง บอกจะกลับมาตอนเย็น ๆ ผมทำตามคำสั่งอย่างไม่อิดออด เพราะรู้ว่าลุงนพต้องมีเหตุผลของแก
หลังจากหายไปนาน ลุงนพกลับมาช่วงตะวันชิงพลบ รู้สึกว่าย่ามสะพายขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แสดงว่ามีสิ่งของเพิ่มเติม ผมไม่ได้สนใจ คิดว่าถึงเวลาก็คงรู้เอง
...