ฝันหวาน (Sweet Dream) 37

กระทู้สนทนา

.
               “หน้ามุ่ยอีกแล้ว ทำไมคะ ใครทำอะไรหรอ หรืองานมีปัญหา” เมธียิงคำถามรัว ๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่ค่อยสดใสของภรรยาสักเท่าไหร่ เขาไม่อยากเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอเลย อยากเห็นเธอยิ้มสดใสร่าเริง อ้อนนู่นอ้อนนี่เขามากกว่า พอเห็นสีหน้าอาการแบบนี้ก็พลันไม่สบายใจด้วย ไม่อยากให้เธอเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว “เหนื่อยเหรอ ทนเอาน้อเหนื่อยดีกว่าติด”

               พรนภาปิดประตูรถหลังเข้ามาในรถเรียบร้อย ดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้เรียบร้อยก่อนจะตอบคำถามสามี “เรื่องไม่เป็นเรื่องค่ะพี่เมธี ไร้สาระ”

                “เรื่อง !” เขาเลิกคิ้วเป็นคำถาม คอยฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูดอย่างตั้งใจ คอยรับฟังปัญหาของเธอเสมอ ๆ ไม่ว่าเรื่องอะไร “เรื่องอะไรเหรอคะ ฮึ” ยกมือขึ้นมายีผมของเธออย่างรักใคร่ ก่อนจะถอยรถออกจากที่จอดรถหน้าตลาดสด และขับกลับคอนโด

                “ก็ระหว่างที่นภารอพี่มารับใช่มั้ย นภาก็เลยเดินไปเซเว่นและยืนรอพี่ที่หน้าเซเว่นอ่ะ”

               “แล้ว !” เขาถามต่อระหว่างขับรถไปตามถนน

                “ก็มันมีทอมสองคนนั่งเล่นที่มอเตอร์ไซค์กันอยู่หน้าเซเว่น นภาก็ยืนเล่นโทรศัพท์ของนภาไปเรื่อย พี่เมธีเข้าใจมั้ยว่าก็คนมันไม่รู้จักกันอ่ะ ใครมันจะไปสนใจคนอื่นขนาดนั้น พี่เมธีเข้าใจมั้ย ยิ่งใครก็ไม่รู้เนี่ย  ! อีกอย่างคนปกติเค้าไม่ทำกันหรอก หึหึ” พรนภาพูดอย่างฉุนจัดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา ที่เกิดขึ้นกับตนเธอไม่คิดว่าคนวิปริตแบบนี้ก็มี เธอเป็นคนที่ค่อนข้างฆ่าได้หยามไม่ได้ด้วยสิ

               “ทอมสองคนนั้นว่าน้องเหรอ แล้วเค้าว่าอะไร” เมธีหันมาถามเธออย่างสนใจ พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจนัก ห่วงความรู้สึกของเธอมาเป็นที่หนึ่ง ด้วยรู้นิสัยของภรรยาคนนี้ดีด้วย “ช่างเถอะน้อง คิดมากปวดหัวเปล่า ๆ เจ็บใจไปก็เท่านั้น น้อ ! อ่ะ ๆ วันนี้เครียด ๆ กินไรดี เดี๋ยวกลับไปถึงห้องมีเซอร์ไพรส์ รับรองน้องต้องหายเครียดแน่นอน” พูดเอาอกเอาใจภรรยาสาว อยากเห็นรอยยิ้มที่น่ารักและสดใสของเธอมากกว่า

                “ก็มันว่านภาอ่ะ” พรนภาไม่ได้สนใจถามถึงเรื่องที่เมธีจะเซอร์ไพรส์ตนเองเลย “ทีแรกมันพูดอะไรกันก็ไม่รู้ พูดคุยกันเสียงดังมาก นภาก็ไม่สนใจไง ไม่คิดว่าเค้าพูดกับเรา พี่เมธีเข้าใจมั้ยว่าใครก็ไม่รู้ ! ใครมันจะมาพูดกับคนไม่รู้จักสุ่มสี่สุ่มห้าอ่ะ”

             “เข้าใจครับ ! แล้วน้องรู้ได้ไงว่ามันว่าตัวเอง”

              “นภาก็เฉย ๆ คุยแชทกับพี่ออว่าเป็นไงบ้าง ทีนี้พอมันเห็นว่านภาไม่สนใจพวกมันสองตัวใช่มั้ย อีกคนนึงมันเลยพูดว่า สวยก็ไม่เท่าไหร่ หยิ่งนะ พะนะ ! ป๊าดวะ นภาได้ยินเต็มสองรูหูเลย หันซ้ายหันขวาไม่มีใครเลย เอ้า ! มืงว่ากูนี่หว่า” พรนภาพูดแบบออกรสออกท่ามาก เจ็บใจก็มิปานที่จู่ ๆ โดนด่าอีกแล้ว โดนด่าแบบไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเป็นครั้งที่สองแล้ว

             “แล้วน้องทำไง ทำไมน้องไม่คุยกับเค้าล่ะ” เมธีค่อย ๆ ขับรถมาเรื่อย ๆ ที่ทำงานของเธออยู่ห่างกับคอนโดพอสมควร “อุ้ย ! เกือบสอยตูด ! “ เมธีเบรกหัวถิ่มเมื่อมีมอเตอร์ไซค์เลี้ยวตัดหน้า “บักห่าหนิแหมะ ! เลี้ยวรถก็ไม่ดูรถข้างหลังเลย นภาขับมอเตอร์ไซค์แบบนี้ป่าวมาทำงานทุกวันอ่ะ อย่าหาทำแบบนี้นะน้องอันตราย” เมธีบ่นด้วยอาการหงุดหงิด เรื่องซ่อมไม่เท่าไหร่ ทว่าเสียเวลาพักผ่อนมากกว่า

               พรนภาแอบขำทั้งที่หงุดหงิดกับผู้หญิงข้ามเพศสองคนนั้นอยู่ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นสามีด่าคนอื่นให้ได้ยิน ด่าคนก็เป็นด้วยแฮะ !  “โห่ นภาไม่ขับประมาทแบบนั้นหรอก ต่อ ๆ พอมันพูดแบบนี้ใช่มั้ย นภาหันหน้ามาจ้องพวกมันเลย มันก็ทำหน้ายิ้ม ๆ ให้นะ แต่นภาไม่เอาด้วย หน้าบึ้งใส่มัน มองเหยียด ๆ ทำสายตาหยามเหยียดใส่พวกมันตั้งแต่หัวจดเท้า เท้าจดหัวเบะปากใส่มันก่อนพูดเบา ๆ ว่าสะ-ถุน แล้วก็เดินหนีมาในตลาดนี่แหละ มันคงอ่านปากนภาออกมั้ง นี่ถ้าพวกมันตามมากะมีเรื่องเลยนะพี่เมธี สองรุมหนึ่งพร้อมมาก หึหึ” พูดด้วยความโมโหอยู่ในใจ นาทีนี้ไม่สนอะไรทั้งนั้น ทำงานก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ทำไมโลกต้องเหวี่ยงให้เธอมาเจอคนประเภทนี้ด้วย

               “น้องนภา ! “ เมธีอุทานพร้อมหันมามองหน้าเธอแวบเดียวก็หันกลับไปมองทางเหมือนเดิม พร้อมเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของคอนโด นึกห่วงภรรยาอีกแล้ว ทำไมพรนภาไม่ใจเย็นบ้างเลย ทำไมชอบใจร้อนนัก บอกสอนหลายครั้งแล้ว รถจอดสนิททว่าพวกเธอยังไม่เปิดประตูลง “น้องทำไมหาศัตรูให้ตัวเองแบบนั้น เค้ารู้ว่าน้องทำงานที่นี่ แล้วช่วงนี้ยิ่งอยู่คนเดียวด้วย พี่เป็นห่วงรู้บ้างมั้ยคะ” เขาหันมาคุยกับเธอจ้องตาเธอด้วยแววตาจริงจัง

              “รู้ ! รู้ว่าพี่เป็นห่วงเค้า แต่มันว่าเค้านั่นเด่” ทำหน้าบึ้งให้สามีเห็นใจ หลับตาพริบ ๆ ออดอ้อนสุดฤทธิ์

                “แต่น้องก็ไม่ควรวู่วามทำแบบนั้นลงไป ถ้าเค้าเจ็บใจแล้วพรุ่งนี้มาหาเรื่องน้องที่ทำงานล่ะ พี่เป็นห่วงรู้บ้างมั้ย ห่วงยิ่งกว่าชีวิตพี่อีก”

              “รู้ ! ฮ่วย พี่เมธีเป็นสามีมันบ่ ใครเป็นเมียพี่กันแน่” เมื่อใช้ไม่อ่อนไม่สำเร็จ ก็ต้องใช้ไม้แข็ง “เข้าข้างคนอื่นดีนัก ไม่ต้องมานอนใกล้ ๆ เค้าเลยนะ “

             “เค้านอนบนเตียงนอนตัวเองนอนพื้นเหรอ ฮา “ เขาพูดติดตลกเพราะเริ่มสัมผัสได้ถึงสายตาพิฆาตคู่ที่คุ้นเคยมองมา ไม่อยากให้มันแผงฤทธิ์ก็ต้องเอาตลกเข้าสู้ และมันได้ผลทุกที พรนภาหลุดหัวเราะออกมาจนได้ “ทีเค้าเป็นห่วงก็หาว่าเข้าข้างคนอื่น พอตัวเองเข้าข้างคนอื่นก็บอกว่าเค้าทำอะไรไม่คิด หืย! “ บ่นอุบอิบเบา ๆ คนเดียว

             ทั้งสองคนเปิดประตูลงจากรถเดินขึ้นตึกไป “พี่เมธีเราจะกินมื้อเย็นอะไรกันวันนี้” ภายในลิฟต์มีพวกเธอแค่สองคน พรนภาถามถึงเมนูเย็นนี้ เธอทานข้าวพร้อมเมธีทุกวัน ไม่เคยให้เขารู้สึกเหงาหรือเดียวดาย “ให้นภาเข้าครัวมั้ย เค้าทำกับข้าวอร่อยนะ พี่เมธีก็ไม่เคยเชื่อใจเค้าเลย”

              “เชื่อใจค่ะ แต่ว่าเอาไว้วันหลังน้อ” ตอบแบบหลีกเลี่ยงที่จะโดนงอนได้ดีมาก

              “พุ้นน่ะ ! “ มองค้อนให้แผ่นหลังกว้างหนาได้รูปของเขา เมธีเดินนำหน้าออกจากลิฟต์ไปยังห้องของตนเอง โดยมีเธอเดินตามหลังมาติด ๆ

                “วันนี้เค้างดออกกำลังกายหนึ่งวัน เพลีย อยากกินอะไรแซ่บ ๆ อ่ะ” วางกระเป๋าทำงานไว้บนชั้นวางของ เอนกายลงนอนบนที่นอนนุ่ม ๆ ปวดหลังชะมัด ขนาดงานไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเลย ถ้าทำงานแบกหามเธอจะไม่จบชีวิตเลยหรืออย่างไร ปวดหลังเป็นบ้าเลยตอนนี้ พร้อมปรายตามองเมธีที่กำลังเปลี่ยนชุดใส่ชุดอยู่บ้าน เป็นกางเกงกีฬาเสื้อกีฬาทีมรักของตนเองที่ตู้เสื้อผ้า

                  “นั่นอ่านกินพี่นะ ! อะไรแซ่บ ๆ ที่ว่าก็พี่แล้วมั้ยอ่ะ อิอิ ฮา”

               “อะแฮ่ม อืม ! โอยสำลักน้ำลาย ฮา” พรนภาหัวเราะให้กับมุกของสามี หลงตัวเองอีกแล้ว ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะพี่เมธี “อะ ๆ แซ่บก็แซบ ฮา คนอะไรชอบหลงตังเอง”

                 “เอ๋า ! หรือจะเถียง ฮะ “ ทำสายตามีเลศนัยมองมาที่เธอ “ลองกินตอนนี้มั้ยละ จะได้รู้ว่าแซ่บจริงไม่จริง”

               “ไม่ ! เดี๋ยวเหอะ” ถือโทรศัพท์ชี้หน้าสามีแบบตลก ๆ “พี่เมธีเค้าหิวอ่ะ อยากกินไข่เจียวกับข้าวเหนียว อยากกินลาบหมู อยากกินส้มตำ เมื่อยปวดหลัง” พรนภานอนบ่นบนเตียง พร้อมนึกถึงกับข้าวที่กล่าวขานขึ้นมาในหัว อยากกินมาก ๆ เลย

               “อย่างอื่นทำให้ทานได้นะคะ แต่ลาบหมูพี่จะไปหาซื้อที่ไหน”

              “นี่ไงเวลาเค้าอยากกินอะไรก็ไม่ได้กิน แล้วพอตอนท้องนะ คนท้องก็อยากกินนู่นกินนี่ พี่เมธีก็คงไม่หาให้เค้ากิน งั้นเค้าไม่ท้องดีกว่า” พูดไปหัวเราะไป ตลกในคำพูดของตนเองด้วย

                 เมธีเองก็ขำ เดินมาหอมแก้มเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “หื้ย ! ให้มันท้องก่อนแน่เถาะ พี่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์น้องนภาค่ะ รอแป๊บ” เมธีเดินหายเข้าไปในครัว สักพักเดินกลับออกมาพร้อมถาดอะไรก็ไม่รู้ เมื่อเขาวางลงบนเตียงนอนที่เธอนอนแผ่หลาอยู่ ต้องตื่นตาตื่นใจกับของกินที่อยู่ในนั้น มันคือคั่วกุดจี่นั่นเอง

               “กรี๊ด ! พี่เมธีเอามาจากไหนอ่ะ “ พรนภาดีดตัวลุกขึ้นยิ้มแก้มปริเลย ตื่นเต้นมาก ๆ นานแล้วที่ไม่ได้กินกุดจี่ พึ่งนึกถึงสมัยเป็นเด็กไปหยก ๆ เรื่องกุดจี่ วันนี้ได้ทานเฉยเลย

                 เมธีไม่ยอมตอบ ทว่าเอียงแก้มทำแก้มป่องให้เธอหอม “หอมแก้มพี่ก่อนแล้วจะบอก” พรนภาทำตามอย่างไม่รอช้า นาทีนี้ใช้ให้ทำอะไรก็ยอม “แม่ส่งมาให้ พี่บอกว่าลูกสะใภ้อยากกิน”

              พรนภาอ้าปากค้าง เปลี่ยนอารมณ์ในทันที เปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งเข้าให้อีกครั้ง “เอาเค้าไปอ้างทำไม เดี๋ยวแม่ก็บ่นหรอก อยากกินนั่นอยากกินนี่ดีนัก ตัวเองอยากกินก็เอาเค้าไปอ้าง ฮ่วย “

             “โอ๋... พี่พูดเล่นค่ะ พี่บอกพี่อยากกินพอมีมั้ย เค้าบอกพอหาได้ ก็เลยคั่วส่งมาให้หนิ อันนี้พี่อุ่นรอบสองนะเนี่ย” ทว่าถึงจะไม่ชอบใจนักแต่ของกินที่อยู่ตรงหน้าสำคัญกว่า ไม่สนใจแล้วว่าสามีจะเอาชื่อตนเองไปอ้างหรือไม่ ตอนนี้ขอกินกุดจี่คั่วก่อน “ปะทานข้าวกัน หรือน้องจะอาบน้ำก่อนมั้ย”

               “ไม่อาบ ! ทานข้าวเลย” แล้วพวกเธอก็เดินเข้าไปในครัว เมธีทำกับข้าวไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่เคยให้เธอต้องได้กลับมาทำ เขาเองที่มีเวลาทำเพราะมันเลยช่วงอายุที่เขาต้องเที่ยวเตร่แล้ว อีกอย่างมีพรนภาเข้ามาในชีวิตก็ไม่อยากหาความสุขจากข้างนอกอีกเลย

                 อยากรีบมากอด มาหอมพรนภาคนนี้คนเดียว ในตอนเช้าพรนภายอมเสียสละเวลานอนมาอุ่นกับข้าวให้เขาทานก่อนไปทำงานทุกวัน แล้วตอนเย็นเขาเลิกงานก่อนทำไมเขาจะทำรอเธอไม่ได้ เป็นแบบนี้ทุกวันตั้งแต่ตกลงใช้ชีวิตร่วมกันมา

                 “ลาบหมูพี่ขอไว้ก่อน แล้วไข่เจียวเอามั้ย” เขายกกับข้าวมาวางบนโตะไม่กี่อย่าง พรนภาเองก็ช่วยยกด้วย “วันนี้เป็นกับข้าวไทยนะคะ” เขาหมายถึงกับข้าวภาคกลางที่พูดว่ากับข้าวไทยจนติดปาก ด้วยพวกตนเป็นคนภาคอิสานกันทั้งคู่

                 “ได้ค่ะ พี่เมธีทำอะไรมานภาทานได้หมดเลย” ทำเสียงออดอ้อนให้กับเขา ก่อนจะลงมือทานข้าวด้วยความหิว

               เมธียิ้มให้คนตรงหน้าอย่างมีความสุข มีความสุขที่เธอชอบในสิ่งที่เขาทำให้ ไม่เคยต่อว่าอะไรเลย จะมีก็เป็นเพียงการพูดตลก ๆ กันเท่านั้น จะว่าไปพวกเธอก็ไม่เคยทะเลาะกันด้วยซ้ำ ด้วยอายุที่ห่างกันและอะไรหลาย ๆ อย่าง จึงทำให้พวกเธอปรับตัวและความเข้าใจกันได้ง่าย

                “ทีหลังอย่าไปสร้างศัตรูอีกนะคะน้องนภา พี่เป็นห่วง”

                 “ค่า ! เป็นผัวหรือเป็นพ่อเนี่ย” บนโตะกับข้าวในครัว นั่งทานข้าวไปด้วยคุยกันไปเรื่อย กินคั่วกุดจี่ไปด้วยอย่างมีความสุข “ขอบคุณนะคะพี่เมธีที่ทำเพื่อเค้าเสมอเลย” ปรายตามองคนตรงหน้ายิ้มให้และพูดขอบคุณเขาในใจ ก่อนที่นะกำกุ๊ดจี่ยัดเข้าปากไป

                  “เป็นผัวสิคะ ฮ่วย “ เขายิ้มให้กับคำพูดประชดของเธอ “ว่าแต่มีกุดจี่แล้วมีมะม่วงก็ดีเนอะ แบบว่าตำใส่มะม่วงอ่ะ อร่อยนะ น้องเคยกินป่าว”

                “เคย ! นภาก็ชอบนะ เก็บไว้ทำมั้ยคะ พรุ่งนี้เดี๋ยวเลิกงานนภาแวะตลาดซื้อมะม่วงเปรี้ยวมาด้วย”

              มื้อเย็นมื้อนี้ถึงจะเป็นกับข้าวที่แสนธรรมดา แต่มันพิเศษสำหรับพวกเธอ โดยเฉพาะเธอ ไม่เสียใจกับความรักเก่าที่ผ่านมาเลย นึกขอบใจความเจ็บปวดที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ที่ทำให้เธอได้มาเจอกับคนรักที่ดีแบบนี้ ขอบคุณพรหมลิขิตที่ทำให้เธอได้มาเจอเขา ขอบคุณโลกที่เหวี่ยงเขาให้มาเจอกับเธอ ขอบคุณ...

                 บนเตียงนอนนุ่ม ๆ มีเขานอนเคียงข้าง วันนี้เมธีไม่ได้เล่นเกม รู้สึกเบาสบายหูมาก ไม่มีเสียงเกมมารับกวน ทว่าต่างคนต่างนอนเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่