ของแพง! สงกรานต์เงียบฉุดยอดขายลดลง
https://www.innnews.co.th/video/news_320719/
เศรษฐกิจไทยถือว่ายังย่ำแย่ในปัจจุบันซ้ำเติมด้วยราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นปัจจุบันราคาน้ำมันยังพุ่งสูงต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่ทำให้เอกชนผู้ผลิตสินค้าจ่อขึ้นราคาเหตุแบกรับต้นทุนไม่ไหว ขณะที่ภาครัฐจะขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า 18 หมวด เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
โดยในวันนี้ทีมข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ได้ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้า โดยเฉพาะพืชผักที่ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ พบว่า ผักกาดขาวกิโลกรัมละ 40 บาท โหระพากิโลกรัมละ 50 บาท ผักชีกิโลกรัมละ 90-100บาท ผักกาดหอมกิโลกรัมละ35บาท กะหล่ำปลี 30บาท ผักบุ้งจีน 20 บาท พริกแดงจินดาสด กิโลกรัมละ 70บาทมะนาว ราคากิโลกรัมละ 150บาท เบอร์เล็ก ส่วนเบอร์ใหญ่ กิโลกรัมละ250บาท ขายปลีกลูกละ 8-10บาท ขาย 10 ลูก ราคา 65 บาท
ด้านราคาน้ำพืชปาล์ม ราคายังสูงอยู่ที่ 65 บาทต่อขวด น้ำมันพืชปาล์มแบบถุง 1 ลิตร 80-90บาท เนื้อหมูราคา 160-190บาท ตามชนิดของเนื้อ เช่นหมูเนื้อแดง-สะโพกกิโลกรัมละ 160 บาท สันใน-สันนอกกิโลกรัมละ 180 บาท สามชั้นกิโลกรัมละ 190 บาท หมูบดกิโลกรัมละ160 บาท ซี่โครงหมูกิโลกรัมละ160-190บาท
ไก่สดกิโลกรัมละ 70-130 บาท เช่น น่องไก่กิโลกรัมละ 70บาท น่องไก่ติดสะโพกกิโลกรัมละ85บาท เนื้ออกติดหนังกิโลกรัมละ 80บาท เนื้อไก่ล้วนกิโลกรัมละ 90บาท เนื้อสันในไก่กิโลกรัมละ 85 บาท ปีกเต็มกิโลกรัมละ 90บาท ปีกกลางกิโลกรัมละ 130 บาท ด้านไข่ไก่แผงละบาท 115-135 ตามขนาดของไข่ไก่
ทั้งนี้ จากการสอบถามร้านค้า บอกกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า สำหรับราคาผักในตลาดนี้ราคายังทรงตัวไม่ปรับขึ้นจะมีเพียงมะนาว ที่ราคาปรับตัวขึ้นตามฤดูกาลที่เข้าสู่หน้าร้อนทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง มะนาวน้ำน้อย ซึ่งก่อนหน้าบาทจากเดิมกิโลกรัมละ 70-80 บาท เป็นกิโลกรัมละ 150-250 บาท ถือว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2564
เนื่องจากในปีนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้นเป็นต้นทุนหลักที่ทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับเจอเรื่องของภัยธรรมชาติทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลงและราคาปรับเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายแม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์แต่ถือว่าบรรยากาศการซื้อขายเงียบเหงาไม่คึกคัก เหตุเพราะเศรษฐกิจซบเซาประชาชนกำลังซื้อลดลง รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
โดยราคาสินค้าถือว่าตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมาสินค้าอย่างแพงต่อเนื่องเพราะต้นทุนสูงส่วนยอดขายถือว่าขายได้ไม่มากมายนัก แม้ราคาสินค้า จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ประชาชนจำเป็นต้องใช้จ่ายซื้อสินค้าทั้งของสด ผักสดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อนำไปประกอบอาหาร หรือแม้แต่จะซื้ออาหารสำเร็จรูปราคาอาหารก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้กระทบต่อค่าครองชีพ และเงินในกระเป๋าส่วนทางกับรายได้ที่ลดน้อยลง
ต้องติดตามว่าเรื่องของสถานการณ์ราคาสินค้า และราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนหลักทำให้ราคาสินค้านั้นแพงขึ้นรัฐบาลจะมีแนวทางในการดูแล หรือช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างนอกจากการขอความร่วมมือภาคเอกชนในการตรึงราคาสินค้า
เพื่อไทย ชูซอฟต์เพาเวอร์ฟื้นเศรษฐกิจ มั่นใจนโยบาย ปลุกคนกรุงเลือกส.ก.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6990801
เพื่อไทย ชูซอฟต์เพาเวอร์ฟื้น เศรษฐกิจ ให้ชาวคลองสามวา มั่นใจ 5 นโยบายหลักเป็นจริงได้ ปลุก ประชาชนเลือก ส.ก.พท.ให้มากที่สุดเพื่อผลักดันนโยบาย
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนาย
วิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. นาง
พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน 2 กทม.และ ผอ.เลือกตั้ง ส.ก. นาย
ดนุพร ปุณณกันต์ เลขานุการการเลือกตั้ง ส.ก. นาย
วราวุธ ยันต์เจริญ น.ส.
ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส. พร้อมด้วยน.ส.
นฤนันมนต์ ห่วงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตคลองสามวา เบอร์ 1 ร่วมกันลงพื้นที่ตลาดน้ำบึงพระยา วัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา
เพื่อพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าถึงบรรยากาศการค้าขายและสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมไปถึงเยี่ยมสินค้าโอทอปและของดีในชุมชน เพื่อหาหนทางในการส่งเสริมการตลาด สร้างรายได้ให้ประชาชน พร้อมล้อมวงคุยรับฟังปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่น้องประชาชนถึงแนวทางการ “
ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า” ด้วยนโยบาย “
50 เขต 50 ซอฟต์พาวเวอร์” โดยพี่น้องประชาชนสนใจสอบถามและแสดงความเห็นถึงนโยบายกรุงเทพมั่งคั่งของพรรคพท.อย่างมาก
นาย
วิชาญ กล่าวว่า นโยบายที่พรรคพท.นำเสนอทั้ง 5 นโยบายหลัก คือ กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี 50 เขต 50 โรงพยาบาล 30 บาทถึงที่หมาย 437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้ และ 50 เขต 50 ซอฟต์พาวเวอร์ ที่มุ่งลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เพราะพรรคพท.คิดบนพื้นฐานของความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นถ้า ส.ก.ของพรรคพท.ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปเป็นจำนวนมากพอ ก็จะมีโอกาสผลักดันนโยบายให้ประสบความสำเร็จได้
นาย
ดนุพร กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พี่น้องชาวกรุงเทพฯ จะต้องเลือกผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก.ที่เข้าใจความต้องการ เข้าใจปัญหาและใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนที่สุด วิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นและลุกลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้พี่น้องประชาชนยากลำบาก พรรคพท.มีนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชน ในอดีตพรรคก็เคยดำเนินนโยบายจนประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต พรรคคาดหวังที่จะนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมี ส.ก.เข้าไปทำงานในจำนวนที่มากพอ เพื่อบอกกับผู้บริหาร กทม.ดำเนินนโยบายที่เราต้องการผลักดันให้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้
ด้าน น.ส.
นฤนันมนต์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคพท.ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชน สามารถจับต้องได้และทำได้จริง โดยเฉพาะนโยบายกองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี ที่พี่น้องประชาชนจะมีอำนาจในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งนโยบาย50 เขต 50 ซอฟต์พาวเวอร์ ที่มุ่งพัฒนาซอฟต์เพาเวอร์ในแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยพี่น้องประชาชนและพี่น้องชาวคลองสามวาให้มีรายได้มากขึ้น และฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่ให้ดีขึ้น
‘เพื่อไทย’ ปัดฮั้วรัฐบาล หลังสงกรานต์ชัดวันซักฟอก
https://www.dailynews.co.th/news/943062/
'ประเสริฐ จันทรรวงทอง' ยันเพื่อไทยลุยซักฟอก ไม่มีฮั้ว รบ.แน่นอน แง้มจ่อชำแหละปมคลิปเสียงหวย-เรือดำน้ำไร้เครื่องยนต์ คาดหลังสงกรานต์ชัด วันยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ยืนยันพรรค พท.ไม่ฮั้วรัฐบาล ภายหลังมีกระแสข่าวฝ่ายค้าน เตรียมเลื่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จากเดิมช่วงเดือน พ.ค.ไปเดือน ส.ค. โดยนาย
ประเสริฐ กล่าวว่าพรรค พท. มีเนื้อหาการอภิปรายที่พร้อมมาก กรณีล่าสุดที่มีคลิปเสียงคนใกล้ชิดนายกฯ พูดเรื่องโควตาสลากกินแบ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องฉาวของรัฐบาลนี้ที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เตรียมนำรายละเอียดมาอภิปรายในสภา นอกจากประเด็นนี้ยังมีการซื้อเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ และเรื่องส่อทุจริตอื่นๆ อีก ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้ประชาชนเห็นธาตุแท้ของรัฐบาล เชื่อว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลลำบากใจ หากยกมือสนับสนุน เพราะประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ส.ส.เหล่านั้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“การอภิปรายรอบนี้รัฐบาลคงจะถูลู่ถูกังให้ผ่านไปไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆ ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ซักฟอกรอบนี้ไม่มีฮั้วอย่างแน่นอน ส่วนห้วงเวลาที่เหมาะสมในการยื่นอภิปรายนั้น หลังเทศกาลสงกรานต์ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือเพื่อกำหนดวันยื่นอภิปรายที่ชัดเจนออกมา” นายประเสริฐกล่าว.
"ธนาธร" นำ "คณะก้าวหน้า" เดินสายอีสาน รณรงค์แก้รัฐธรรมนูญ ปลดล็อกท้องถิ่น
https://www.thairath.co.th/news/politic/2363970
คณะก้าวหน้า เดินหน้า เข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญกระจายอำนาจ เปิดเวทีพบประชาชน-ผู้บริหารท้องถิ่น ภาคอีสาน “ธนาธร” ชี้ รัฐรวมศูนย์ คือ โซ่ตรวนประเทศ ส่วนท้องถิ่นคืออนาคต หากปลดล็อกได้ ท้องถิ่นจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น พัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชนก้าวกระโดด
วันที่ 9 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรณรงค์เข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 14 ว่าด้วยการกระจายอำนาจ “
ปลดล็อกท้องถิ่น” ที่ภาคอีสานครั้งนี้ จัดขึ้นที่ ต.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด, อ.เมือง จ. กาฬสินธุ์ และ อ.เมือง จ.มุกดาหาร ระหว่างวันที่ 7-9 เมษายน ซึ่งแกนนำคณะก้าวหน้าได้เปิดเวทีบรรยายต่อผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจ โดยมีการบรรยายจาก นาย
ชำนาญ จันทร์เรือง แกนนำคณะก้าวหน้า และนักวิชาการด้านการกระจายอำนาจ และนาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า
โดยในส่วนของนาย
ชำนาญ เป็นผู้บรรยายในหัวข้อ “
วิวัฒนาการการต่อสู้เรื่องการกระจายอำนาจ” ระบุว่า 130 ปี ที่ผ่านมานับตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการ คือ 130 ปีแห่งการดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นการปกครองที่นำตัวแบบมาจากอาณานิคมอังกฤษที่ปกครองอินเดียและประเทศในภูมิภาคเอเชีย มีราชการส่วนกลางส่งคนมาปกครองพื้นที่ต่างๆ ต่อมาได้วิวัฒนาการจนมีหน่วยงานต่างๆ เป็นกลไกการปกครองจากส่วนกลางเกิดขึ้นตามมา มีความพยายามกระจายอำนาจเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเป็นไปภายใต้ข้อจำกัดที่สงวนอำนาจให้ส่วนกลางมากกว่า
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายประชาชนมีการรณรงค์ให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงมาตลอดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การรณรงค์จังหวัดปกครองตนเอง มาจนถึงการรณรงค์ปลดล็อกท้องถิ่นในรอบนี้ ในแต่ละรอบแม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีความก้าวหน้าในด้านความเข้าใจของประชาชนมากขึ้นตามลำดับ และปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นความปรารถนาร่วมของประชาชนชาวไทยแล้วอย่างแทบเป็นเอกฉันท์ ที่ต้องการเห็นการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงเกิดขึ้น
ด้านนาย
ธนาธร ได้เป็นผู้บรรยายถึงหลักการสำคัญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 13 ของคณะก้าวหน้า ซึ่งในช่วงแรกได้พูดถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ ว่า คนไทยทุกวันนี้มีเพียง 1% เท่านั้น ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน ที่จนที่สุด 1% มีรายได้เฉลี่ย 2,500 บาทต่อเดือน ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางมีรายได้เฉลี่ยเพียง 7,500 บาทต่อเดือน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่คนไทยคนไหนก็ตามที่มีรายได้เพียงมากกว่า 8,000 บาทต่อเดือน เท่ากับรวยกว่าคนครึ่งหนึ่งของประเทศนี้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องบุญกรรม แต่เป็นคำถามที่ว่าใครได้เป็นผู้ถือและใช้ทรัพยากรของทุกคนอยู่
นี่จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ปลดล็อกท้องถิ่น โดยคณะก้าวหน้าในครั้งนี้ ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 14 ซึ่งมีหลักใหญ่ใจความ สองเรื่อง
ประการแรก คือ เรื่องของอำนาจ ให้ในท้องถิ่นทุกที่ของประเทศไทย มีอำนาจบริหารเพียงหนึ่งเดียว คือ อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นเท่านั้น เหมือนทุกประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ไม่มีประเทศไหน มีกลไกผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ถูกแต่งตั้งมาจากส่วนกลางมาเป็นผู้ปกครอง อำนาจเป็นของคนในพื้นที่ ที่เลือกผู้นำของตนเองมาปกครอง มีอำนาจในการจัดการเป็นของท้องถิ่น
JJNY : 5in1 สงกรานต์เงียบฉุดยอดขายลดลง│พท.ชูซอฟต์เพาเวอร์│พท.ปัดฮั้วรบ.│ธนาธรรณรงค์แก้รธน.│ไบเดนลงนามกม.คว่ำบาตรรัสเซีย
https://www.innnews.co.th/video/news_320719/
เศรษฐกิจไทยถือว่ายังย่ำแย่ในปัจจุบันซ้ำเติมด้วยราคาสินค้า ราคาน้ำมัน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นปัจจุบันราคาน้ำมันยังพุ่งสูงต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่ทำให้เอกชนผู้ผลิตสินค้าจ่อขึ้นราคาเหตุแบกรับต้นทุนไม่ไหว ขณะที่ภาครัฐจะขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า 18 หมวด เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
โดยในวันนี้ทีมข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ได้ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้า โดยเฉพาะพืชผักที่ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ พบว่า ผักกาดขาวกิโลกรัมละ 40 บาท โหระพากิโลกรัมละ 50 บาท ผักชีกิโลกรัมละ 90-100บาท ผักกาดหอมกิโลกรัมละ35บาท กะหล่ำปลี 30บาท ผักบุ้งจีน 20 บาท พริกแดงจินดาสด กิโลกรัมละ 70บาทมะนาว ราคากิโลกรัมละ 150บาท เบอร์เล็ก ส่วนเบอร์ใหญ่ กิโลกรัมละ250บาท ขายปลีกลูกละ 8-10บาท ขาย 10 ลูก ราคา 65 บาท
ด้านราคาน้ำพืชปาล์ม ราคายังสูงอยู่ที่ 65 บาทต่อขวด น้ำมันพืชปาล์มแบบถุง 1 ลิตร 80-90บาท เนื้อหมูราคา 160-190บาท ตามชนิดของเนื้อ เช่นหมูเนื้อแดง-สะโพกกิโลกรัมละ 160 บาท สันใน-สันนอกกิโลกรัมละ 180 บาท สามชั้นกิโลกรัมละ 190 บาท หมูบดกิโลกรัมละ160 บาท ซี่โครงหมูกิโลกรัมละ160-190บาท
ไก่สดกิโลกรัมละ 70-130 บาท เช่น น่องไก่กิโลกรัมละ 70บาท น่องไก่ติดสะโพกกิโลกรัมละ85บาท เนื้ออกติดหนังกิโลกรัมละ 80บาท เนื้อไก่ล้วนกิโลกรัมละ 90บาท เนื้อสันในไก่กิโลกรัมละ 85 บาท ปีกเต็มกิโลกรัมละ 90บาท ปีกกลางกิโลกรัมละ 130 บาท ด้านไข่ไก่แผงละบาท 115-135 ตามขนาดของไข่ไก่
ทั้งนี้ จากการสอบถามร้านค้า บอกกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า สำหรับราคาผักในตลาดนี้ราคายังทรงตัวไม่ปรับขึ้นจะมีเพียงมะนาว ที่ราคาปรับตัวขึ้นตามฤดูกาลที่เข้าสู่หน้าร้อนทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง มะนาวน้ำน้อย ซึ่งก่อนหน้าบาทจากเดิมกิโลกรัมละ 70-80 บาท เป็นกิโลกรัมละ 150-250 บาท ถือว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2564
เนื่องจากในปีนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้นเป็นต้นทุนหลักที่ทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับเจอเรื่องของภัยธรรมชาติทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลงและราคาปรับเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่บรรยากาศการซื้อขายแม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์แต่ถือว่าบรรยากาศการซื้อขายเงียบเหงาไม่คึกคัก เหตุเพราะเศรษฐกิจซบเซาประชาชนกำลังซื้อลดลง รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
โดยราคาสินค้าถือว่าตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่เป็นต้นมาสินค้าอย่างแพงต่อเนื่องเพราะต้นทุนสูงส่วนยอดขายถือว่าขายได้ไม่มากมายนัก แม้ราคาสินค้า จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ประชาชนจำเป็นต้องใช้จ่ายซื้อสินค้าทั้งของสด ผักสดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อนำไปประกอบอาหาร หรือแม้แต่จะซื้ออาหารสำเร็จรูปราคาอาหารก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้กระทบต่อค่าครองชีพ และเงินในกระเป๋าส่วนทางกับรายได้ที่ลดน้อยลง
ต้องติดตามว่าเรื่องของสถานการณ์ราคาสินค้า และราคาน้ำมันที่เป็นต้นทุนหลักทำให้ราคาสินค้านั้นแพงขึ้นรัฐบาลจะมีแนวทางในการดูแล หรือช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างนอกจากการขอความร่วมมือภาคเอกชนในการตรึงราคาสินค้า
เพื่อไทย ชูซอฟต์เพาเวอร์ฟื้นเศรษฐกิจ มั่นใจนโยบาย ปลุกคนกรุงเลือกส.ก.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6990801
เพื่อไทย ชูซอฟต์เพาเวอร์ฟื้น เศรษฐกิจ ให้ชาวคลองสามวา มั่นใจ 5 นโยบายหลักเป็นจริงได้ ปลุก ประชาชนเลือก ส.ก.พท.ให้มากที่สุดเพื่อผลักดันนโยบาย
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานโซน 2 กทม.และ ผอ.เลือกตั้ง ส.ก. นายดนุพร ปุณณกันต์ เลขานุการการเลือกตั้ง ส.ก. นายวราวุธ ยันต์เจริญ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส. พร้อมด้วยน.ส.นฤนันมนต์ ห่วงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตคลองสามวา เบอร์ 1 ร่วมกันลงพื้นที่ตลาดน้ำบึงพระยา วัดพระยาสุเรนทร์ เขตคลองสามวา
เพื่อพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าถึงบรรยากาศการค้าขายและสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมไปถึงเยี่ยมสินค้าโอทอปและของดีในชุมชน เพื่อหาหนทางในการส่งเสริมการตลาด สร้างรายได้ให้ประชาชน พร้อมล้อมวงคุยรับฟังปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่น้องประชาชนถึงแนวทางการ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า” ด้วยนโยบาย “50 เขต 50 ซอฟต์พาวเวอร์” โดยพี่น้องประชาชนสนใจสอบถามและแสดงความเห็นถึงนโยบายกรุงเทพมั่งคั่งของพรรคพท.อย่างมาก
นายวิชาญ กล่าวว่า นโยบายที่พรรคพท.นำเสนอทั้ง 5 นโยบายหลัก คือ กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี 50 เขต 50 โรงพยาบาล 30 บาทถึงที่หมาย 437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้ และ 50 เขต 50 ซอฟต์พาวเวอร์ ที่มุ่งลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เพราะพรรคพท.คิดบนพื้นฐานของความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นถ้า ส.ก.ของพรรคพท.ได้รับการเลือกตั้งเข้าไปเป็นจำนวนมากพอ ก็จะมีโอกาสผลักดันนโยบายให้ประสบความสำเร็จได้
นายดนุพร กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พี่น้องชาวกรุงเทพฯ จะต้องเลือกผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก.ที่เข้าใจความต้องการ เข้าใจปัญหาและใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนที่สุด วิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นและลุกลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้พี่น้องประชาชนยากลำบาก พรรคพท.มีนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชน ในอดีตพรรคก็เคยดำเนินนโยบายจนประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต พรรคคาดหวังที่จะนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมี ส.ก.เข้าไปทำงานในจำนวนที่มากพอ เพื่อบอกกับผู้บริหาร กทม.ดำเนินนโยบายที่เราต้องการผลักดันให้เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนได้
ด้าน น.ส.นฤนันมนต์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคพท.ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องประชาชน สามารถจับต้องได้และทำได้จริง โดยเฉพาะนโยบายกองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี ที่พี่น้องประชาชนจะมีอำนาจในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งนโยบาย50 เขต 50 ซอฟต์พาวเวอร์ ที่มุ่งพัฒนาซอฟต์เพาเวอร์ในแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยพี่น้องประชาชนและพี่น้องชาวคลองสามวาให้มีรายได้มากขึ้น และฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่ให้ดีขึ้น
‘เพื่อไทย’ ปัดฮั้วรัฐบาล หลังสงกรานต์ชัดวันซักฟอก
https://www.dailynews.co.th/news/943062/
'ประเสริฐ จันทรรวงทอง' ยันเพื่อไทยลุยซักฟอก ไม่มีฮั้ว รบ.แน่นอน แง้มจ่อชำแหละปมคลิปเสียงหวย-เรือดำน้ำไร้เครื่องยนต์ คาดหลังสงกรานต์ชัด วันยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ยืนยันพรรค พท.ไม่ฮั้วรัฐบาล ภายหลังมีกระแสข่าวฝ่ายค้าน เตรียมเลื่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล จากเดิมช่วงเดือน พ.ค.ไปเดือน ส.ค. โดยนายประเสริฐ กล่าวว่าพรรค พท. มีเนื้อหาการอภิปรายที่พร้อมมาก กรณีล่าสุดที่มีคลิปเสียงคนใกล้ชิดนายกฯ พูดเรื่องโควตาสลากกินแบ่งเป็นอีกหนึ่งเรื่องฉาวของรัฐบาลนี้ที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เตรียมนำรายละเอียดมาอภิปรายในสภา นอกจากประเด็นนี้ยังมีการซื้อเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ และเรื่องส่อทุจริตอื่นๆ อีก ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้ประชาชนเห็นธาตุแท้ของรัฐบาล เชื่อว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลลำบากใจ หากยกมือสนับสนุน เพราะประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ส.ส.เหล่านั้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
“การอภิปรายรอบนี้รัฐบาลคงจะถูลู่ถูกังให้ผ่านไปไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆ ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ซักฟอกรอบนี้ไม่มีฮั้วอย่างแน่นอน ส่วนห้วงเวลาที่เหมาะสมในการยื่นอภิปรายนั้น หลังเทศกาลสงกรานต์ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือเพื่อกำหนดวันยื่นอภิปรายที่ชัดเจนออกมา” นายประเสริฐกล่าว.
"ธนาธร" นำ "คณะก้าวหน้า" เดินสายอีสาน รณรงค์แก้รัฐธรรมนูญ ปลดล็อกท้องถิ่น
https://www.thairath.co.th/news/politic/2363970
คณะก้าวหน้า เดินหน้า เข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญกระจายอำนาจ เปิดเวทีพบประชาชน-ผู้บริหารท้องถิ่น ภาคอีสาน “ธนาธร” ชี้ รัฐรวมศูนย์ คือ โซ่ตรวนประเทศ ส่วนท้องถิ่นคืออนาคต หากปลดล็อกได้ ท้องถิ่นจะมีอำนาจเพิ่มขึ้น พัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตประชาชนก้าวกระโดด
วันที่ 9 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรณรงค์เข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 14 ว่าด้วยการกระจายอำนาจ “ปลดล็อกท้องถิ่น” ที่ภาคอีสานครั้งนี้ จัดขึ้นที่ ต.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด, อ.เมือง จ. กาฬสินธุ์ และ อ.เมือง จ.มุกดาหาร ระหว่างวันที่ 7-9 เมษายน ซึ่งแกนนำคณะก้าวหน้าได้เปิดเวทีบรรยายต่อผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจ โดยมีการบรรยายจาก นายชำนาญ จันทร์เรือง แกนนำคณะก้าวหน้า และนักวิชาการด้านการกระจายอำนาจ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า
โดยในส่วนของนายชำนาญ เป็นผู้บรรยายในหัวข้อ “วิวัฒนาการการต่อสู้เรื่องการกระจายอำนาจ” ระบุว่า 130 ปี ที่ผ่านมานับตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการ คือ 130 ปีแห่งการดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง เป็นการปกครองที่นำตัวแบบมาจากอาณานิคมอังกฤษที่ปกครองอินเดียและประเทศในภูมิภาคเอเชีย มีราชการส่วนกลางส่งคนมาปกครองพื้นที่ต่างๆ ต่อมาได้วิวัฒนาการจนมีหน่วยงานต่างๆ เป็นกลไกการปกครองจากส่วนกลางเกิดขึ้นตามมา มีความพยายามกระจายอำนาจเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็ยังเป็นไปภายใต้ข้อจำกัดที่สงวนอำนาจให้ส่วนกลางมากกว่า
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายประชาชนมีการรณรงค์ให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงมาตลอดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การรณรงค์จังหวัดปกครองตนเอง มาจนถึงการรณรงค์ปลดล็อกท้องถิ่นในรอบนี้ ในแต่ละรอบแม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีความก้าวหน้าในด้านความเข้าใจของประชาชนมากขึ้นตามลำดับ และปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นความปรารถนาร่วมของประชาชนชาวไทยแล้วอย่างแทบเป็นเอกฉันท์ ที่ต้องการเห็นการกระจายอำนาจอย่างแท้จริงเกิดขึ้น
ด้านนายธนาธร ได้เป็นผู้บรรยายถึงหลักการสำคัญของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 13 ของคณะก้าวหน้า ซึ่งในช่วงแรกได้พูดถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ ว่า คนไทยทุกวันนี้มีเพียง 1% เท่านั้น ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน ที่จนที่สุด 1% มีรายได้เฉลี่ย 2,500 บาทต่อเดือน ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางมีรายได้เฉลี่ยเพียง 7,500 บาทต่อเดือน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่คนไทยคนไหนก็ตามที่มีรายได้เพียงมากกว่า 8,000 บาทต่อเดือน เท่ากับรวยกว่าคนครึ่งหนึ่งของประเทศนี้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องบุญกรรม แต่เป็นคำถามที่ว่าใครได้เป็นผู้ถือและใช้ทรัพยากรของทุกคนอยู่
นี่จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ปลดล็อกท้องถิ่น โดยคณะก้าวหน้าในครั้งนี้ ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 14 ซึ่งมีหลักใหญ่ใจความ สองเรื่อง
ประการแรก คือ เรื่องของอำนาจ ให้ในท้องถิ่นทุกที่ของประเทศไทย มีอำนาจบริหารเพียงหนึ่งเดียว คือ อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นเท่านั้น เหมือนทุกประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ไม่มีประเทศไหน มีกลไกผู้ว่าราชการจังหวัด ที่ถูกแต่งตั้งมาจากส่วนกลางมาเป็นผู้ปกครอง อำนาจเป็นของคนในพื้นที่ ที่เลือกผู้นำของตนเองมาปกครอง มีอำนาจในการจัดการเป็นของท้องถิ่น