เรื่องเล่าที่ 7 : อาหาร : ระดับความหลอน 4 กะโหลก
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนตัวผู้เล่าว่า ติน
วันนั้นเป็นเพียงวันธรรมดาที่ท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนปกติ ตินตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยงานร้านอาหารของคุณพ่อและคุณแม่ ในช่วงที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบอยู่ด้วยกันนั้น ตินสังเกตเห็นว่า คุณแม่มีสีหน้าที่อ่อนเพลีย ตินจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “แม่ไม่สบายหรอ”
คุณแม่ที่กำลังล้างผักอยู่นั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับเพียง “แค่นอนไม่หลับ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกลูก ไม่ต้องใส่ใจ” พูดจบก็ใช้ให้ตินไปรับแขกที่เข้าร้านมาแต่เช้าทันที
เพราะที่บ้านเปิดเป็นร้านอาหารเล็กๆ ตินกับคุณพ่อและคุณแม่จึงมักจะยุ่งวุ่นวายกันทั้งตอนเช้า เที่ยงวัน และหัวค่ำ ในวันนั้น ตินที่ยังคงเป็นห่วงคุณแม่ทำได้เพียงแอบสังเกตสีหน้าและอาการของคุณแม่เท่านั้น ด้วยความที่ร้านเปิดตรงข้ามกับโรงพยาบาล ทำให้ในแต่ละวันทุกช่วงเวลาทานอาหาร ที่ร้านจะมีลูกค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก และด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องการมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ที่ร้านจึงไม่ได้จ้างใครมาช่วยงาน มีเพียงแค่ติน คุณพ่อ และคุณแม่สามคนเท่านั้นที่ช่วยกันดูแลร้าน
บ่ายของวันถัดมา ข้างในครัวมีเสียงดังเกิดขึ้น ตินที่กำลังรับลูกค้าอยู่นั้นรีบวิ่งเข้าไปดูด้านในเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย หากแต่ทันทีที่เข้าไปถึง ตินก็พบกับร่างของคุณแม่นอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องครัว ด้วยความตกใจ ตินรีบตะโกนร้องเรียกคุณพ่อให้เข้ามาช่วย เหล่าลูกค้าภายในร้านมองเข้ามาด้วยความสงสัยและตกใจไปกับเสียงร้องเรียกของติน
คุณพ่อรีบวิ่งเข้ามาในครัวก่อนจะรีบพยุงร่างของคุณแม่ขึ้นมาและค่อยๆ ช่วยกันกับตินพาไปนอนพักที่เตียงบนห้องนอนชั้นสอง โดยไม่ลืมบอกให้ตินรีบลงมาข้างล่างเพื่อปิดร้านก่อน
ตินรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จ เมื่อตรวจเช็คทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตินก็รีบขึ้นไปดูอาการของคุณแม่อีกครั้ง
คุณแม่ฟื้นแล้ว ตินเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงพลางสังเกตใบหน้าที่ซีดเผือกไร้เลือดฝาดเหมือนตอนปกติของคุณแม่ แม้ว่าสองสามวันก่อนคุณแม่จะดูอ่อนเพลียบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับดูโทรมมากเท่าวันนี้
ที่ใต้ดวงตามีรอยคล้ำเด่นชัด ริมฝีปากแห้งจนตกสะเก็ด สีหน้าไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา ตินมองดูใบหน้าของคุณแม่ด้วยความเป็นห่วงปนกังวล คุณแม่ที่เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือมาตบมือตินเบาๆ พร้อมกับกระซิบบอกตินว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อคลายความกังวลของตินลงไปบ้าง
คุณพ่อรีบพาคุณแม่ไปหาหมอภายในเย็นวันนั้น โดยตอนแรกพาไปที่โรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามก่อน แต่เพราะคุณหมอตรวจร่างกายแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ คุณพ่อจึงพาคุณแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลหรือคลินิกไหนๆ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย ทุกที่ต่างก็บอกว่าร่างกายของคุณแม่ปกติดีทั้งนั้น ที่เป็นลมล้มพับไปอาจเป็นเพราะคุณแม่พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือโหมงานหนักจนร่างกายอ่อนเพลีย นอกเหนือจากวิตามินบำรุงร่างกายแล้ว พวกคุณหมอต่างพากันบอกให้คุณแม่หยุดพักการทำงานลงเพื่อพักฟื้นร่างกาย
ในตอนแรกคุณพ่อและคุณแม่เองต่างก็เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคุณหมอ จึงได้ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดร้านอาหารเหลือแค่ช่วงเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น และคุณแม่ก็ไม่ได้ลงมาช่วยงานในครัวเหมือนเดิมแล้ว
ในขณะที่คิดว่าทุกอย่างน่าจะเริ่มดีขึ้นแล้วนั้น ร่างกายของคุณแม่กลับทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้ว่าคุณแม่จะหยุดงานในครัวและพักฟื้นร่างกายตามคำแนะนำของเหล่าคุณหมอแล้วก็ตาม แต่เหมือนว่าร่างกายของคุณแม่จะแย่ลงกว่าเดิม คุณพ่อเล่าว่าคุณแม่เริ่มมีอาการหวาดผวาจนสะดุ้งตื่นกลางดึก ทำให้อาการของคุณแม่แย่ลงเนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ช่วงแรกๆ คุณแม่ยังพอจัดการธุระส่วนตัวด้วยตัวเองได้ แต่มาในตอนนี้ แรงจะเคี้ยวข้าวคุณแม่ก็แทบจะไม่มี นั่นทำให้คุณพ่อเป็นกังวลอย่างมาก ตัวของตินเองก็เช่นกัน ตินไม่เคยเห็นคุณแม่ป่วยหนักและกินเวลานานเช่นนี้มาก่อน
ญาติๆ ที่ทราบข่าวอาการป่วย ต่างก็ทยอยมาเยี่ยมไข้ ตินจำได้ว่า มีวันหนึ่งที่คุณอามาเยี่ยมคุณแม่ ตินจำได้ว่าในตอนนั้นคุณแม่กำลังนอนหลับอยู่ แต่ทันทีที่คุณอาเดินเข้าไปใกล้ คุณแม่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมากรีดร้องพร้อมกับตะโกนไล่คุณอาออกไปเสียงดังลั่นบ้านจนคุณพ่อที่กำลังทำอาหารให้ลูกค้าอยู่ในครัวต้องรีบวิ่งขึ้นมาดูอาการของคุณแม่
ทั้งตินและคุณอาต่างก็ตกใจกับอาการของคุณแม่ ทั้งสองคนรีบออกจากห้องที่คุณแม่พักอยู่อย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้แค่คุณพ่อที่คอยปลอบคุณแม่
“แม่เรามีอาการแบบนี้นานแล้วหรอ” คุณอาเอ่ยถามหลังเห็นตินจัดการปิดร้านอย่างเร่งด่วนตามคำสั่งของคุณพ่อเสร็จแล้ว
“ช่วงก่อนๆ คุณแม่นอนไม่มีแรงอย่างเดียวเลยค่ะ ที่มีร้องโวยวายนี่เป็นครั้งแรกที่หนูเห็น” ตินตอบคุณอาพร้อมทั้งเล่าอาการของคุณแม่ให้คุณอาฟังตั้งแต่วันแรกที่คุณแม่เป็นลมล้มหมดสติไปจนถึงวันนี้ที่คุณแม่มีอาการคลุ้มคลั่ง คุณอาฟังจบก็พูดออกมาสั้นๆ ว่า “แปลก” ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไปก่อน
เช้าวันถัดมา คุณอาเดินทางมาหาคุณพ่อแต่เช้า ทั้งสองคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้ตินจะอยากไปแอบฟัง แต่เพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าแถวหน้าชั้นเรียนแล้ว ตินเลยต้องรีบไปโรงเรียนเสียก่อน
เย็นนั้นหลังตินกลับมาจากโรงเรียน คุณพ่อก็พยุงร่างของคุณแม่ลงมาชั้นล่างโดยมีคุณอาคอยช่วยพยุงอีกแรงพอดี ตินรีบเดินเข้าไปช่วยพร้อมกับสอบถามด้วยความสงสัย คุณพ่อไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรให้ตินรู้มาก บอกเพียงแค่ว่าจะพาคุณแม่กลับบ้านเกิดที่ศรีสะเกษสักระยะ ด้วยเพราะตินยังต้องไปเรียนหนังสือ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องการให้ตินขาดเรียน จึงไม่ได้พาตินเดินทางไปด้วย คุณพ่อจึงได้ฝากให้คุณน้าเข้ามาดูแลตินเป็นระยะๆ ในช่วงที่คุณพ่อพาคุณแม่กลับบ้านเกิด ส่วนร้านอาหารคุณพ่อบอกให้ปิดเอาไว้ ไม่ต้องเปิดจนกว่าคุณพ่อและคุณแม่จะกลับมา ย้ำเตือนกับตินเสร็จคุณพ่อก็รีบออกเดินทางโดยทันที ตินได้แต่ยืนดูรถของคุณพ่อหายลับไปบนถนนด้วยความสับสน
เพราะอะไร จู่ๆ คุณพ่อถึงได้พาคุณแม่กลับบ้านเกิด ? ทั้งที่เมื่อวานตอนเห็นคุณอาคุณแม่ก็ร้องลั่นทำไมวันนี้คุณแม่ถึงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้คุณอาพยุงตัวได้ ?
ตินได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้เงียบๆ กะว่าวันที่คุณน้ามาที่บ้าน ตนจะต้องถามคุณน้าให้รู้เรื่องจนได้
“ลมเพลมพัด” คือคำอธิบายเดียวที่คุณน้าบอกให้แก่ตินทราบ ครั้งแรกที่ได้ยิน ตินคิดว่ามันเป็นเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงได้ แต่พอตินคิดย้อนกลับไปถึงวันแรกที่อยู่ๆ คุณแม่ก็เป็นลมหมดสติไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ คิดย้อนไปถึงตอนที่บรรดาคุณหมอทุกท่านที่คุณพ่อพาคุณแม่ไปรักษาต่างบอกว่าร่างกายของคุณแม่ปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมา
คืนก่อนที่คุณแม่จะเป็นลมหมดสติไปนั้น... กลางดึกคืนนั้นตินเองก็พบเจอกับเรื่องแปลกๆ เช่นกัน
คืนนั้น ขณะที่ตินกำลังเก็บจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จอยู่หลังร้าน ช่วงจังหวะที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ตินเห็นเป็นแสงสีเขียวลอยผ่านไปไกลๆ ก่อนจะมีเสียงคล้ายของแข็งตกใส่หลังคาดัง ปัง! ตอนที่ตินตั้งใจว่าจะเดินไปดู คุณแม่ก็ร้องทักตินเสียก่อน ตินจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก
แม้จะไม่มีอะไรเกี่ยวโยงกัน แต่ความรู้สึกของตินบอกว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องอาจเริ่มมาจากเรื่องนี้
เช้าวันถัดมา คุณพ่อโทรมาบอกกับตินว่าคงต้องเลื่อนวันกลับออกไปอีก เนื่องจากอาการของคุณแม่แย่ลงมากจนถึงขั้นที่ไม่สามารถนั่งรถหรือเดินทางไกลได้ ก่อนจะวางสาย คุณพ่อกำชับด้วยเสียงเครียดๆ ว่าให้ตินดูแลตัวเองและบ้านดีๆ
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ด้วยความที่อยู่บ้านเพียงลำพัง ตินจึงชวนเพื่อนสนิทสองคน มีน และ บาย มาทำการบ้านที่บ้านของตน ในระหว่างที่พักทานข้าวเที่ยงกันอยู่นั้น คุณน้าก็แวะเข้ามาดูตินเพื่อปลอบไม่ให้ตินเป็นกังวลเรื่องคุณแม่มากนัก
แม้ว่าอาการของคุณแม่จะทรุดหนักกว่าเดิม แต่ยังดีที่มีคุณป้าและคุณลุง พี่สาวและพี่ชายของคุณพ่อที่อยู่ศรีสะเกษคอยช่วยดูแลอยู่ อาการเลยยังคงทรงตัวบ้าง ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว
ก่อนจะไป คุณน้ายังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “พี่น้อง จะโกรธจะเกลียดกันแค่ไหน สุดท้ายก็ยังช่วยเหลือกัน” ประโยคนี้ของคุณน้า ตินเดาได้ว่าคงหมายถึงคุณพ่อกับคุณลุง เพราะเมื่อนานมาแล้วคุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน คุณพ่อกับคุณลุงเคยทะเลาะกันหนักมาก ชนิดที่แทบจะไม่เผาผีกันเลยก็ว่าได้ แต่ในยามที่คุณพ่อกำลังลำบาก คุณลุงกลับคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ นับว่าเป็นเรื่องดีๆ ในรอบหลายปีนี้เลยก็ว่าได้
เนื่องจากทั้งมีนและบายต่างก็ได้ยินในสิ่งที่คุณน้าเล่าเมื่อครู่ ทั้งสองจึงซักไซ้ถามเรื่องราวความเป็นมากับติน ด้วยความที่ทั้งมีนและบายต่างก็เป็นเพื่อนสนิทของตินมานาน และตินจำได้ว่าคุณตาของมีนเคยเป็นหมอแก้ของคุณไสย ตินจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้มีนและบายฟัง
“ไปเดินรอบบ้านกัน” หลังมีนฟังเรื่องทุกอย่างจบก็เอ่ยชวนทุกคนออกไปเดินสำรวจรอบบ้าน ตินงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามที่มีนบอกโดยมีบายเดินตามไปเงียบๆ
ก่อนที่จะเริ่มเดินสำรวจกันนั้น มีนบอกให้ตินเอาธูปมาให้ตนสิบดอก โดยเก้าดอกนั้นมีนจุดไหว้ศาลพระภูมิหน้าบ้าน แล้วอีกหนึ่งดอกมีนจุดและถือเอาไว้กับตัว ตินคล้ายเห็นมีนสวดพึมพำอะไรสักอย่างก่อนที่มีนจะเริ่มเดินรอบบ้าน
ในช่วงแรกตินรู้สึกเฉยๆ แต่วินาทีที่มีนเริ่มออกตัวเดิน ตินรู้สึกเหมือนมีลมเบาๆ พัดผ่าน ร่างทั้งร่างต่างขนลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตินคล้องแขนเดินกับบายตามหลังมีนไป
ตินจำไม่ได้ว่าเดินวนกันกี่รอบมีนถึงหยุดเดินและปักธูปลงดินแถวๆ นั้น จุดที่มีนหยุดเดินนั้นคือจุดเดียวกับที่ตินได้ยินเสียงของแข็งตกใส่หลังคา คืนวันที่ตินเห็นแสงสีเขียวลอยผ่าน.... ซึ่งเรื่องนี้ตินไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย....
มีนเดินเข้าไปใกล้ๆ แถวนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองดูหลังคาบ้านและก้มลงต่ำเพื่อมองหาอะไรบ้างอย่าง ตินได้ยินมีนพูดเบาๆ ว่า “เจอแล้ว” ก่อนจะร้องเรียกตินและบาย “มานี่เร็ว!”
ตอนที่ตินและบายเดินไปถึง ตินได้กลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกลิ่นเวลามีหนูหรือมีตัวอะไรตายมานานแล้ว มีนกำลังใช้กิ่งไม้ที่หาได้จากแถวนั้นมาเขี่ยก้อนอะไรบางอย่างออกมาจากโพรงหญ้า “ดูสิ” มีนพูดก่อนจะเขี่ยก้อนนั้นออกจากโพรงหญ้า เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่เปื้อนเมือกสีขาวขุ่นๆ ในเมือกนั้นมีเศษผมพันกับอะไรสีดำๆ อยู่ ซึ่งต้นตอของกลิ่นเหม็นคงมาจากหินก้อนนี้ เพราะตอนที่มีนเขี่ยออกมาจากโพรงหญ้านั้น กลิ่นเหม็นรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อกี้นี้มาก
“อี๋ อะไรอ่ะ ทำไมเหม็นจัง” บายพูดพลางยกมือปิดจมูกไว้ มือข้างที่ว่างก็เอื้อมไปจะคว้ากิ่งไม้จากมีนหมายจะเขี่ยหินก้อนนั้นไปไกลๆ มีนขยับตัวหนีก่อนจะร้องเตือนเสียงดังว่า “อย่ายุ่ง! มันเป็นของไม่ดี ของสกปรก” พูดจบมีนก็มองหน้าตินเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามตินด้วยคำถามที่ตินได้ยินแล้วรู้สึกขนลุกว่า “คุณแม่เป็นลมตรงนั้นใช่มั้ย”
เมื่อมองจากจุดที่ตินและเพื่อนทั้งสองยืนอยู่เข้าไปในบ้าน ก็จะเห็นเป็นห้องครัวที่คุณพ่อและคุณแม่เอาไว้ใช้ทำอาหารให้กับลูกค้า ซึ่งถ้ามองลอดผ่านช่องไม้ระบายอากาศเข้าไปก็จะเป็นจุดเดียวกับที่คุณแม่เป็นลมหมดสติพอดี!
ตินรู้สึกขนลุกมาก เพราะแม้ว่าตินจะบอกให้มีนและบายรู้ว่าคุณแม่เป็นลมหมดสติในห้องครัว แต่ตินก็ไม่ได้บอกละเอียดว่าคุณแม่เป็นลมตรงไหน เช่นนั้นแล้วมีนรู้ได้ยังไงว่าที่ตรงนั้นคือที่ๆ คุณแม่เป็นลม
“มีคนบอกมา” นั้นคือคำตอบที่มีนบอกหลังตินถาม ตินยังอยากจะถามต่อว่าใครเป็นคนบอก แต่มีนก็สั่งให้ตินไปเอาน้ำมนต์ที่คุณพ่อวางไว้บนหิ้งพระมาให้พร้อมกับไฟแช็กและเทียน
ตินรีบวิ่งเข้าไปหยิบของมาให้มีนทันที โดยมีนเทน้ำมนต์ลงบนหินก้อนนั้น ก่อนจะจุดเทียนด้วยไฟแช็ก และโยนทิ้งตามไปทันที ตอนแรกตินคิดว่าไฟต้องดับแน่ๆ เพราะว่าหินเปียกน้ำมนต์ ยังไงก็ไม่มีทางติด แต่ทันทีที่เทียนตกลงไปโดนกับหิน ไฟก็ลุกติดขึ้นมาทันที อย่างกับว่าก่อนหน้านี้มีนไม่ได้เทน้ำมนต์ลงไปแต่เทน้ำมันก๊าดแทน
เศษผมและคราบเมือกถูกไฟเผาไหม้ไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่หินก้อนใหญ่ มีนเทน้ำมนต์เพื่อดับไฟอีกครั้ง ก่อนจะบอกให้ตินเอาที่คีบขยะมาให้แล้วจัดการคีบหินก้อนนั้นใส่ถุงแล้วนำไปทิ้งที่วัดใกล้บ้าน
หลังจัดการทุกอย่างมีนก็พูดกับตินว่า “อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณแม่เองแล้ว”
นิยายชุด : ผลัดกันเล่า by motamad
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ขอแทนตัวผู้เล่าว่า ติน
วันนั้นเป็นเพียงวันธรรมดาที่ท้องฟ้าแจ่มใสเหมือนปกติ ตินตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยงานร้านอาหารของคุณพ่อและคุณแม่ ในช่วงที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบอยู่ด้วยกันนั้น ตินสังเกตเห็นว่า คุณแม่มีสีหน้าที่อ่อนเพลีย ตินจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “แม่ไม่สบายหรอ”
คุณแม่ที่กำลังล้างผักอยู่นั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับเพียง “แค่นอนไม่หลับ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกลูก ไม่ต้องใส่ใจ” พูดจบก็ใช้ให้ตินไปรับแขกที่เข้าร้านมาแต่เช้าทันที
เพราะที่บ้านเปิดเป็นร้านอาหารเล็กๆ ตินกับคุณพ่อและคุณแม่จึงมักจะยุ่งวุ่นวายกันทั้งตอนเช้า เที่ยงวัน และหัวค่ำ ในวันนั้น ตินที่ยังคงเป็นห่วงคุณแม่ทำได้เพียงแอบสังเกตสีหน้าและอาการของคุณแม่เท่านั้น ด้วยความที่ร้านเปิดตรงข้ามกับโรงพยาบาล ทำให้ในแต่ละวันทุกช่วงเวลาทานอาหาร ที่ร้านจะมีลูกค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก และด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องการมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ที่ร้านจึงไม่ได้จ้างใครมาช่วยงาน มีเพียงแค่ติน คุณพ่อ และคุณแม่สามคนเท่านั้นที่ช่วยกันดูแลร้าน
บ่ายของวันถัดมา ข้างในครัวมีเสียงดังเกิดขึ้น ตินที่กำลังรับลูกค้าอยู่นั้นรีบวิ่งเข้าไปดูด้านในเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย หากแต่ทันทีที่เข้าไปถึง ตินก็พบกับร่างของคุณแม่นอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องครัว ด้วยความตกใจ ตินรีบตะโกนร้องเรียกคุณพ่อให้เข้ามาช่วย เหล่าลูกค้าภายในร้านมองเข้ามาด้วยความสงสัยและตกใจไปกับเสียงร้องเรียกของติน
คุณพ่อรีบวิ่งเข้ามาในครัวก่อนจะรีบพยุงร่างของคุณแม่ขึ้นมาและค่อยๆ ช่วยกันกับตินพาไปนอนพักที่เตียงบนห้องนอนชั้นสอง โดยไม่ลืมบอกให้ตินรีบลงมาข้างล่างเพื่อปิดร้านก่อน
ตินรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จ เมื่อตรวจเช็คทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตินก็รีบขึ้นไปดูอาการของคุณแม่อีกครั้ง
คุณแม่ฟื้นแล้ว ตินเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงพลางสังเกตใบหน้าที่ซีดเผือกไร้เลือดฝาดเหมือนตอนปกติของคุณแม่ แม้ว่าสองสามวันก่อนคุณแม่จะดูอ่อนเพลียบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับดูโทรมมากเท่าวันนี้
ที่ใต้ดวงตามีรอยคล้ำเด่นชัด ริมฝีปากแห้งจนตกสะเก็ด สีหน้าไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา ตินมองดูใบหน้าของคุณแม่ด้วยความเป็นห่วงปนกังวล คุณแม่ที่เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือมาตบมือตินเบาๆ พร้อมกับกระซิบบอกตินว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพื่อคลายความกังวลของตินลงไปบ้าง
คุณพ่อรีบพาคุณแม่ไปหาหมอภายในเย็นวันนั้น โดยตอนแรกพาไปที่โรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามก่อน แต่เพราะคุณหมอตรวจร่างกายแล้วไม่พบความผิดปกติใดๆ คุณพ่อจึงพาคุณแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลหรือคลินิกไหนๆ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย ทุกที่ต่างก็บอกว่าร่างกายของคุณแม่ปกติดีทั้งนั้น ที่เป็นลมล้มพับไปอาจเป็นเพราะคุณแม่พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือโหมงานหนักจนร่างกายอ่อนเพลีย นอกเหนือจากวิตามินบำรุงร่างกายแล้ว พวกคุณหมอต่างพากันบอกให้คุณแม่หยุดพักการทำงานลงเพื่อพักฟื้นร่างกาย
ในตอนแรกคุณพ่อและคุณแม่เองต่างก็เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคุณหมอ จึงได้ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดร้านอาหารเหลือแค่ช่วงเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น และคุณแม่ก็ไม่ได้ลงมาช่วยงานในครัวเหมือนเดิมแล้ว
ในขณะที่คิดว่าทุกอย่างน่าจะเริ่มดีขึ้นแล้วนั้น ร่างกายของคุณแม่กลับทรุดหนักขึ้นทุกวัน แม้ว่าคุณแม่จะหยุดงานในครัวและพักฟื้นร่างกายตามคำแนะนำของเหล่าคุณหมอแล้วก็ตาม แต่เหมือนว่าร่างกายของคุณแม่จะแย่ลงกว่าเดิม คุณพ่อเล่าว่าคุณแม่เริ่มมีอาการหวาดผวาจนสะดุ้งตื่นกลางดึก ทำให้อาการของคุณแม่แย่ลงเนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ช่วงแรกๆ คุณแม่ยังพอจัดการธุระส่วนตัวด้วยตัวเองได้ แต่มาในตอนนี้ แรงจะเคี้ยวข้าวคุณแม่ก็แทบจะไม่มี นั่นทำให้คุณพ่อเป็นกังวลอย่างมาก ตัวของตินเองก็เช่นกัน ตินไม่เคยเห็นคุณแม่ป่วยหนักและกินเวลานานเช่นนี้มาก่อน
ญาติๆ ที่ทราบข่าวอาการป่วย ต่างก็ทยอยมาเยี่ยมไข้ ตินจำได้ว่า มีวันหนึ่งที่คุณอามาเยี่ยมคุณแม่ ตินจำได้ว่าในตอนนั้นคุณแม่กำลังนอนหลับอยู่ แต่ทันทีที่คุณอาเดินเข้าไปใกล้ คุณแม่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมากรีดร้องพร้อมกับตะโกนไล่คุณอาออกไปเสียงดังลั่นบ้านจนคุณพ่อที่กำลังทำอาหารให้ลูกค้าอยู่ในครัวต้องรีบวิ่งขึ้นมาดูอาการของคุณแม่
ทั้งตินและคุณอาต่างก็ตกใจกับอาการของคุณแม่ ทั้งสองคนรีบออกจากห้องที่คุณแม่พักอยู่อย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้แค่คุณพ่อที่คอยปลอบคุณแม่
“แม่เรามีอาการแบบนี้นานแล้วหรอ” คุณอาเอ่ยถามหลังเห็นตินจัดการปิดร้านอย่างเร่งด่วนตามคำสั่งของคุณพ่อเสร็จแล้ว
“ช่วงก่อนๆ คุณแม่นอนไม่มีแรงอย่างเดียวเลยค่ะ ที่มีร้องโวยวายนี่เป็นครั้งแรกที่หนูเห็น” ตินตอบคุณอาพร้อมทั้งเล่าอาการของคุณแม่ให้คุณอาฟังตั้งแต่วันแรกที่คุณแม่เป็นลมล้มหมดสติไปจนถึงวันนี้ที่คุณแม่มีอาการคลุ้มคลั่ง คุณอาฟังจบก็พูดออกมาสั้นๆ ว่า “แปลก” ก่อนจะขอตัวกลับบ้านไปก่อน
เช้าวันถัดมา คุณอาเดินทางมาหาคุณพ่อแต่เช้า ทั้งสองคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้ตินจะอยากไปแอบฟัง แต่เพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าแถวหน้าชั้นเรียนแล้ว ตินเลยต้องรีบไปโรงเรียนเสียก่อน
เย็นนั้นหลังตินกลับมาจากโรงเรียน คุณพ่อก็พยุงร่างของคุณแม่ลงมาชั้นล่างโดยมีคุณอาคอยช่วยพยุงอีกแรงพอดี ตินรีบเดินเข้าไปช่วยพร้อมกับสอบถามด้วยความสงสัย คุณพ่อไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรให้ตินรู้มาก บอกเพียงแค่ว่าจะพาคุณแม่กลับบ้านเกิดที่ศรีสะเกษสักระยะ ด้วยเพราะตินยังต้องไปเรียนหนังสือ และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องการให้ตินขาดเรียน จึงไม่ได้พาตินเดินทางไปด้วย คุณพ่อจึงได้ฝากให้คุณน้าเข้ามาดูแลตินเป็นระยะๆ ในช่วงที่คุณพ่อพาคุณแม่กลับบ้านเกิด ส่วนร้านอาหารคุณพ่อบอกให้ปิดเอาไว้ ไม่ต้องเปิดจนกว่าคุณพ่อและคุณแม่จะกลับมา ย้ำเตือนกับตินเสร็จคุณพ่อก็รีบออกเดินทางโดยทันที ตินได้แต่ยืนดูรถของคุณพ่อหายลับไปบนถนนด้วยความสับสน
เพราะอะไร จู่ๆ คุณพ่อถึงได้พาคุณแม่กลับบ้านเกิด ? ทั้งที่เมื่อวานตอนเห็นคุณอาคุณแม่ก็ร้องลั่นทำไมวันนี้คุณแม่ถึงยืนอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้คุณอาพยุงตัวได้ ?
ตินได้แต่เก็บความสงสัยเหล่านี้ไว้เงียบๆ กะว่าวันที่คุณน้ามาที่บ้าน ตนจะต้องถามคุณน้าให้รู้เรื่องจนได้
“ลมเพลมพัด” คือคำอธิบายเดียวที่คุณน้าบอกให้แก่ตินทราบ ครั้งแรกที่ได้ยิน ตินคิดว่ามันเป็นเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงได้ แต่พอตินคิดย้อนกลับไปถึงวันแรกที่อยู่ๆ คุณแม่ก็เป็นลมหมดสติไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ คิดย้อนไปถึงตอนที่บรรดาคุณหมอทุกท่านที่คุณพ่อพาคุณแม่ไปรักษาต่างบอกว่าร่างกายของคุณแม่ปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมา
คืนก่อนที่คุณแม่จะเป็นลมหมดสติไปนั้น... กลางดึกคืนนั้นตินเองก็พบเจอกับเรื่องแปลกๆ เช่นกัน
คืนนั้น ขณะที่ตินกำลังเก็บจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จอยู่หลังร้าน ช่วงจังหวะที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ตินเห็นเป็นแสงสีเขียวลอยผ่านไปไกลๆ ก่อนจะมีเสียงคล้ายของแข็งตกใส่หลังคาดัง ปัง! ตอนที่ตินตั้งใจว่าจะเดินไปดู คุณแม่ก็ร้องทักตินเสียก่อน ตินจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก
แม้จะไม่มีอะไรเกี่ยวโยงกัน แต่ความรู้สึกของตินบอกว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องอาจเริ่มมาจากเรื่องนี้
เช้าวันถัดมา คุณพ่อโทรมาบอกกับตินว่าคงต้องเลื่อนวันกลับออกไปอีก เนื่องจากอาการของคุณแม่แย่ลงมากจนถึงขั้นที่ไม่สามารถนั่งรถหรือเดินทางไกลได้ ก่อนจะวางสาย คุณพ่อกำชับด้วยเสียงเครียดๆ ว่าให้ตินดูแลตัวเองและบ้านดีๆ
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ด้วยความที่อยู่บ้านเพียงลำพัง ตินจึงชวนเพื่อนสนิทสองคน มีน และ บาย มาทำการบ้านที่บ้านของตน ในระหว่างที่พักทานข้าวเที่ยงกันอยู่นั้น คุณน้าก็แวะเข้ามาดูตินเพื่อปลอบไม่ให้ตินเป็นกังวลเรื่องคุณแม่มากนัก
แม้ว่าอาการของคุณแม่จะทรุดหนักกว่าเดิม แต่ยังดีที่มีคุณป้าและคุณลุง พี่สาวและพี่ชายของคุณพ่อที่อยู่ศรีสะเกษคอยช่วยดูแลอยู่ อาการเลยยังคงทรงตัวบ้าง ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว
ก่อนจะไป คุณน้ายังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “พี่น้อง จะโกรธจะเกลียดกันแค่ไหน สุดท้ายก็ยังช่วยเหลือกัน” ประโยคนี้ของคุณน้า ตินเดาได้ว่าคงหมายถึงคุณพ่อกับคุณลุง เพราะเมื่อนานมาแล้วคุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน คุณพ่อกับคุณลุงเคยทะเลาะกันหนักมาก ชนิดที่แทบจะไม่เผาผีกันเลยก็ว่าได้ แต่ในยามที่คุณพ่อกำลังลำบาก คุณลุงกลับคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ นับว่าเป็นเรื่องดีๆ ในรอบหลายปีนี้เลยก็ว่าได้
เนื่องจากทั้งมีนและบายต่างก็ได้ยินในสิ่งที่คุณน้าเล่าเมื่อครู่ ทั้งสองจึงซักไซ้ถามเรื่องราวความเป็นมากับติน ด้วยความที่ทั้งมีนและบายต่างก็เป็นเพื่อนสนิทของตินมานาน และตินจำได้ว่าคุณตาของมีนเคยเป็นหมอแก้ของคุณไสย ตินจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้มีนและบายฟัง
“ไปเดินรอบบ้านกัน” หลังมีนฟังเรื่องทุกอย่างจบก็เอ่ยชวนทุกคนออกไปเดินสำรวจรอบบ้าน ตินงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามที่มีนบอกโดยมีบายเดินตามไปเงียบๆ
ก่อนที่จะเริ่มเดินสำรวจกันนั้น มีนบอกให้ตินเอาธูปมาให้ตนสิบดอก โดยเก้าดอกนั้นมีนจุดไหว้ศาลพระภูมิหน้าบ้าน แล้วอีกหนึ่งดอกมีนจุดและถือเอาไว้กับตัว ตินคล้ายเห็นมีนสวดพึมพำอะไรสักอย่างก่อนที่มีนจะเริ่มเดินรอบบ้าน
ในช่วงแรกตินรู้สึกเฉยๆ แต่วินาทีที่มีนเริ่มออกตัวเดิน ตินรู้สึกเหมือนมีลมเบาๆ พัดผ่าน ร่างทั้งร่างต่างขนลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตินคล้องแขนเดินกับบายตามหลังมีนไป
ตินจำไม่ได้ว่าเดินวนกันกี่รอบมีนถึงหยุดเดินและปักธูปลงดินแถวๆ นั้น จุดที่มีนหยุดเดินนั้นคือจุดเดียวกับที่ตินได้ยินเสียงของแข็งตกใส่หลังคา คืนวันที่ตินเห็นแสงสีเขียวลอยผ่าน.... ซึ่งเรื่องนี้ตินไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย....
มีนเดินเข้าไปใกล้ๆ แถวนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองดูหลังคาบ้านและก้มลงต่ำเพื่อมองหาอะไรบ้างอย่าง ตินได้ยินมีนพูดเบาๆ ว่า “เจอแล้ว” ก่อนจะร้องเรียกตินและบาย “มานี่เร็ว!”
ตอนที่ตินและบายเดินไปถึง ตินได้กลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกลิ่นเวลามีหนูหรือมีตัวอะไรตายมานานแล้ว มีนกำลังใช้กิ่งไม้ที่หาได้จากแถวนั้นมาเขี่ยก้อนอะไรบางอย่างออกมาจากโพรงหญ้า “ดูสิ” มีนพูดก่อนจะเขี่ยก้อนนั้นออกจากโพรงหญ้า เป็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่เปื้อนเมือกสีขาวขุ่นๆ ในเมือกนั้นมีเศษผมพันกับอะไรสีดำๆ อยู่ ซึ่งต้นตอของกลิ่นเหม็นคงมาจากหินก้อนนี้ เพราะตอนที่มีนเขี่ยออกมาจากโพรงหญ้านั้น กลิ่นเหม็นรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อกี้นี้มาก
“อี๋ อะไรอ่ะ ทำไมเหม็นจัง” บายพูดพลางยกมือปิดจมูกไว้ มือข้างที่ว่างก็เอื้อมไปจะคว้ากิ่งไม้จากมีนหมายจะเขี่ยหินก้อนนั้นไปไกลๆ มีนขยับตัวหนีก่อนจะร้องเตือนเสียงดังว่า “อย่ายุ่ง! มันเป็นของไม่ดี ของสกปรก” พูดจบมีนก็มองหน้าตินเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามตินด้วยคำถามที่ตินได้ยินแล้วรู้สึกขนลุกว่า “คุณแม่เป็นลมตรงนั้นใช่มั้ย”
เมื่อมองจากจุดที่ตินและเพื่อนทั้งสองยืนอยู่เข้าไปในบ้าน ก็จะเห็นเป็นห้องครัวที่คุณพ่อและคุณแม่เอาไว้ใช้ทำอาหารให้กับลูกค้า ซึ่งถ้ามองลอดผ่านช่องไม้ระบายอากาศเข้าไปก็จะเป็นจุดเดียวกับที่คุณแม่เป็นลมหมดสติพอดี!
ตินรู้สึกขนลุกมาก เพราะแม้ว่าตินจะบอกให้มีนและบายรู้ว่าคุณแม่เป็นลมหมดสติในห้องครัว แต่ตินก็ไม่ได้บอกละเอียดว่าคุณแม่เป็นลมตรงไหน เช่นนั้นแล้วมีนรู้ได้ยังไงว่าที่ตรงนั้นคือที่ๆ คุณแม่เป็นลม
“มีคนบอกมา” นั้นคือคำตอบที่มีนบอกหลังตินถาม ตินยังอยากจะถามต่อว่าใครเป็นคนบอก แต่มีนก็สั่งให้ตินไปเอาน้ำมนต์ที่คุณพ่อวางไว้บนหิ้งพระมาให้พร้อมกับไฟแช็กและเทียน
ตินรีบวิ่งเข้าไปหยิบของมาให้มีนทันที โดยมีนเทน้ำมนต์ลงบนหินก้อนนั้น ก่อนจะจุดเทียนด้วยไฟแช็ก และโยนทิ้งตามไปทันที ตอนแรกตินคิดว่าไฟต้องดับแน่ๆ เพราะว่าหินเปียกน้ำมนต์ ยังไงก็ไม่มีทางติด แต่ทันทีที่เทียนตกลงไปโดนกับหิน ไฟก็ลุกติดขึ้นมาทันที อย่างกับว่าก่อนหน้านี้มีนไม่ได้เทน้ำมนต์ลงไปแต่เทน้ำมันก๊าดแทน
เศษผมและคราบเมือกถูกไฟเผาไหม้ไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่หินก้อนใหญ่ มีนเทน้ำมนต์เพื่อดับไฟอีกครั้ง ก่อนจะบอกให้ตินเอาที่คีบขยะมาให้แล้วจัดการคีบหินก้อนนั้นใส่ถุงแล้วนำไปทิ้งที่วัดใกล้บ้าน
หลังจัดการทุกอย่างมีนก็พูดกับตินว่า “อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณแม่เองแล้ว”