ฝันหวาน (Sweet Dream) 90

กระทู้สนทนา

.

            เมื่อคืนพรนภานอนหลับไปอย่างสนิทด้วยความเพลียปนเมา ตื่นขึ้นมาอีกทีเช้ามืดของวันใหม่ในเวลาตีห้า มองดูนาฬิกาในโทรศัพท์บอกเวลาตีห้าสามนาที หันไปมองคนข้าง ๆ ท่ามกลางความมืดสลัวของห้อง เมธีสามีคราวพ่อยังหลับสนิทอยู่ไม่ไหวติง

             นึกอะไรขึ้นมาได้ กลับบ้านทั้งทีอวดเพื่อนหน่อยดีกว่า กระตุกยิ้มให้กับความคิดของตนเอง มันมีความสุขเหลือเกินกับการที่ได้กลับมานอนบ้าน บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด เธอจึงเช็กอินว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่นี่ ที่บ้าน!

             กดเข้าไปยังแอปพลิเคชันแสดงองศาของอากาศในโทรศัพท์ แค็ปหน้าจอและอัปรูปลงในเฟซบุ๊กว่าตอนนี้กี่โมง อุณหภูมิกี่องศา และ ที่นี่ที่ไหน พร้อมโพสต์ข้อความใต้รูปกำกับเอาไว้ด้วย ปกติก็ตื่นเวลานี้ประจำ

             พอตื่นแล้วเธอก็เปิดประตูออกมากะว่าจะสูดอากาศหนาวสักหน่อย สวมเสื้อคลุมเดินออกมาจากห้องนอน ในห้องนอนมันอุ่นมากทว่าอากาศในห้องโถงของบ้านเย็นยะเยือก อยากเปิดประตูบ้านออกไปนั่งข้างนอกก็ไม่กล้า เพราะตีห้าที่บ้านนอกยังมืดอยู่เธอกลัวผี

             ด้วยอากาศที่เย็นทำให้เธอเริ่มมีการไอไม่หยุด จึงเลิกอยากสูดอากาศและกลับเข้าไปนอนในห้องนอนเหมือนเดิม กลับมานอนบนเตียงกับสามี ห่มผ้านวมที่แสนอุ่นนอนกอดสามีและผล็อยหลับไปในที่สุด

             เจ็ดโมงเช้าเธอตื่นขึ้นมาอีกรอบ ไม่เห็นเมธีอยู่บนเตียงแล้ว จากนั้นก็ลุกเดินออกมาจากในห้องนอนอีกครั้ง เดินออกมาข้างนอกพบว่าเมธีกับพ่อกำลังเดินวน ๆ ดูรถกระบะของพ่ออยู่ ไม่รู้พ่อตากับลูกเขยทำอะไรกัน

             “ยายนภาอยากทานข้าวจี่ ก่อไฟจี่ข้าวจี่ก่อนนะ” เธอพูด พร้อมนั่งลงที่เตาถ่าน คดขี้เถ้าออกจากเตา จุดไฟแล้วนำถ่านมาใส่ไฟ รอให้ถ่านติดไฟแดงเต็มที่เธอค่อยนำข้าวเหนียวกับไข่มาจี่ข้าว

             “จี่ก็จี่เลย ทำเผื่อยายด้วย ของยายไม่ทาไข่นะ” ยายบอกกับเธอ

             “นภาทำให้แม่ด้วยอันนึง” แม่พูดมาแต่ไกล ๆ เดินไปบ้านใครมาแต่เช้า

             “พ่อกับพี่เมธีเอาข้าวจี่มั้ย เดี๋ยวนภาทำให้คนละอัน” เธอร้องถามสองพ่อลูกที่กำลังง่วนอยู่กับรถของพ่อ พ่อปฏิเสธทว่าเมธีตกลงจะเอาด้วย จากนั้นเธอก็จัดการทำข้าวจี่ให้ทุกคน ๆ ละอัน ของตนเองค่อยทำทีหลังเพื่อน กะว่าจี่ข้าวจี่เสร็จจะรีบไปอาบน้ำและเดินทางไปยังบ้านของเมธีกันเลย

             แม้ในใจจะไม่อยากไปทว่าก็จำต้องไป คนที่บ้านของเมธีก็รักและเอ็นดูเธอมากเหมือนกัน แม้จะอายุห่างกันลิบลับ คนที่บ้านของเมธีไม่เคยพูดให้ไม่สบายใจเลยสักครั้ง ไม่เคยมองเธอไปในทางที่ไม่ดี มีแต่กลัวพวกเธอไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตคู่

             ผ่านไปสักพักข้าวจี่ของแต่ละคนก็เสร็จสรรพ ทุกคนรับข้าวจี่ไปทานอย่างอร่อย ส่วนเธอขอตัวไปอาบน้ำก่อนค่อยกลับมาทานข้าวจี่ของตนเองที่ทำไว้

             “พี่เมธีอาบน้ำแล้วเหรอคะ” เธอถามสามี ขณะกำลังถือว่าเช็ดตัวจะเดินเข้าห้องน้ำ

             “เค้าไม่อาบค่ะ เค้าหนาว! ล้างหน้าแปรงฟังอย่างเดียว รอไปอาบน้ำอุ่นที่บ้าน” เมธีตอบ เธออมยิ้มให้สามีไม่อาบก็ไม่ว่าอะไร เพราะอากาศมันหนาวพลันทำให้น้ำเย็นยะเยือกไปด้วย ส่วนเธอถึงอย่างไรก็ต้องอาบ เพราะเมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำแล้ว ครั้นจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น สมาชิกที่บ้านของเธอลงความเห็นว่าไม่จำเป็น แม่กับพ่อไม่ใช้ ยายก็ไม่ใช้ด้วย

             “ตามใจค่ะ งั้นนภาขอตัวอาบน้ำก่อนนะ ทานข้าวเช้าเสร็จเราก็ไปบ้านพี่เมธีกันเลย” เธอกล่าว

             “ค่ะ” เขาตอบ จากนั้นทั้งเขาและเธอก็แยกกัน เธอเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ที่บ้านไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นเลยจำใจต้องอาบน้ำเย็น แต่ก็ไม่เป็นปัญหากับเธอ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องอาบให้ได้อยู่แล้ว นอกจากจะต้มน้ำอาบเอาเอง ดูคลาสสิกดี แต่เธอก็ไม่ทำ

             พรนภารีบอาบน้ำให้เสร็จเร็ว ๆ เป็นการอาบน้ำที่ใช้เวลาน้อยมาก จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าห้องนอนของตนเอง เพื่อแต่งตัวสวมเสื้อผ้าเพื่อให้คลายหนาว ก่อนจะแต่งหน้าทำผม ไม่นานก็เป็นอันเสร็จสิ้น พอเดินออกมาจากในห้องก็พบว่าแม่ทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยไว้รอแล้ว

             พวกเธอทานข้าวเช้ากันแล้วก็ขอลาแม่กับยายและพ่อของเธอไปบ้านเมธีกันเลย วันที่สามสิบเอ็ดพวกเธอถึงจะย้อนกลับมาที่บ้านอีกครั้ง

             “ทำไมเงียบคะ” เมธีจับผิดสังเกตได้ เมื่อเช้าและก่อนหน้านี้ภรรยารุ่นลูกยังคึกคักอยู่เลย แต่พอขับรถออกจากบ้านกลับเงียบผิดปกติ “คิดอะไรอยู่เหรอ ตัวเองบอกเค้าได้มั้ย”

             “เปล่าค่ะ นภาแค่คิดอะไรเพลิน ๆ นิดหน่อย” เธอปฏิเสธ ทั้งที่ยอมรับว่าคิดเรื่องที่จะไปนอนบ้านของสามีตั้งสองคืน ไม่ได้คิดมากอะไรทว่าจนวันนี้มันก็ยังเขิน ไม่ค่อยชินเอาเสียเลย มันเป็นความเขินมากกว่า ถ้าเลือกได้ก็อยากอยู่ที่บ้านของตนเอง

             “บ้านของพี่ก็เหมือนบ้านของน้องนะคะ บ้านเรา บ้านของเรา” เมธีพูดด้วยความเข้าใจ พร้อมยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของพรนภาเบา ๆ ก่อนจะปล่อยลง “มีอะไรบอกพี่ได้เลย และก็ไม่ต้องห่วงด้วย เค้าจะอยู่กับน้องตลอดเวลาค่ะ”

             “สัญญา!” เธอหันมาพูดพร้อมมองใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้น

             “ค่ะ! พี่สัญญา” เขาตอบปนยิ้ม รู้นิสัยของภรรยาสาวคราวลูกดี รู้ว่าอึดอัดก็ยังตามมาด้วยเพราะเกรงใจเขา นึกขอบคุณที่ทำเพื่อเขา เห็นแก่เขา เพราะฉะนั้นเมื่อไปถึงบ้านของเขาแล้ว มีหรือจะทำในสิ่งที่พรนภาไม่สบายใจหรือไม่มีความสุข

             “บ้านเรา! พ่อแม่ของเรา” เมธีพูด

             “และลูกเรา!” เธอพูดแทรก ทั้งเธอและเขายิ้มให้กัน ขณะนี้รถก็ได้เคลื่อนตัวเข้ามาในตัวเมืองแล้ว อีกไม่ไกลก็ถึงบ้านของเมธี “ไม่ให้เรียกแม่นะ น้า หรือ อาได้อยู่” เธอพูดถึงลูกชายของสามี เธอมีสถานะเป็นแม่เลี้ยง แต่อยากให้เรียกพี่ ด้วยอายุที่ห่างกันไม่มากนัก

             “ทำไมคะ ก็เป็นแม่อ่ะ!” เขาพูดกวน เพียงอยากพูดแกล้งเย้าแหย่พรนภาเท่านั้น

             “ม่าย! พี่เมธี ฮ่วย! ตัวเองอย่ามาทำเป็นไม่รู้เลยว่าทำไมน่ะ ฮ่วย…” พรนภาหันมาค่อนขอดให้สามี “ก็สถานะแม่ไง แต่ไม่อยากให้เรียกไง ห่างกันสักยี่สิบปีจะให้เรียกอยู่ นี่อะไรห่างกันแค่สิบกว่าปีเอง”

             “ค้าบ! เรียกพี่ก็เรียกพี่” เขาพูดกลั้วยิ้ม

             “ช่าย! ถูกต้อง อย่างนั้นแหละเรียกอย่างนั้นเลย นภาไม่ถือ พี่เมธีหรือใคร ๆ ก็ไม่ต้องไปถือ ก็รู้อยู่แล้วว่าสถานะใครเป็นใคร แต่ไม่จำเป็นต้องเรียกให้ตรงเป๊ะก็ได้ นภาสะดวกให้เรียกพี่ค่ะ” เธอพูดยืดยาว รู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อจะให้ลูกเลี้ยงเรียกแม่ เพราะห่างกันแค่สิบสามปีเอง

             “หลาน ๆ อนุโลมนะ ให้เรียกป้าได้อยู่ แต่ว่าก็ไม่น่าเรียกหรอก ห่างกันไม่กี่ปีเหมือนลิพูล” เธอพูดถึงลูก ๆ ของน้องสาวสามี ที่อายุห่างกันเพียงสิบกว่าปีเช่นกัน อายุไล่เลี่ยกันกับลูกชายของสามี

             “ค้าบพี่ก็พูดเฉย ๆ แหละ น้องสะดวกแบบไหนจัดเลยค่ะ พี่ไม่ถือหรอก แม่ก็ไม่ถือ” เขาพูด แววตาที่มองมามีแต่ความห่วงใยและเข้าใจ แค่เพียงเขาและเธอรักกันก็เพียงพอที่สุดแล้ว

             รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดในโรงจอดรถภายในบริเวณบ้าน เห็นแม่และลูกชายนั่งมองรถของพวกเธอกันสองคน ลูกชายของเมธีมานอนค้างที่บ้านกับย่าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ส่วนน้องสาวน้องเขยและหลาน ๆ สงสัยไม่อยู่บ้านเพราะไม่เห็นรถเลย

             เมื่อรถจอดสนิทพรนภาเปิดประตูรถก้าวเท้าลงมา เดินมาหาผู้เป็นแม่ของสามีกับลูกชายที่นั่งมองอยู่ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เมธีถือของฝากเดินตามมา ลูกชายของเมธีเองก็ยกมือไหว้เธอเช่นกัน ทั้งเธอและลูกเลี้ยงต่างเข้าใจซึ่งกันแลกัน ไม่เคยมีปัญหาสำหรับเรื่องนี้

             “ไหนบอกไปบ้านนู้นก่อนไง ทำไมกลับมาเร็วจัง” แม่ของเมธีถาม เธอยิ้มหันไปมองคนเป็นสามี

             “อ่อพี่เมธีอยากมานภาก็เลยพามาค่ะ วันที่สามสิบเอ็ดเราค่อยจะกลับไปอีกที” เธอตอบ ไม่อยากเล่าไปตามความจริง รวบรัดตัดความเลยง่ายดี

             “ฮ่วย! พ่อเฒ่าแม่เฒ่าสิบ่อว่าบ่อ” แม่ของเมธีกล่าวอย่างเป็นห่วง เห็นว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะสม น่าจะอยู่หลายวันมากกว่านี้สักหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นลูกเขย

             “ไม่ว่าหรอกค่ะแม่ ทีแรกนภาว่าจะแวะบ้านนี้ก่อนแหละ แต่มีเหตุให้ต้องไปนอนที่บ้านของนภาก่อน คุยกับแม่แล้วแม่ไม่ว่าอะไรค่ะ” พูดพร้อมแอบหันไปค่อนขอดให้เมธี ที่อยากกินลาบก้อยต้มจนเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ที่วางแผนเอาไว้ไม่ใช่แบบนี้เลย

             เธอนั่งคุยกับแม่ของสามี ส่วนพ่อกับลูกชายก็นั่งคุยกัน มีของฝากอะไรมาให้กันด้วยก็ไม่รู้ พอมาอยู่ด้วยกันสองพ่อลูกก็หน้าตาคล้ายกันมากอย่างกับแฝด ทำให้เธออดนึกถึงเรื่องความเชื่อบางเรื่องแถวหมู่บ้านของเธอไม่ได้ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดก่อน บอกว่า ‘พ่อลูกหน้าตาเหมือนกันมาก ๆ มักจะอาภัพ’ ไม่จากเป็นก็จากตาย ถึงว่าทำไมพ่อลูกถึงได้แยกกันอยู่ มาดูตอนนี้เหมือนกันอย่างกับแกะ

             “พูลเล่นเกมอันนี่เปล่า พับจีน่ะ” เมธีถามลูกชาย คุยกันเรื่องเกมคุยกันถูกคอใหญ่เลย แทนที่มาถึงจะรีบไปอาบน้ำก็ไม่ยอมทำ

             “เล่น! พ่อชื่ออะไร โพร์ไฟล์พ่ออ่ะ ไหนป้าด!!! เทพมาก! อย่าบอกนะว่าพ่อสายเติม ฮา” โดนลูกชายล้อเข้าให้ พูดกลั้วหัวเราะมองหน้าคนเป็นพ่อตนเอง “โถ่…”

             “ลิพูลพูดดิ กาก! สายเติมกากมาก ฮา” พรนภาได้ทีแซวสามีเสียเลย แอบเหน็บเบา ๆ ด้วยที่อายุจนป่านนี้แล้วยังติดเกม เติมเกมแบบเด็ก ๆ อีก “พ่อเติมเกมตลอด เล่นอ่อนไงแต่เติมเพื่อให้ตัวเองอัพเลเวล”

             “เฮ้ย…” เมธีอุทานเบา ๆ ปนรอยยิ้มมองหน้าลูกชายสลับกับมองหน้าเธอ ส่วนลิพูลก็อ้ำอึ้งไม่กล้าพูด เอาแต่หัวเราะคนเป็นพ่อ “เติมอะไรพ่อเล่นเองทั้งนั้นอย่าไปเชื่อพี่นภา พ่อเล่นมานานแล้วด้วย พ่อมีตี้ประจำของพ่อไม่ค่อยเล่นกับคนอื่นหรอก”

             “พูลเล่นฟีไฟว์ นาน ๆ จะเล่นพับจีที” ลูกชายพูด ส่วนเธอกับแม่นั่งฟังใกล้ ๆ กัน ยังไม่ทันนำกระเป๋าเสื้อผ้ากับของฝากไปเก็บในบ้าน

            “พี่เมธีเอาของไปเก็บดิ ไปอาบน้ำด้วย ค่อยกลับมาเล่นเกมก็ได้มั้ย” สุดท้ายเธอก็ต้องบอกให้ไป ไม่อย่างนั้นนั่งโม้ยาวแน่ ๆ ไม่เพียงแค่เมธีเธอเองก็ช่วยยกไปเก็บด้วย จากนั้นก็กลับออกมานั่งคุยกับแม่สามีและลูกชายต่อ

             “เอ่อแม่น้องไปไหน” เมธีถามหาน้องสาวของตนเอง ตั้งแต่มาถึงไม่เห็นหน้าเลยรถก็ไม่อยู่ หลาน ๆ ก็ไม่เห็นใครสักคน

             “ไปบ้านย่าเขานั่นล่ะ” แม่ตอบ แสดงว่าที่บ้านก็จะมีแค่เธอ เมธี แม่และลูกชาย พรนภาแอบลอบถอนหายใจ จะได้ไม่เกร็ง ทำไมช่างโชคดีแบบนี้ก็ไม่รู้ นึกในใจพร้อมคลี่ยิ้มนิดหน่อย

             “เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน พูลพาย่าทานข้าวเช้ายัง ถ้ายังเดี๋ยวพ่อทำให้แป็บเดียว” เขาอาสาทำเองสำหรับวันนี้ไปจนถึงวันที่สามสิบที่อยู่ที่บ้านกันเลย

             “แม่กับพูลทานแล้ว แกกับเมียน่ะทานมายัง” แม่ตอบพร้อมถามกลับ

             “นภาทานมาแล้วค่ะ เย็นนี้เราย่างหมึกกัน หรือจะย่างเลยก็ได้” พรนภาภูมิใจนำเสมออวดมาก ๆ ซื้อมาจากนาเกลือ แบ่งให้ที่บ้านของตนเองและนำมาที่บ้านนี้ด้วย

             “ตอนเย็นก็ได้ลูก แม่ทานข้าวแล้ว” แม่ของสามีตอบ เธอนั่งคุยด้วยที่หน้าบ้าน มองรถวิ่งผ่านไปผ่านมาอยู่อย่างนั้น

             “ลิพูลพ่ออาบน้ำเสร็จเราไปโลตัสกัน” เธอชวน คิดว่าลูกชายคงอยากได้อะไรเป็นของขวัญปีใหม่แน่ ๆ ยิ่งวัยรุ่นแบบนี้ด้วย ลูกไม่ขอทว่าเธอเสนอเอง

             “จะพากันไปทำไม โรคยิ่งชุกชุมอยู่ อะไรนะโอมิคงโอมิครอนอะไรน่ะ” แม่ของสามีกล่าว เธอก็ทำได้เพียงยิ้มไม่พูดอะไรต่ออีก

             “พูลไม่ซื้ออะไรหรอก พูลจะให้พ่อเติมเกมให้” ลูกชายพูดด้วยรอยยิ้ม

           “ขอเลย พ่อเติมเป็นหมื่น! กางเกงสักตัวมั้ย เดี๋ยวเราไปเดินโลตัสกัน” เธอก็ยังอยากเสนอ ลิพูลก็จะเรียน ม.4 แล้วโตเป็นหนุ่มแล้ว ดูท่าจะเจ้าสำอางไม่น้อย สาว ๆ คงตรึม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่