ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน ดาวอังคาร จักรวาลไหน sister universe หลุมดำ หลุมขาว โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม พหุจักรวาล โลกอนาคต ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น เท่านั้น เด้อครับ
ท้ายความเดิมตอนที่แล้ว
ผีในร่างของน้าโชติ พยักหน้าพูดว่า เออ เอ็งพูดถูก แต่ก็แปลกดีว่ะ ทำไมข้าทำร้ายหมอนี่ไม่ได้เลย มันมีดีอะไรก็ไม่รู้ ได้แต่สิงเฉย ๆ รอวันมันอดตายแห้งไปเอง
ผมกับน้าชัยมองหน้ากัน
ยอมรับเลยว่า ผมไม่เคยเห็นการไล่ผี ที่เป็นกันเอง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ขนาดนี้ก่อนเลยในชีวิต
------------
ผีในร่างของน้าโชติ อัดควันยาเส้นเข้าปากลึกยาว จนหมดมวน ก่อนถ่มเศษที่เหลือออกจากปาก ก้นมวนยาเส้นที่เหลือเพียงเล็กน้อยพุ่งมาทางลุงนพ แต่ลุงของผมไหวทัน เบี่ยงศีรษะออกจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย ก้นมวนยาเส้นก็เฉียดกกหูไปหวุดหวิด ส่วนผมกับน้าชัยผวาไปคนละทิศละทาง โดยไม่ต้องมีใครร้องเตือน แม้ว่าจะไม่ใช่เป้าหมายก็ตาม แต่ของแบบนี้ไว้ใจได้ที่ไหน น้าโชติพ่นควันราวปล่องโรงสี พูดดัง ๆ น่ากลัวว่า แต่...ถ้าพวกเอ็งมาขัดขวาง กวนใจให้ข้ารำคาญ ข้าก็ต้องทำตามหน้าที่ของผี เปลี่ยนใจ จับพวกแกหักคอทิ้งให้หมดทุกคน
พอได้ฟัง ลุงนพรีบกระเถิบถอยออกมาหาผมและน้าชัยที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นกันทั้งคู่ เสียงน้าชัยครางว่า มันแรงจริง ๆ โดนน้ำมนต์ยังเฉย แต่ลุงนพยังคงมีสีหน้าปกติ แต่ผมสังเกตเห็นเส้นขนแขนก็เห่อขึ้นมาอย่างสังเกตได้ ก็คงต้องกลัวบ้างละน่า...แกไม่ใช่ลุงอิฐลุงปูน ลุงหันมาบอกกับผมว่า ไม่ต้องตกใจ ถ้าไม่ไหวก็ต้องใช้แผนสอง ฟังแล้วผมกลืนน้ำลายฝืดคอ เพราะแผนสองของลุงนพคือการ วิ่ง นั่นเอง
ถ้าจะว่ากันตามตรง ผมกับลุงนพเคยใช้แผนสองมาก่อนหลายครั้ง เมื่อเจอผีที่ดุร้ายทรงอำนาจ หรือผีแก่ (คำว่า ‘ผีแก่’ ไม่ได้หมายถึงผีอายุมาก แต่หมายถึงผีที่แรง ดุ ปราบยาก) บางทีก็ต้องหลบไปตั้งหลักเหมือนกัน ลุงของผมสอนว่า การหนีไม่ใช่เป็นความขี้ขลาด แต่เป็นการรู้เขารู้เรา รู้ผีรู้เรา รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหมอผี บางครั้งต้องทำตัวเป็นไผ่ลู่ลมตามสถานการณ์
ลุงของผมนั่งนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้น ดีดก้นยาเส้น ลอยหายไปทางหน้าต่าง พยักหน้าหงึกหงัก สีหน้าแววตาจริงจังขึ้นมาในทันใด บอกว่า เจรจาอย่างสันติไม่ได้ งั้นต้องลองกันดูสักตั้ง
น้าโชติเงยหน้าหัวเราะลั่น สลัดผ้าห่มทิ้ง สภาพนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว นั่งทำตัวโยกเยกเอียงซ้ายเอียงขวาไปมา ฉีกยิ้มยิงฟันขาวอยู่ข้างผนังห้อง แสงหม่น ๆ ของตะเกียงส่องร่างของแกดูน่าสะพรึง ผมมองแล้วต้องหลบไปอยู่ด้านหลังน้าชัย เพราะน้าโชติเริ่มหันมามองยังผม มองไปแสยะยิ้มไป ผมยังจำคำพูดของแกตอนบ่าย ที่บอกว่า ผมฉลาด อยากเอาไปอยู่ด้วย พอนึกก็เกิดอาการร้อน ๆ หนาว ๆ รีบถอยออกมาอีก จนอยู่หลังสุดใกล้ประตู ด้วยอาการขนพองสยองเกล้า นึกในใจว่า ไม่ต้องมารักใคร่เอ็นดูผมหรอก ผมมันเด็กโง่ ไม่ได้ฉลาดสักหน่อย ที่สำคัญยังไม่อยากไปอยู่โลกอื่น
เสียงลุงนพร้องบอกน้าชัย ให้ส่งหยิบแส้กิ่งทับทิมให้ น้าชัยรออยู่แล้วรีบหยิบกิ่งไม้ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วส่งให้ทันที ลุงของผมรับไปดูแล้วโวยวาย นี่มันว่านไฟ...ทำไมเอาต้นว่านไฟมา น้าชัยตอบว่า ว่านไฟมันขลังมากกว่ากิ่งทับทิม น่าจะใช้ได้ผลดีกว่า ไล่ปอบต้องใช้ว่านไฟน่าจะดีกว่า
ลุงนพถึงกับนั่งเอามือกุมขมับ
เสียงหัวเราะของน้าโชติดังลั่นห้อง ผมกลัวก็กลัว แต่อดใจไม่ไหว ชะโงกหน้าข้ามไหล่น้าชัยมองดู
เห็นน้าโชตินั่งกอดเข่า ยังคงโยกตัวไปมา หัวเราะขลุกขลัก ๆ แล้วเพิ่มอาการพิสดารขึ้นมา ด้วยการเงยหน้าที่เวลานี้เห็นแต่ตาขาว ขึ้นมองเพดานน่ากลัวจนใจสะท้าน กลิ่นสาบสางกระจายไปทั่วห้อง
ลุงนพลุกขึ้นยืน พร้อมว่านไฟในมือ ปากพึมพำบ่นพอได้ยินว่า สั่งอย่าง เอามาอีกอย่าง มันจะไหวเหรอ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไป ฟาดต้นว่านไฟ ใส่ร่างของน้าโชติชนิดไม่นับ ร่างของน้าโชติล้มลงไปนอนพื้น ผมเริ่มใจชื้นขึ้นบ้าง ว่าว่านไฟน่าจะได้ผล แต่แล้วความหวังที่กำลังจะสว่างขึ้นมาก็ดับวูบลงไป เพราะเริ่มสังเกตว่า น้าโชติไม่ได้ล้มลงไปดิ้นรน ครวญครางแบบเจ็บปวดทรมาน แกกลิ้งไปกลิ้งมา พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน
งานนี้เรียกว่าลุงนพของผมเหนื่อยกันเลยทีเดียว เพราะยิ่งลงว่านไฟเท่าไร น้าโชติยิ่งดูหัวเราะมากขึ้น กลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนทารกถูกหยอกล้อ ในที่สุดลุงนพต้องยอมแพ้ โยนว่านไฟในมือทิ้ง นั่งลงหายใจหอบแฮ่ก ๆ ก่อนหันไปส่ายหน้า โทษน้าชัยว่า เห็นไหม... บอกให้เอากิ่งทับทิม ดันไปเอาว่านไฟ น้าชัยได้แต่ยิ้มกร่อย ๆ แบบไม่เต็มปาก ไม่กล้าพูดไม่กล้าเถียงอะไรสักคำ น้าชัยคงคิดว่า ผีที่เข้าสิงแฝดน้องของตัวเอง เป็นผีปอบ จึงเลือกว่านไฟให้ เพราะใครก็รู้กันว่า ต้นว่านไฟ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับไล่ปอบทั่วไปเป็นหลัก ส่วนการนำว่านไฟ ไปทำพิธีไล่ผีชนิดอื่น ยังไม่ค่อยมีใครทำกัน
เสียงหัวเราะลั่นของผีในร่างน้าโชติหยุดลง แกลุกขึ้นเดินมานั่งลงข้างหน้าลุงนพ ในระยะประชิดประจันหน้า จากนั้นพูดแนะนำอย่างหวังดีมีน้ำใจว่า ให้ทดลองใช้ข้าวสารเสก แต่ลุงนพส่ายหน้า กระเถิบถอยหลังห่างออกมา นิดหนึ่งอย่างไว้เชิง ไม่ให้ผีเข้ามารบกวนพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไป นัยว่ารักษาระยะความสัมพันธ์เอาไว้ให้พอดีกับสถานการณ์ แกบอกว่าเสียดายข้าวสาร ราคาแพง ว่าแล้วก็ผายมือออกเป็นเชิงเบื่อ ๆ ก่อนปลดย่ามออกจากไหล่โยนลงพื้น เหมือนไม่อยากทำพิธีไล่ผีอีกต่อไป แล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธินิ่ง
น้าโชติเห็นดังนั้น ก็ทำท่านั่งขัดสมาธิบ้าง เผชิญหน้ากันแบบหยั่งเชิง
นี่จะเปลี่ยนแนว มาสู้กันด้วยพลังจิตหรืออย่างไร เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ผมนึกในใจ หวังว่าต่อไปคงไม่กอดคอชวนกันลงเรือน ไปเที่ยวงานวัดไปนั่งกินเหล้าด้วยกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
นึกว่าจะมาการปล่อยแสงแห่งพลังจิต ออกมาทำลายล้าง ปะทะกันให้เห็นเป็นบุญตาบ้าง อย่างที่เคยเห็นในหนังกลางแปลง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมแอบผิดหวังอยู่ลึก ๆ
ทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันครู่หนึ่ง เหมือนคุยกันทางจิตจริง ๆ ในที่สุด น้าโชติก็เป็นฝ่ายพูดก่อน ด้วยน้ำเสียงหวังดีว่า ให้ลุงนพกลับบ้าน ฝีมืออ่อนหัด ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้ พลังจิตของแกอ่อนเกินไป ทำอะไรไม่ได้หรอก
ลุงนพส่ายหน้า ลุงขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พูดกับน้าโชติว่า เออ... แกมันแน่จริง ๆ อย่างนั้นลองนี่ดู ว่าพลางแกเดินไปหยิบย่ามขึ้นมาคล้องไหล่อีกครั้ง ล้วงวัตถุบางอย่างออกมา มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นด้ายสายสิญจน์ ที่ม้วนพันไว้กับกิ่งไม้เล็ก ๆ
น้าโชติ พอมองเห็นม้วนด้ายสายสิญจน์ ก็มีสีหน้าท่าทางแปรเปลี่ยนไปทันที นั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
ผมพอรู้มาว่า ด้ายสายสิญจน์ หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ด้ายปริตร คือด้ายที่เชื่อกันว่า ศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากพระพุทธมนต์ที่พระท่านสวดสาธยายหรือเสกเป่าไว้ ถือกันว่าสามารถป้องกันอันตรายเช่นภูตผีปีศาจได้ และถือว่าเป็นด้ายมงคล จะได้รู้กันละคราวนี้
ลุงนพที่มีสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เดินย่างสามขุมเข้าหาน้าโชติที่นั่งอยู่บนพื้น แบบเล่นสงครามจิตไปในตัว มือก็ดึงด้ายสายสิญจน์ออกมาจากท่อนไม้เป็นเส้นยาว ราวกับจะข่มขวัญ พูดช้า ๆ แบบเน้นเสียงทีละคำว่า คราวนี้แกเสร็จข้าแน่ ที่ด้ายสายสิญจน์ผ่านการเป่าเสกปลุกเสกมาแล้ว จะออกหรือไม่ออก ข้าให้ทางเลือกครั้งสุดท้าย
ไม่ออกโว้ย...เป็นคำตอบสุดท้ายโว้ย...ยังไงก็ไม่ออก ยังไงข้าก็ขอสิงแค่ตาย... เสียงของน้าโชติร้องด้วยใบหน้าตื่นกลัว แต่ยังยืนยันความมุ่งมั่นของตัวเอง ลุงนพยิ้มมุมปากอย่างอำมหิต เริ่มต้นเดินวนรอบร่างของน้าโชติ ใช้ด้ายสายสิญจน์พันรอบของน้าโชติหลายรอบ พร้อมกับบริกรรมคาถาบางอย่างสำทับลงไปด้วย
น้าโชติร้องโหยหวนจนเสียงสะท้านสะเทือน
ผี จะสู้อำนาจพระพุทธคุณได้ก็ให้มันรู้ไป
แต่แล้วความเชื่อมั่นของผมก็เริ่มสั่นไหว เมื่อเห็นน้าโชติจู่ ๆ ก็หยุดร้องหยุดดิ้นรน แกนั่งทำตัวแข็งครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มต้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น
ลุงนพหยุดกึก แล้วถอยหลังห่างออกมากน้าโชติ ที่เริ่มต้นโยกตัวไปมาหัวเราะร่า ทั้งที่มีด้ายสายสิญจน์พันรอบตัวหลายรอบ แล้วทันใดนั้นเองผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เผลอร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นน้าโชติทำตัวพองคล้ายคนเบ่งกล้าม สายสิญจน์ขาดกระจุยกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระเด็นปลิวว่อนอยู่รอบตัว ผีตัวนี้มัน แรง ๆ จริง ผมกลัวจนตัวเริ่มสั่นเป็นจับไข้ ดีว่ามีลุงนพนั่งขวางทางน้าโชติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้สติหลุด เผ่นเตลิดเปิดเปิงไม่รู้เหนือใต้ไปแล้ว ขนาดสายสิญจน์ยังเอาไม่อยู่
ในความรู้สึกอึงอล ยังพอมองเห็นลุงนพหันหลังกลับมามองน้าชัย เหมือนจะถามอะไรบางอย่าง ต่อมามีเสียงกร่อย ๆ ของน้าชัยบอกว่า ตายจริง ขอโทษด้วย ผมหยิบใส่ย่ามมาผิด นั่นไม่ใช่ม้วนสายสิญจน์ แต่เป็นม้วนเชือกเล่นว่าวของหลานแก ด้วยความรีบร้อนและไม่ทันสังเกตให้ดี จึงหยิบผิด แล้วตามด้วยการขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า เสียงลุงของผมบ่นอุบ แข่งกับเสียงหัวเราะอย่างขบขันของน้าโชติ หัวเราะจนเป็นที่พอเพียงสาแก่ใจ น้าโชติจึงหยึดหัวเราะแล้วนั่งโยกตัวไปมาอย่างสบายกายสบายใจ ก่อนพูดด้วยเสียงสบาย ๆ ว่า เออ...ข้าก็เกือบไปเหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าเป็นสายสิญจน์จริง ๆ เสียอีก เล่นเอาข้าประสาทเสีย ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว ทำท่าจะไปแหล่มิไปแหล่ กว่าจะนึกรู้ว่า ไม่มีอะไร ก็เล่นเอาเกือบแย่ นี่ละที่เขาเรียกว่าสะกดจิตตัวเอง คิดไปเองเออเอง เชื่อไปเอง อาการหลอนตัวเอง หลอกตัวเองนี่ไม่ใช่มีกับคน ผีก็เป็นเหมือนกันโว้ย....โอย...ผีจะบ้าตาย...พูดจบแกก็หัวเราะส่งท้ายอีกรอบ
เสียงน้าชัยที่เวลานี่กระเถิบมานั่งข้าง ๆ ผมพูดขึ้นมาว่า ยังมีมีดหมอ ลงอาคมอีกนะครับ จะเอาไหม เสียงลุงนพตอบแบบงอน ๆว่า ไม่เอาแล้ว ขนาดสายสิญจน์ยังกลายเป็นเชือกเล่นว่าว มีดหมอลงอาคม คงกลายเป็นมีดทำครัว ทำลาบทำก้อยเป็นแน่แท้ เสียงผีในร่างของน้าชัยบอกแทรกการสนทนามาว่า พวกแกไปเสียเถิด ฝีมือยังอ่อนหัด ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก กลับไปฝึกวิชามาใหม่ ข้ามันผีอาคม ไม่ใช่ผีธรรมดา ยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถิด
.......
คืนไล่ผี 2/2 ตอนจบ
ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ มิให้นำไปเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน ดาวอังคาร จักรวาลไหน sister universe หลุมดำ หลุมขาว โลกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือทั่วไป กลศาสคร์ควอนตัม พหุจักรวาล โลกอนาคต ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าพข้อย เท่านั้น เท่านั้น เด้อครับ
ท้ายความเดิมตอนที่แล้ว
ผีในร่างของน้าโชติ พยักหน้าพูดว่า เออ เอ็งพูดถูก แต่ก็แปลกดีว่ะ ทำไมข้าทำร้ายหมอนี่ไม่ได้เลย มันมีดีอะไรก็ไม่รู้ ได้แต่สิงเฉย ๆ รอวันมันอดตายแห้งไปเอง
ผมกับน้าชัยมองหน้ากัน
ยอมรับเลยว่า ผมไม่เคยเห็นการไล่ผี ที่เป็นกันเอง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ขนาดนี้ก่อนเลยในชีวิต
------------
ผีในร่างของน้าโชติ อัดควันยาเส้นเข้าปากลึกยาว จนหมดมวน ก่อนถ่มเศษที่เหลือออกจากปาก ก้นมวนยาเส้นที่เหลือเพียงเล็กน้อยพุ่งมาทางลุงนพ แต่ลุงของผมไหวทัน เบี่ยงศีรษะออกจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย ก้นมวนยาเส้นก็เฉียดกกหูไปหวุดหวิด ส่วนผมกับน้าชัยผวาไปคนละทิศละทาง โดยไม่ต้องมีใครร้องเตือน แม้ว่าจะไม่ใช่เป้าหมายก็ตาม แต่ของแบบนี้ไว้ใจได้ที่ไหน น้าโชติพ่นควันราวปล่องโรงสี พูดดัง ๆ น่ากลัวว่า แต่...ถ้าพวกเอ็งมาขัดขวาง กวนใจให้ข้ารำคาญ ข้าก็ต้องทำตามหน้าที่ของผี เปลี่ยนใจ จับพวกแกหักคอทิ้งให้หมดทุกคน
พอได้ฟัง ลุงนพรีบกระเถิบถอยออกมาหาผมและน้าชัยที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นกันทั้งคู่ เสียงน้าชัยครางว่า มันแรงจริง ๆ โดนน้ำมนต์ยังเฉย แต่ลุงนพยังคงมีสีหน้าปกติ แต่ผมสังเกตเห็นเส้นขนแขนก็เห่อขึ้นมาอย่างสังเกตได้ ก็คงต้องกลัวบ้างละน่า...แกไม่ใช่ลุงอิฐลุงปูน ลุงหันมาบอกกับผมว่า ไม่ต้องตกใจ ถ้าไม่ไหวก็ต้องใช้แผนสอง ฟังแล้วผมกลืนน้ำลายฝืดคอ เพราะแผนสองของลุงนพคือการ วิ่ง นั่นเอง
ถ้าจะว่ากันตามตรง ผมกับลุงนพเคยใช้แผนสองมาก่อนหลายครั้ง เมื่อเจอผีที่ดุร้ายทรงอำนาจ หรือผีแก่ (คำว่า ‘ผีแก่’ ไม่ได้หมายถึงผีอายุมาก แต่หมายถึงผีที่แรง ดุ ปราบยาก) บางทีก็ต้องหลบไปตั้งหลักเหมือนกัน ลุงของผมสอนว่า การหนีไม่ใช่เป็นความขี้ขลาด แต่เป็นการรู้เขารู้เรา รู้ผีรู้เรา รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหมอผี บางครั้งต้องทำตัวเป็นไผ่ลู่ลมตามสถานการณ์
ลุงของผมนั่งนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้น ดีดก้นยาเส้น ลอยหายไปทางหน้าต่าง พยักหน้าหงึกหงัก สีหน้าแววตาจริงจังขึ้นมาในทันใด บอกว่า เจรจาอย่างสันติไม่ได้ งั้นต้องลองกันดูสักตั้ง
น้าโชติเงยหน้าหัวเราะลั่น สลัดผ้าห่มทิ้ง สภาพนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว นั่งทำตัวโยกเยกเอียงซ้ายเอียงขวาไปมา ฉีกยิ้มยิงฟันขาวอยู่ข้างผนังห้อง แสงหม่น ๆ ของตะเกียงส่องร่างของแกดูน่าสะพรึง ผมมองแล้วต้องหลบไปอยู่ด้านหลังน้าชัย เพราะน้าโชติเริ่มหันมามองยังผม มองไปแสยะยิ้มไป ผมยังจำคำพูดของแกตอนบ่าย ที่บอกว่า ผมฉลาด อยากเอาไปอยู่ด้วย พอนึกก็เกิดอาการร้อน ๆ หนาว ๆ รีบถอยออกมาอีก จนอยู่หลังสุดใกล้ประตู ด้วยอาการขนพองสยองเกล้า นึกในใจว่า ไม่ต้องมารักใคร่เอ็นดูผมหรอก ผมมันเด็กโง่ ไม่ได้ฉลาดสักหน่อย ที่สำคัญยังไม่อยากไปอยู่โลกอื่น
เสียงลุงนพร้องบอกน้าชัย ให้ส่งหยิบแส้กิ่งทับทิมให้ น้าชัยรออยู่แล้วรีบหยิบกิ่งไม้ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วส่งให้ทันที ลุงของผมรับไปดูแล้วโวยวาย นี่มันว่านไฟ...ทำไมเอาต้นว่านไฟมา น้าชัยตอบว่า ว่านไฟมันขลังมากกว่ากิ่งทับทิม น่าจะใช้ได้ผลดีกว่า ไล่ปอบต้องใช้ว่านไฟน่าจะดีกว่า
ลุงนพถึงกับนั่งเอามือกุมขมับ
เสียงหัวเราะของน้าโชติดังลั่นห้อง ผมกลัวก็กลัว แต่อดใจไม่ไหว ชะโงกหน้าข้ามไหล่น้าชัยมองดู
เห็นน้าโชตินั่งกอดเข่า ยังคงโยกตัวไปมา หัวเราะขลุกขลัก ๆ แล้วเพิ่มอาการพิสดารขึ้นมา ด้วยการเงยหน้าที่เวลานี้เห็นแต่ตาขาว ขึ้นมองเพดานน่ากลัวจนใจสะท้าน กลิ่นสาบสางกระจายไปทั่วห้อง
ลุงนพลุกขึ้นยืน พร้อมว่านไฟในมือ ปากพึมพำบ่นพอได้ยินว่า สั่งอย่าง เอามาอีกอย่าง มันจะไหวเหรอ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไป ฟาดต้นว่านไฟ ใส่ร่างของน้าโชติชนิดไม่นับ ร่างของน้าโชติล้มลงไปนอนพื้น ผมเริ่มใจชื้นขึ้นบ้าง ว่าว่านไฟน่าจะได้ผล แต่แล้วความหวังที่กำลังจะสว่างขึ้นมาก็ดับวูบลงไป เพราะเริ่มสังเกตว่า น้าโชติไม่ได้ล้มลงไปดิ้นรน ครวญครางแบบเจ็บปวดทรมาน แกกลิ้งไปกลิ้งมา พลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน
งานนี้เรียกว่าลุงนพของผมเหนื่อยกันเลยทีเดียว เพราะยิ่งลงว่านไฟเท่าไร น้าโชติยิ่งดูหัวเราะมากขึ้น กลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนทารกถูกหยอกล้อ ในที่สุดลุงนพต้องยอมแพ้ โยนว่านไฟในมือทิ้ง นั่งลงหายใจหอบแฮ่ก ๆ ก่อนหันไปส่ายหน้า โทษน้าชัยว่า เห็นไหม... บอกให้เอากิ่งทับทิม ดันไปเอาว่านไฟ น้าชัยได้แต่ยิ้มกร่อย ๆ แบบไม่เต็มปาก ไม่กล้าพูดไม่กล้าเถียงอะไรสักคำ น้าชัยคงคิดว่า ผีที่เข้าสิงแฝดน้องของตัวเอง เป็นผีปอบ จึงเลือกว่านไฟให้ เพราะใครก็รู้กันว่า ต้นว่านไฟ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับไล่ปอบทั่วไปเป็นหลัก ส่วนการนำว่านไฟ ไปทำพิธีไล่ผีชนิดอื่น ยังไม่ค่อยมีใครทำกัน
เสียงหัวเราะลั่นของผีในร่างน้าโชติหยุดลง แกลุกขึ้นเดินมานั่งลงข้างหน้าลุงนพ ในระยะประชิดประจันหน้า จากนั้นพูดแนะนำอย่างหวังดีมีน้ำใจว่า ให้ทดลองใช้ข้าวสารเสก แต่ลุงนพส่ายหน้า กระเถิบถอยหลังห่างออกมา นิดหนึ่งอย่างไว้เชิง ไม่ให้ผีเข้ามารบกวนพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไป นัยว่ารักษาระยะความสัมพันธ์เอาไว้ให้พอดีกับสถานการณ์ แกบอกว่าเสียดายข้าวสาร ราคาแพง ว่าแล้วก็ผายมือออกเป็นเชิงเบื่อ ๆ ก่อนปลดย่ามออกจากไหล่โยนลงพื้น เหมือนไม่อยากทำพิธีไล่ผีอีกต่อไป แล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธินิ่ง
น้าโชติเห็นดังนั้น ก็ทำท่านั่งขัดสมาธิบ้าง เผชิญหน้ากันแบบหยั่งเชิง
นี่จะเปลี่ยนแนว มาสู้กันด้วยพลังจิตหรืออย่างไร เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ผมนึกในใจ หวังว่าต่อไปคงไม่กอดคอชวนกันลงเรือน ไปเที่ยวงานวัดไปนั่งกินเหล้าด้วยกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
นึกว่าจะมาการปล่อยแสงแห่งพลังจิต ออกมาทำลายล้าง ปะทะกันให้เห็นเป็นบุญตาบ้าง อย่างที่เคยเห็นในหนังกลางแปลง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมแอบผิดหวังอยู่ลึก ๆ
ทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันครู่หนึ่ง เหมือนคุยกันทางจิตจริง ๆ ในที่สุด น้าโชติก็เป็นฝ่ายพูดก่อน ด้วยน้ำเสียงหวังดีว่า ให้ลุงนพกลับบ้าน ฝีมืออ่อนหัด ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้ พลังจิตของแกอ่อนเกินไป ทำอะไรไม่ได้หรอก
ลุงนพส่ายหน้า ลุงขึ้นยืนอย่างช้า ๆ พูดกับน้าโชติว่า เออ... แกมันแน่จริง ๆ อย่างนั้นลองนี่ดู ว่าพลางแกเดินไปหยิบย่ามขึ้นมาคล้องไหล่อีกครั้ง ล้วงวัตถุบางอย่างออกมา มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นด้ายสายสิญจน์ ที่ม้วนพันไว้กับกิ่งไม้เล็ก ๆ
น้าโชติ พอมองเห็นม้วนด้ายสายสิญจน์ ก็มีสีหน้าท่าทางแปรเปลี่ยนไปทันที นั่งตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
ผมพอรู้มาว่า ด้ายสายสิญจน์ หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ด้ายปริตร คือด้ายที่เชื่อกันว่า ศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากพระพุทธมนต์ที่พระท่านสวดสาธยายหรือเสกเป่าไว้ ถือกันว่าสามารถป้องกันอันตรายเช่นภูตผีปีศาจได้ และถือว่าเป็นด้ายมงคล จะได้รู้กันละคราวนี้
ลุงนพที่มีสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เดินย่างสามขุมเข้าหาน้าโชติที่นั่งอยู่บนพื้น แบบเล่นสงครามจิตไปในตัว มือก็ดึงด้ายสายสิญจน์ออกมาจากท่อนไม้เป็นเส้นยาว ราวกับจะข่มขวัญ พูดช้า ๆ แบบเน้นเสียงทีละคำว่า คราวนี้แกเสร็จข้าแน่ ที่ด้ายสายสิญจน์ผ่านการเป่าเสกปลุกเสกมาแล้ว จะออกหรือไม่ออก ข้าให้ทางเลือกครั้งสุดท้าย
ไม่ออกโว้ย...เป็นคำตอบสุดท้ายโว้ย...ยังไงก็ไม่ออก ยังไงข้าก็ขอสิงแค่ตาย... เสียงของน้าโชติร้องด้วยใบหน้าตื่นกลัว แต่ยังยืนยันความมุ่งมั่นของตัวเอง ลุงนพยิ้มมุมปากอย่างอำมหิต เริ่มต้นเดินวนรอบร่างของน้าโชติ ใช้ด้ายสายสิญจน์พันรอบของน้าโชติหลายรอบ พร้อมกับบริกรรมคาถาบางอย่างสำทับลงไปด้วย
น้าโชติร้องโหยหวนจนเสียงสะท้านสะเทือน
ผี จะสู้อำนาจพระพุทธคุณได้ก็ให้มันรู้ไป
แต่แล้วความเชื่อมั่นของผมก็เริ่มสั่นไหว เมื่อเห็นน้าโชติจู่ ๆ ก็หยุดร้องหยุดดิ้นรน แกนั่งทำตัวแข็งครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มต้นระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น
ลุงนพหยุดกึก แล้วถอยหลังห่างออกมากน้าโชติ ที่เริ่มต้นโยกตัวไปมาหัวเราะร่า ทั้งที่มีด้ายสายสิญจน์พันรอบตัวหลายรอบ แล้วทันใดนั้นเองผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เผลอร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นน้าโชติทำตัวพองคล้ายคนเบ่งกล้าม สายสิญจน์ขาดกระจุยกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระเด็นปลิวว่อนอยู่รอบตัว ผีตัวนี้มัน แรง ๆ จริง ผมกลัวจนตัวเริ่มสั่นเป็นจับไข้ ดีว่ามีลุงนพนั่งขวางทางน้าโชติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้สติหลุด เผ่นเตลิดเปิดเปิงไม่รู้เหนือใต้ไปแล้ว ขนาดสายสิญจน์ยังเอาไม่อยู่
ในความรู้สึกอึงอล ยังพอมองเห็นลุงนพหันหลังกลับมามองน้าชัย เหมือนจะถามอะไรบางอย่าง ต่อมามีเสียงกร่อย ๆ ของน้าชัยบอกว่า ตายจริง ขอโทษด้วย ผมหยิบใส่ย่ามมาผิด นั่นไม่ใช่ม้วนสายสิญจน์ แต่เป็นม้วนเชือกเล่นว่าวของหลานแก ด้วยความรีบร้อนและไม่ทันสังเกตให้ดี จึงหยิบผิด แล้วตามด้วยการขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า เสียงลุงของผมบ่นอุบ แข่งกับเสียงหัวเราะอย่างขบขันของน้าโชติ หัวเราะจนเป็นที่พอเพียงสาแก่ใจ น้าโชติจึงหยึดหัวเราะแล้วนั่งโยกตัวไปมาอย่างสบายกายสบายใจ ก่อนพูดด้วยเสียงสบาย ๆ ว่า เออ...ข้าก็เกือบไปเหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าเป็นสายสิญจน์จริง ๆ เสียอีก เล่นเอาข้าประสาทเสีย ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว ทำท่าจะไปแหล่มิไปแหล่ กว่าจะนึกรู้ว่า ไม่มีอะไร ก็เล่นเอาเกือบแย่ นี่ละที่เขาเรียกว่าสะกดจิตตัวเอง คิดไปเองเออเอง เชื่อไปเอง อาการหลอนตัวเอง หลอกตัวเองนี่ไม่ใช่มีกับคน ผีก็เป็นเหมือนกันโว้ย....โอย...ผีจะบ้าตาย...พูดจบแกก็หัวเราะส่งท้ายอีกรอบ
เสียงน้าชัยที่เวลานี่กระเถิบมานั่งข้าง ๆ ผมพูดขึ้นมาว่า ยังมีมีดหมอ ลงอาคมอีกนะครับ จะเอาไหม เสียงลุงนพตอบแบบงอน ๆว่า ไม่เอาแล้ว ขนาดสายสิญจน์ยังกลายเป็นเชือกเล่นว่าว มีดหมอลงอาคม คงกลายเป็นมีดทำครัว ทำลาบทำก้อยเป็นแน่แท้ เสียงผีในร่างของน้าชัยบอกแทรกการสนทนามาว่า พวกแกไปเสียเถิด ฝีมือยังอ่อนหัด ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก กลับไปฝึกวิชามาใหม่ ข้ามันผีอาคม ไม่ใช่ผีธรรมดา ยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถิด
.......