กุฎิร้าง....... 1/2

กระทู้สนทนา


             เพราะความที่เป็นเด็กข้างวัดป่าในชนบท   ทำให้ตัวผมได้รับประสบการณ์ เรื่องราว เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ มากมายหลายอย่าง  ได้รู้ ได้เห็น สิ่งที่ฟังดูเหลือเชื่อ สำหรับเด็ก ๆ ในเมือง หลายคนอาจจะคิดว่า ภายในวัด คือพื้นที่ปลอดผี อันนี้จากประสบการณ์ตรง  ผมขอเถียงหัวชนกุฏิเลย ว่าภายในวัดไม่ใช่เขตปลอดผี มันขึ้นอยู่กับความประจวบเหมาะหลาย ๆ อย่างมากกว่า 

            และเรื่องต่อไปนี้ คือเรื่องที่ผมกับบรรดาเพื่อนสามเณร พบเห็นสิ่งประหลาด เหนือธรรมชาติภายในวัด อย่างไม่น่าเชื่อ
 

           บ่ายของวันศุกร์หนึ่ง  ขณะที่ผมกับบรรดาเณรเพื่อนรัก กำลังใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการอ่านหนังสือการ์ตูน อยู่ใต้กุฏิข้างวัด แหล่งรวมพลคนรักวัดตามปกติ สามเณรน้อยก็ได้เล่าให้ฟังว่า มีพระภิกษุใหม่องค์หนึ่งมาจำวัด ญาติโยมเรียกกันว่า หลวงพี่อิน  ยังเป็นพระหนุ่ม ท่าทางเอาจริงเอาจังเรื่องคาถาอาคม มาได้สองวันก็กล้าถึงขนาดไปดู เนินฝังผี ที่ป่าท้ายวัดในเวลาพลบค่ำเพียงลำพัง กล้าบุกเขตอาถรรพ์ ของแรงกันเลยทีเดียว

            เณรน้อยเล่าว่า หลวงพี่อิน เคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาบุญเกิด หรือที่ชาวบ้านเรียกกันสั้น ๆ  ว่าหลวงตาบุญ ที่เคยจำพรรษาอยู่วัดนี้มาก่อน และหลวงตาบุญก็มรณภาพไปหลายปีแล้ว

            จากที่เณรน้อยเล่าให้ฟัง ผมก็พอจะนึกภาพออกว่า เคยเจอหลวงตาบุญหลายครั้ง สมัยที่ท่านยังจำวัดอยู่บนกุฏิเก่าแก่ แต่นึกหน้าตาไม่ค่อยจะได้ เพราะตอนนั้นผมยังเด็กมาก จำได้แค่ว่าลุงตาบุญค่อนข้างดุ ชอบปลีกวิเวก ขณะที่พระอื่น ๆ ไปจำวัดอยู่ในกุฏิท้ายวัด หรือ กุฏิหลังใหม่  หลวงตาบุญกลับเลือกมาจำวัดอยู่ที่กุฏิไม้โบราณทรุดโทรมน่ากลัว ที่ทางวัดใช้เก็บสิ่งของเก่า ๆ โลงศพเก่า ๆ ทิ้งเกะกะตามชั้นล่าง รอบด้านมีต้นไม้ยืนต้นรกครึ้มน่ากลัว  

            แถมมีเสียงลือว่า ผีดุ อีกต่างหาก พระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เว้น เคยมีพระหลายองค์ ทดลองจำวัดอยู่กุฏิแห่งนี้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องย้ายออกด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่ากามนิตหนุ่ม จะมีก็หลวงตาบุญนี่ละ อยู่ยาวจนท่านมรณภาพ

            ว่ากันว่าท่านมีเวทมนต์เข้มขลังถึงอยู่ได้  กุฏิที่ว่าอยู่ใกล้กำแพงวัดหน้าบ้านผมในระยะมองเห็นชัด ถ้าขึ้นบ้านแล้วเปิดหน้าต่าง มองข้ามถนนและข้ามกำแพงวัดออกไป  จะเห็นหลังคาและตัวอาคารกุฏิบางส่วน ซ่อนตัวอยู่ในกิ่งก้านสาขาเงาไม้ใหญ่น้อย  ถ้าข้ามถนนแล้วปีนขึ้นไปยืนบนกำแพงวัด จะเห็นภาพคลาสสิกของกุฏิบรรพกาลแบบหลอน ๆ มากขึ้น ภาพผนังไม้เก่าแก่แตกปริเป็นช่องโหว่ โลงศพวางเรียงรายเกะกะชั้นล่างอย่างไม่เป็นระเบียบ เศษซากเครื่องใช้ ตู้พัง ๆ  

            เป็นภาพคุ้นตา คุ้นความรู้สึก ตั้งแต่จำความได้  มองอีกมุมแห่งอารมณ์ศิลป์ ก็เป็นศิลปะแห่งความหลอนของจริง หาชมได้ยาก คงเพราะสาเหตุนี้ละครับ ทำให้ผมเคยชินกับบรรยากาศแห่งความระทึกขวัญมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งผมก็กล้า และบ้า ในการนำตัวเองไปอยู่จุดเสี่ยงกับเรื่องสัมผัสสยอง มากกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน  วัดแห่งนี้จึงมีความทรงจำน่าสะพรึง ให้ระลึกถึงทุกตารางนิ้ว   
    

            อย่างกำแพงวัดข้างบ้าน ก็เคยมีคนเห็นยายแก่ นั่งชันหัวเข่าขายาวผิดปกติสูงท่วมหัว หันหน้าโปรยยิ้มเห็นฟันเหยินเต็มปาก หรือการที่มีคนเห็นเงาดำ ของคนสองคน เดินเคียงคู่กันมาบนกำแพง ในช่วงค่ำโพล้เพล้ ก่อนที่คนพบเห็นเหตุการณ์ จะนึกได้ว่ากำแพงมันแคบขนาดนั้น  คนสองคนจะเดินคู่กันมาได้ยังไง นอกจากว่าไม่ใช่คน  กว่าจะรู้ตัวว่าโดนผีหลอกก็ เดินไปถึงบ้านแล้วค่อยนึกออก ออกอาการร้องโวยวายเป็นบ้าเป็นหลัง ผมฟังแล้วอดคิดไม่ได้ว่า ผีที่มาหลอก คงเสียความรู้สึกเหมือนกัน ไปหลอกคนความรู้สึกช้าขนาดนั้น

             เณรน้อยเล่าให้ฟังอีกว่า หลวงพี่อิน  ที่มาจำวัดเพราะมีจุดประสงค์พิเศษอย่างหนึ่ง ท่านมีความเชื่อว่าหลวงตาบุญ ก่อนมรณภาพ จะต้องซ่อนของขลังของดีไว้ในกุฏิ อย่างแน่นอน และของขลังทั้งหลายนั้น จะต้องมีความเข้มขลัง มากมายมหาศาล หลวงพี่อินเล่าว่า ถ้าหลวงตาบุญจะส่งต่อมรดกอาคมให้กับคนอื่น จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตัวหลวงพี่อินเท่านั้น

             ฟังมาถึงตรงนี้ผมแย้งว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม  เณรน้อยเจ้าปัญหายิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วบอกว่า มันต้องเกี่ยวเพราะคืนนี้หลวงพี่อินชักชวนพระเณร ที่สนใจ ให้ไปดูการทำพิธีเรียกของขลังในกุฏิหลังเก่า ที่หลวงตาบุญเคยจำวัดอยู่นั่นละครับ  คำพูดของเพื่อนเณร ทำให้ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที แต่ยังทำเป็นไม่ค่อยสนใจอย่างไว้เชิง เพื่อนเณรเหมือนรู้แกว พูดเสริมอีกว่า ถ้าใครไปด้วย หลวงพี่จะแจกตะกรุดวิเศษ ห้อยตะกรุดแล้ว อยู่ยงคงกะพัน  ยิงฟันไม่เข้า ดีทางเมตตามหาเสน่ห์ ป้องกันภูตผีปีศาจ แถมเรียนเก่ง  นั่นเองทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจ  แม้จะแน่ใจว่า สมบัติของตะกรุดข้อสุดท้าย เณรน้อยคงเสริมเติมแต่งเข้ามาเองเป็นแน่แท้ เพราะเกิดมายังไม่เคยได้ยินว่า มีตะกรุดที่ไหน พกติดตัวแล้วเรียนเก่ง มันฟังดูผิดที่ผิดทาง ไม่เข้าพวกเอาเสียเลย แต่ก็เอาเถอะครับบางอย่างมองข้ามไปก่อนก็ได้ 

           คืนนั้นทั้งเณรวัด และเด็กบ้าน รวมทีมเฉพาะกิจสำหรับกิจกรรมยามวิกาลขึ้นทันที  ตัวผมไม่มีปัญหาในการออกบ้านเวลากลางคืน เพราะเคยทำเป็นประจำ แถมยังนอนในห้องครัวข้างนอกชาน ไม่ได้เข้าไปนอนรวมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในห้องนอนใหญ่  จะไปจะมาไหนก็ง่ายสบายตัว  กว่าทางบ้านจะรู้ ก็วันรุ่งขึ้นโน่นล่ะครับ
            
             หลวงพี่อินเป็นพระหนุ่ม มีรอยสักตามไหล่และแขนน่าเกรงขาม ดูเหมือนพระไสยเวทอาคม ท่าทางกระชับกระเฉงและเป็นมิตร พูดจาท่าทางดูดี ผมไม่แปลกใจ ที่หลวงพี่อินสามารถปรับตัว เข้ากับบรรดากลุ่มของเณรน้อยเจ้าปัญหาได้รวดเร็ว  
  
             คืนนั้น พระหนึ่งองค์ สามเณรสามรูป และอีกหนึ่งเด็กข้างวัด   ก็ประชุมพร้อมกันที่กุฏิข้างวัด ซึ่งไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะสิ่งของจำเป็นในการทำพิธีทุกอย่าง หลวงพี่ท่านเตรียมพร้อมมาในย่าม  เณรน้อยหิ้วตะเกียงโป๊ะแบบใช้น้ำมันจุดสว่างมาด้วย ท่าทางกลายเป็นศิษย์คู่ใจไปแล้ว

             หลวงพี่อินแจกตะกรุดไว้ให้ห้อยคอจริง ๆ นั่นทำให้หัวจิตหัวใจคึกคักขึ้นมาได้เลยทีเดียว

             หลวงพี่อินบอกว่าคืนนี้เป็นคือวันเพ็ญ  เหมาะในการทำพิธีนั่งทางใน ปลุกพลังเครื่องรางของขลัง กำหนดจิตหาตำแหน่งเพราะการค้นหาธรรมดา อย่างที่เคยทำกันในเวลากลางวัน ไม่มีทางหาเจอ หลวงตาบุญคงไม่เก็บของรักของหวงแบบที่ทำให้คนหาเจอได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน   เมื่อทุกอย่างพร้อม เราก็พากันมุ่งหน้าไปยังกุฏิร้างข้างวัดกันทันที

             บางคนคิดว่าคืนพระจันทร์เต็มดวงไม่น่ากลัว เหมือนคืนเดือนดับ  แต่ผมว่าไม่แน่ อย่างเส้นทางไปกุฏิร้าง ถึงแม้เป็นคืนแสงเดือนส่องสว่าง แต่ภาพเงากิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายของต้นไม้ ตัดกับแสงจันทร์ ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัววังเวง ถ้าไม่มีพระนำทาง ผมคงไม่กล้าเดินไปกุฏิร้าง ในเวลากลางคืนเป็นอันขาด

         กุฏิร้างแห่งนี้เป็น กุฏิแบบโบราณของชนบท สภาพเก่าแก่ผุพัง จนทางวัดปล่อยให้ทิ้งร้างในที่สุด  มีลักษณะเหมือนบ้านไม้สองชั้นแบ่งส่วนเป็นชั้น ๆ ยาวเหยียดคล้ายห้องแถวเกือบสิบห้อง ชั้นบนมีระเบียงยาวเชื่อมต่อกันทุกห้อง  ขณะเดินเข้าไปในร่มเงาของกุฏิ แสงตะเกียงในมือของเณรน้อย เริ่มส่องให้เห็นบรรดาโลงศพเก่า ๆ เล่นแสงเงาวูบวาบ ชวนให้คิดไปว่ามีภูตผีกำลังหลบซ่อนอยู่ด้านหลังโลงศพพวกนั้น  การเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง จะต้องผ่านบรรดาโลงศพที่ถูกลืม อย่างไม่มีทางเลี่ยง เพราะมีทางขึ้นอยู่หัวท้ายกุฏิเท่านั้น  แถมบันไดด้านทิศใต้ยังชำรุดพังลงไปเรียบร้อย  เหลือบันไดขึ้นทางทิศเหนือเพียงแห่งเดียว ผมเริ่มมีอาการขนลุกเมื่อนึกไปว่า ในโลงศพพวกนั้น เคยมีร่างคนตาย นอนสงบนิ่งอยู่ภายใน บางทีดวงวิญญาณยังวนเวียนไม่ไปไหน แบบ โลงซ่อนผี ก็เป็นได้ แต่เมื่อร่วมทีมกับพระเณร ก็ทำให้เบาใจขึ้นบ้าง

             ห้องที่หลวงตาบุญเคยอาศัย อยู่ไกลสุดไปทางทิศใต้ ระเบียงทอดตัวยาวเหยียดไปข้างหน้าสุดแสงไฟ ทางเดินเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยเท้า คงจะเป็นรอยเท้าของหลวงพี่อินซึ่งมาสำรวจลาดเลาตอนกลางวัน  เวลาเดินผ่านหน้าห้องต่าง ๆ ที่บางห้องก็ประตูเปิดอ้า บ้างก็บานประตูหลุดหล่นเอียงตะเคียง มีเสียงกุกกักชวนให้สะดุ้งผวาอยู่เรื่อย ๆ ต้นไม้รอบด้านมีเสียงนกกลางคืนหลายชนิด ส่งเสียงร้องเป็นระยะสลับกันไป ฟังทีไรก็ชวนให้หนาวสะท้าน

             ห้องของหลวงตาบุญยังคงอยู่สภาพเดิม หลังจากการมรณภาพ ก็ไม่มีพระเณรมายุ่ง ในห้องไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากโต๊ะหมู่บูชา กระถางธูปเทียน เก่า ๆ สามเณรสองรูปพากันใช้ไม้กวาดเก่า ๆ ที่วางอยู่แถวนั้น ปัดกวาดพอให้สะอาด จากนั้นพิธีกรรมก็เริ่มต้นขึ้น หน้าโต๊ะหมู่บูชาร้าง ๆ นั่นเอง 
ไม่มีด้ายสายสิญจน์ ไม่มีขันน้ำมนต์ เพราะไม่ใช่การปราบผี แต่เป็นการปลุกของขลัง ที่ใช้คือเทียนไขหกเล่ม จุดวางบนพื้นแถวละสองเล่ม ธูปหนึ่งกำมือปักลงกระถางทราย  

            ตะเกียงน้ำมันวางบนโต๊ะบูชาสูงสุด ผมกับเณรทั้งหลายนั่งอย่างสำรวมด้านหลังหลวงพี่อิน ท่านบอกว่าให้มีสมาธิและทำใจให้นิ่ง ไม่ต้องหวั่นไหวถ้ามีเหตการณ์ผิดปกติ จากนั้นหลวงพี่ก็นั่งขัดสมาธิเริ่มท่องคาถาอาคม ด้วยภาษาที่ฟังไม่ออกว่า เป็นบาลีหรือเขมรกันแน่ ผมกับเพื่อนเณรทั้งหลายสะกดใจรอดูผลที่จะเกิดขึ้นอย่างใจจดจ่อ ความอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าความกลัวเสียอีก เพราะฟังตามที่หลวงพี่พูดคุยระหว่างทาง  เป็นพิธีปลุกเครื่องรางของขลัง ให้ตื่นตัวปลดปล่อยอำนาจ ปรากฏให้เห็นหลักแหล่งที่ซ่อนเท่านั้น ไม่ใช่การเรียกวิญญาณผีตายโหง เพื่อลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำฝังดินเสียที่ไหน ดังนั้นรายการนี้ ผีไม่มาเพราะไม่ได้นัด แน่นอน
     
             ผมในเวลานั้นบอกเลยว่า เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้ว่าจะเห็นเรื่องเหนือธรรมชาติมามากมาย แต่การปลุกเครื่องรางของขลัง ให้ขานรับปรากฏตัวเป็นสิ่งไม่เคยเห็น นึกไม่ออกว่า ถ้าเป็นจริง ของขลังเครื่องรางเหล่านั้น จะตอบสนองอย่างไร  เพื่อนเณรทั้งสามรูป ท่าทางมั่นอกมั่นใจ รอคอยแบบตื่นเต้น จนสังเกตได้เลยทีเดียว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่