กาลครั้งหนึ่ง ณ แคว้นสามสี มีปราสาทสูงใหญ่ตั้งอยู่อย่างสวยงาม ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังแวะซ้าย
"องค์หญิงเล็ก พระองค์ต้องระมัดระวังพระองค์ด้วยนะเพคะ"
"การตามเสด็จประภาสป่าครั้งนี้ อาจจะมีภยันตรายมากมายนะเพคะ ในป่ารกทึบ มีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้ายน่ากลัว พระองค์ไม่ต้องตามเสด็จจะดีกว่าไหมเพคะ"
เสียงหญิงสูงวัยพูดกล่าวกับองค์หญิงเล็ก ด้วยจิตใจที่กังวล
องค์หญิงเล็กไม่เคยได้ออกจากพระราชวังแวะซ้ายเลย เพราะเคยมีคำสาปเมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ จึงทำให้เธอได้แต่อยู่ในวัง
หากเลือดในกายเจ้าหลั่งไหล จักสิ้นชีพไปนิจนิรันดร์
ประโยคนี้ทำให้แม่นมแม้นใจคอ ไม่ค่อยสู้ดี เหมือนจะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
"หญิงรู้หรอกน่าแม่นมแม้น หญิงแค่อยากตามเสด็จกับท่านพี่ชายใหญ่ ก่อนที่หญิงจะเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายหันขวา"
แม่นมแม้นได้แต่จ้องมององค์หญิงเล็ก ที่เธอเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมา อย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่แล้วก็พูดอะไรไม่ออก
องค์หญิงเล็กแห่งแคว้นสามสี มีพระนามว่า เจ้าหญิงตาหวาน พระองค์มีรูปลักษณ์ที่สวยสดงดงาม โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่นั้น ที่มองดูหวานหยดย้อย จนผู้พบเห็นต้องใจอ่อนระทวยทุกครา ด้วยเหตุนี้องค์หญิงตาหวานจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปยังทั่วแคว้นต่างๆ
เจ้าชายจากแคว้นน้อยใหญ่ ต่างมีความปรารถนาที่จะครอบครององค์หญิงเล็กไปเป็นพระชายาแห่งแคว้นของตนเอง
เจ้าชายหันขวาเป็นเจ้าชายหนุ่มที่มีพระปรีชาสามารถมากล้น เป็นเจ้าชายเพียงผู้เดียวที่สามารถครอบครองหัวใจของเจ้าหญิงตาหวานได้
****************************
ในป่าอันรกทึบ และเงียบสงัด มีเสียงเล็กๆ ร้องไห้ระงมรบกวนการทำสมาธิของท่านเทพารักษ์ที่ประจำปกปักษ์รักษาผืนป่าแห่งนี้
"แง...แง...แง"
เจ้าก้อนกลมตัวเล็กร้องเสียงจ้าละหวั่นก้องทั่วพนาไพร น้ำตาเปียกชื้นไปทั่วแก้มป่องทั้งสองข้าง
"ท่านพี่นะ... ท่านพี่... ไหนบอกข้าว่า เจ้าขนฟูสีน้ำตาลจะพาไปท่องเที่ยวยังดินแดนลึกลับ"
"ตัวข้าก็มัวแต่ตื่นเต้นดีใจ มาตกใจอีกทีก็ในช่วงเวลาที่เจ้าขนฟู (โบเก้) พาลงแช่น้ำในอ่างเก็บน้ำอันกว้างใหญ่สีฟ้าคราม"
ด้วยความตื่นเต้นกับการลงไปอยู่ใต้น้ำ ตอนที่เจ้าโบเก้ แช่น้ำนานๆ ข้าหายใจไม่ออก มันเหมือนวิญญาณของข้ากำลังจะหลุดออกจากร่าง ข้าก็เลยคลายมือที่จับแน่นออกจากร่างกายเจ้าโบเก้
จากนั้นเจ้าโบเก้ก็กระโดดขึ้นบนบก สะบัดตัวอย่างแรง เพื่อให้น้ำที่เกาะตามขนบนตัวแห้ง
ใครจะไปคิดว่ามันจะทำให้ข้ากระเด็นผ่านประตูทะลุมิติข้ามกาลเวลา ตรงต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
"แง... แง... แง"
เสียงร้องไห้ยังไม่ยอมหยุด
"ข้าจะมีโอกาสได้กลับไปพบกับท่านพี่อีกไหม"
"ในป่าแบบนี้ข้าจะดูดกินเลือดใครเป็นอาหาร"
"ข้าต้องตายแน่ๆ ใช่ไหม..."
เจ้าก้อนกลมตัวน้อยพร่ำบ่นกับตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน
ฝั่งท่านเทพารักษ์ เมื่อถูกรบกวนนานๆ ก็ทนไม่ไหว จึงปรากฏกายต่อหน้าเจ้าก้อนกลมตัวน้อย
"เจ้าตัวเล็ก เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้ไม่ยอมหยุดเช่นนี้"
"ช่างรบกวนการนั่งทำสมาธิของข้ายิ่งนัก"
เจ้าก้อนกลมตัวน้อย เมื่อเห็นท่านเทพารักษ์ที่ยืนปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ได้รับฟัง
"ข้าก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าอย่างไรดี งั้นข้าจะให้พรเจ้าหนึ่งประการ"
เจ้าก้อนกลม ก็จ้องมองเทพารักษ์ พร้อมกับพยักหน้า
"เจ้าว่ามา เจ้าต้องการอะไร"
เจ้าเห็บน้อย คิดอยู่สักพัก จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเล็กๆ
"ข้าต้องการออกไปจากผืนป่าแห่งนี้"
ท่านเทพารักษ์ก็ยิ้มให้เจ้าเห็บน้อย แล้วชี้นิ้วตรงมายังร่างกายเจ้าเห็บน้อย ลำแสงสว่างจ้าออกมาจากปลายนิ้วท่านเทพารักษ์
เห็บน้อยมีอาการสั่นสะท้านกับลำแสงนั้นสักพัก จากนั้นร่างกายก็กลับมาปรกติ
"เจ้าจะได้ดั่งคำที่ขอ งั้นข้าไปล่ะ"
ร่างท่านเทพารักษ์ค่อยๆ จางหายไป
เจ้าเห็บน้อยก็ค่อยๆ เดินไปอิงแอบตามก้อนหินและไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป
****************************
เช้าวันใหม่ เจ้าหญิงตาหวานมีท่าทางที่ตื่นเต้นกับการจะได้ออกนอกพระราชวังแวะซ้าย
"น้องหญิง เจ้าพร้อมเสด็จหรือยัง"
องค์หญิงตาหวาน พยักหน้า พร้อมน้ำเสียงอันไพเราะ
"เพคะ เสด็จพี่"
จากนั้นขบวนเสด็จก็มุ่งหน้าไปยังป่าใหญ่ที่รกทึบ
ผ่านไปหลายเพลา ขบวนเสด็จก็มาถึงที่หมาย องค์หญิงเล็ก กับองค์ชายใหญ่ก็ต่างเข้าที่พำนักของตนเอง
องค์หญิงตาหวาน เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย กับการที่ต้องอยู่ในที่พำนัก ด้วยความที่มีนิสัยซุกซนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ก็เลยวางเล่ห์กลอุบาย หลอกล่อเหล่านางกำนัน
"กว่าจะถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร คงอีกนาน เราหาอะไรสนุกๆ ทำดีกว่า"
จากนั้นองค์หญิงตาหวานก็วางแผนให้เล่านางกำนันเอาผ้าสีดำมาผูกปิดตา และนับหนึ่งถึงร้อย แล้วตนจะไปหาที่ซ่อนแอบ
"หนึ่ง... สอง... สาม..."
ในการออกเสด็จประภาสป่าครั้งนี้ องค์หญิงตาหวานแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นบุรุษ ดังนั้นการวิ่ง การเดิน จึงทำให้คล่องแคล่วว่องไวกว่าปรกติ
องค์หญิงอยากจะออกไปจากจุดพำนักนี้ เลยใช้ก้อนหินโยนเข้าทางป่าด้านหนึ่ง เพื่อให้เกิดเสียงดัง จากนั้นเหล่าทหารตรงจุดนั้นก็พากันวิ่งออกไปดูทางต้นเสียงนั้น
เมื่อได้โอกาสองค์หญิงก็รีบวิ่งเข้าไปทางป่าอีกฝั่งหนึ่งทันที และเดินชมป่าไปอย่างสุนทรีย์
"ใครจะคิดว่าการเดินป่าคนเดียวแบบนี้ ช่างมีความสุขยิ่งนัก"
ในใจของนางคิดแค่ว่าจะเดินเล่นสักพัก แล้วค่อยกลับ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้า และเริ่มหาทางออกไม่เจอ ผืนป่าใหญ่รอบด้านเหมือนกันไปหมด
"นั่งพักสักหน่อยคงจะดี"
ทางฟากฝั่งจุดพักแรม องค์ชายใหญ่กับเหล่าทหาร และนางกำนันต่างวุ่นวาย ตามหาองค์หญิงตาหวาน
"พวกเจ้าช่างทำงานได้สับเพล่ายิ่งนัก ป่านฉะนี้น้องหญิงของข้าจะเกิดเหตุเภทภัย ร้าย-ดี อย่างไรบ้างก็ไม่รู้"
"หากพวกเจ้าตามหาน้องหญิงของข้าไม่พบ พวกเจ้าเตรียมตัวหัวหลุดออกจากบ่ากันได้เลย!!!"
องค์ชายใหญ่ตรัสด้วยอารมณ์กริ้วโกรธ
เหล่าทหารและนางกำนันต่างรีบพากันค้นหาตัวองค์หญิงตาหวานอย่างหวาดกลัว กลัวที่หัวจะหลุดออกจากบ่า
****************************
แสงสีทองของท้องฟ้าเริ่มสาดส่องผ่านทะลุใบไม้ลงมายังพื้นหญ้า มวลอากาศเริ่มเย็นลง บ่งบอกว่าความมืดใกล้จะมาเยือนในไม่ช้า
ร่างกายขององค์หญิงตาหวานที่พิงพนักกับต้นไม้ใหญ่ หลับใหลอย่างไม่รู้ว่ารอบตัวกำลังมีมัจจุราชคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
เจ้าก้อนกลมค่อยๆ คืบคลานขึ้นไปยังร่างกายของหญิงสาว จนไปถึงยังศีรษะที่มีผมสีดำปกคลุมอยู่
"เจ้ามนุษย์นี่ช่างมีรูปร่างเหมือนกับเจ้านายเจ้าขนฟูเลยนะ แต่การแต่งตัวแปลกๆ"
"แต่ตอนนี้ข้าหิว ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว นอกจากหยดน้ำค้างจากใบหญ้า"
"ข้าจะลองชิมเลือดจากเจ้ามนุษย์ยุคนี้สักหน่อย ว่าจะอร่อยเท่าเลือดเจ้าขนฟูสีน้ำตาลไหม"
เจ้าเห็บน้อยก็ใช้ฟันอันแหลมคมกัดเข้ายังหนังศีรษะของเจ้าหญิงรูปงาม
ร่างกายของหญิงสาวหารู้ไม่ว่า วิญญาณนั้นได้หลุดล่องลอยออกจากร่างกาย โดยไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย
เธอแค่เหนื่อยจากการเดินทาง เลยนั่งพักพิงต้นไม้ใหญ่ ด้วยความเหนื่อยหล้า เลยทำให้หลับใหลอย่างไม่รู้ตัว
"โอ้...เลือดนี้ช่างมีรสชาติหวานยิ่งนัก ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่า เลือดของมนุษย์จะอร่อยแบบนี้"
เจ้าเห็บน้อยดื่มด่ำเลือดอย่างมีความสุข
ด้วยความอิ่มเอม เลยทำให้หลับไป หารู้ไม่ว่าวิญญาณของตนได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังอีกร่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
****************************
ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เหล่าทหารและนางกำนันก็ตะโกนร้องเรียกเสียงดังกึกก้องไปทั่วผืนป่าใหญ่
"องค์หญิง... องค์หญิง"
"ได้ยินไหมเพคะ"
"องค์หญิงทรงออกมาเถิดเพคะ พวกหม่อมฉันยอมแพ้แล้วเพคะ"
"มืดแล้ว อันตรายมาก ทรงออกมาได้แล้วเพคะ... ฮื้อๆ"
เสียงเหล่านางกำนันตะโกนร้องเรียกพร้อมเสียงร่ำไห้
ร่างกายหญิงงามเริ่มขยับตัว เพราะเสียงที่ดังมาเป็นระยะ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"ทำไมภาพที่ข้าเห็น มันถึงดูกว้างไกลเช่นนี้"
"เกิดอะไรขึ้นกับข้า"
เจ้าเห็บน้อยค่อยๆ เลื่อนสายตามองดูยังรูปร่างของตนเอง
"ไม่จริง!!..."
"ข้ามาอยู่ในร่างเจ้ามนุษย์คนนั้นได้อย่างไร"
"กรี๊ดดด....."
เสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังลั่นทั่วป่า เหล่าทหารและนางกำนันต่างก็พากันวิ่งมาทางเสียงนั้น
_________________________
ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ทุกคนคงอยากจะขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากให้ทั้งตนเอง และผู้อื่นสมหวังกันแล้วใช่ไหมคะ
นี่คือที่มาของการแต่งนิทานเรื่อง พรหนึ่งประการ แต่งไปแต่งมาก็สับสนกับคำราชาศัพท์ ก็คงค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขกันต่อไปค่ะ
พรหนึ่งประการ
"องค์หญิงเล็ก พระองค์ต้องระมัดระวังพระองค์ด้วยนะเพคะ"
"การตามเสด็จประภาสป่าครั้งนี้ อาจจะมีภยันตรายมากมายนะเพคะ ในป่ารกทึบ มีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้ายน่ากลัว พระองค์ไม่ต้องตามเสด็จจะดีกว่าไหมเพคะ"
เสียงหญิงสูงวัยพูดกล่าวกับองค์หญิงเล็ก ด้วยจิตใจที่กังวล
องค์หญิงเล็กไม่เคยได้ออกจากพระราชวังแวะซ้ายเลย เพราะเคยมีคำสาปเมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ จึงทำให้เธอได้แต่อยู่ในวัง
หากเลือดในกายเจ้าหลั่งไหล จักสิ้นชีพไปนิจนิรันดร์
ประโยคนี้ทำให้แม่นมแม้นใจคอ ไม่ค่อยสู้ดี เหมือนจะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
"หญิงรู้หรอกน่าแม่นมแม้น หญิงแค่อยากตามเสด็จกับท่านพี่ชายใหญ่ ก่อนที่หญิงจะเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายหันขวา"
แม่นมแม้นได้แต่จ้องมององค์หญิงเล็ก ที่เธอเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมา อย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่แล้วก็พูดอะไรไม่ออก
องค์หญิงเล็กแห่งแคว้นสามสี มีพระนามว่า เจ้าหญิงตาหวาน พระองค์มีรูปลักษณ์ที่สวยสดงดงาม โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่นั้น ที่มองดูหวานหยดย้อย จนผู้พบเห็นต้องใจอ่อนระทวยทุกครา ด้วยเหตุนี้องค์หญิงตาหวานจึงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปยังทั่วแคว้นต่างๆ
เจ้าชายจากแคว้นน้อยใหญ่ ต่างมีความปรารถนาที่จะครอบครององค์หญิงเล็กไปเป็นพระชายาแห่งแคว้นของตนเอง
เจ้าชายหันขวาเป็นเจ้าชายหนุ่มที่มีพระปรีชาสามารถมากล้น เป็นเจ้าชายเพียงผู้เดียวที่สามารถครอบครองหัวใจของเจ้าหญิงตาหวานได้
****************************
ในป่าอันรกทึบ และเงียบสงัด มีเสียงเล็กๆ ร้องไห้ระงมรบกวนการทำสมาธิของท่านเทพารักษ์ที่ประจำปกปักษ์รักษาผืนป่าแห่งนี้
"แง...แง...แง"
เจ้าก้อนกลมตัวเล็กร้องเสียงจ้าละหวั่นก้องทั่วพนาไพร น้ำตาเปียกชื้นไปทั่วแก้มป่องทั้งสองข้าง
"ท่านพี่นะ... ท่านพี่... ไหนบอกข้าว่า เจ้าขนฟูสีน้ำตาลจะพาไปท่องเที่ยวยังดินแดนลึกลับ"
"ตัวข้าก็มัวแต่ตื่นเต้นดีใจ มาตกใจอีกทีก็ในช่วงเวลาที่เจ้าขนฟู (โบเก้) พาลงแช่น้ำในอ่างเก็บน้ำอันกว้างใหญ่สีฟ้าคราม"
ด้วยความตื่นเต้นกับการลงไปอยู่ใต้น้ำ ตอนที่เจ้าโบเก้ แช่น้ำนานๆ ข้าหายใจไม่ออก มันเหมือนวิญญาณของข้ากำลังจะหลุดออกจากร่าง ข้าก็เลยคลายมือที่จับแน่นออกจากร่างกายเจ้าโบเก้
จากนั้นเจ้าโบเก้ก็กระโดดขึ้นบนบก สะบัดตัวอย่างแรง เพื่อให้น้ำที่เกาะตามขนบนตัวแห้ง
ใครจะไปคิดว่ามันจะทำให้ข้ากระเด็นผ่านประตูทะลุมิติข้ามกาลเวลา ตรงต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
"แง... แง... แง"
เสียงร้องไห้ยังไม่ยอมหยุด
"ข้าจะมีโอกาสได้กลับไปพบกับท่านพี่อีกไหม"
"ในป่าแบบนี้ข้าจะดูดกินเลือดใครเป็นอาหาร"
"ข้าต้องตายแน่ๆ ใช่ไหม..."
เจ้าก้อนกลมตัวน้อยพร่ำบ่นกับตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน
ฝั่งท่านเทพารักษ์ เมื่อถูกรบกวนนานๆ ก็ทนไม่ไหว จึงปรากฏกายต่อหน้าเจ้าก้อนกลมตัวน้อย
"เจ้าตัวเล็ก เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้ไม่ยอมหยุดเช่นนี้"
"ช่างรบกวนการนั่งทำสมาธิของข้ายิ่งนัก"
เจ้าก้อนกลมตัวน้อย เมื่อเห็นท่านเทพารักษ์ที่ยืนปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ได้รับฟัง
"ข้าก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าอย่างไรดี งั้นข้าจะให้พรเจ้าหนึ่งประการ"
เจ้าก้อนกลม ก็จ้องมองเทพารักษ์ พร้อมกับพยักหน้า
"เจ้าว่ามา เจ้าต้องการอะไร"
เจ้าเห็บน้อย คิดอยู่สักพัก จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเล็กๆ
"ข้าต้องการออกไปจากผืนป่าแห่งนี้"
ท่านเทพารักษ์ก็ยิ้มให้เจ้าเห็บน้อย แล้วชี้นิ้วตรงมายังร่างกายเจ้าเห็บน้อย ลำแสงสว่างจ้าออกมาจากปลายนิ้วท่านเทพารักษ์
เห็บน้อยมีอาการสั่นสะท้านกับลำแสงนั้นสักพัก จากนั้นร่างกายก็กลับมาปรกติ
"เจ้าจะได้ดั่งคำที่ขอ งั้นข้าไปล่ะ"
ร่างท่านเทพารักษ์ค่อยๆ จางหายไป
เจ้าเห็บน้อยก็ค่อยๆ เดินไปอิงแอบตามก้อนหินและไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป
****************************
เช้าวันใหม่ เจ้าหญิงตาหวานมีท่าทางที่ตื่นเต้นกับการจะได้ออกนอกพระราชวังแวะซ้าย
"น้องหญิง เจ้าพร้อมเสด็จหรือยัง"
องค์หญิงตาหวาน พยักหน้า พร้อมน้ำเสียงอันไพเราะ
"เพคะ เสด็จพี่"
จากนั้นขบวนเสด็จก็มุ่งหน้าไปยังป่าใหญ่ที่รกทึบ
ผ่านไปหลายเพลา ขบวนเสด็จก็มาถึงที่หมาย องค์หญิงเล็ก กับองค์ชายใหญ่ก็ต่างเข้าที่พำนักของตนเอง
องค์หญิงตาหวาน เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย กับการที่ต้องอยู่ในที่พำนัก ด้วยความที่มีนิสัยซุกซนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ก็เลยวางเล่ห์กลอุบาย หลอกล่อเหล่านางกำนัน
"กว่าจะถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร คงอีกนาน เราหาอะไรสนุกๆ ทำดีกว่า"
จากนั้นองค์หญิงตาหวานก็วางแผนให้เล่านางกำนันเอาผ้าสีดำมาผูกปิดตา และนับหนึ่งถึงร้อย แล้วตนจะไปหาที่ซ่อนแอบ
"หนึ่ง... สอง... สาม..."
ในการออกเสด็จประภาสป่าครั้งนี้ องค์หญิงตาหวานแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นบุรุษ ดังนั้นการวิ่ง การเดิน จึงทำให้คล่องแคล่วว่องไวกว่าปรกติ
องค์หญิงอยากจะออกไปจากจุดพำนักนี้ เลยใช้ก้อนหินโยนเข้าทางป่าด้านหนึ่ง เพื่อให้เกิดเสียงดัง จากนั้นเหล่าทหารตรงจุดนั้นก็พากันวิ่งออกไปดูทางต้นเสียงนั้น
เมื่อได้โอกาสองค์หญิงก็รีบวิ่งเข้าไปทางป่าอีกฝั่งหนึ่งทันที และเดินชมป่าไปอย่างสุนทรีย์
"ใครจะคิดว่าการเดินป่าคนเดียวแบบนี้ ช่างมีความสุขยิ่งนัก"
ในใจของนางคิดแค่ว่าจะเดินเล่นสักพัก แล้วค่อยกลับ แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกเหนื่อยล้า และเริ่มหาทางออกไม่เจอ ผืนป่าใหญ่รอบด้านเหมือนกันไปหมด
"นั่งพักสักหน่อยคงจะดี"
ทางฟากฝั่งจุดพักแรม องค์ชายใหญ่กับเหล่าทหาร และนางกำนันต่างวุ่นวาย ตามหาองค์หญิงตาหวาน
"พวกเจ้าช่างทำงานได้สับเพล่ายิ่งนัก ป่านฉะนี้น้องหญิงของข้าจะเกิดเหตุเภทภัย ร้าย-ดี อย่างไรบ้างก็ไม่รู้"
"หากพวกเจ้าตามหาน้องหญิงของข้าไม่พบ พวกเจ้าเตรียมตัวหัวหลุดออกจากบ่ากันได้เลย!!!"
องค์ชายใหญ่ตรัสด้วยอารมณ์กริ้วโกรธ
เหล่าทหารและนางกำนันต่างรีบพากันค้นหาตัวองค์หญิงตาหวานอย่างหวาดกลัว กลัวที่หัวจะหลุดออกจากบ่า
****************************
แสงสีทองของท้องฟ้าเริ่มสาดส่องผ่านทะลุใบไม้ลงมายังพื้นหญ้า มวลอากาศเริ่มเย็นลง บ่งบอกว่าความมืดใกล้จะมาเยือนในไม่ช้า
ร่างกายขององค์หญิงตาหวานที่พิงพนักกับต้นไม้ใหญ่ หลับใหลอย่างไม่รู้ว่ารอบตัวกำลังมีมัจจุราชคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ
เจ้าก้อนกลมค่อยๆ คืบคลานขึ้นไปยังร่างกายของหญิงสาว จนไปถึงยังศีรษะที่มีผมสีดำปกคลุมอยู่
"เจ้ามนุษย์นี่ช่างมีรูปร่างเหมือนกับเจ้านายเจ้าขนฟูเลยนะ แต่การแต่งตัวแปลกๆ"
"แต่ตอนนี้ข้าหิว ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว นอกจากหยดน้ำค้างจากใบหญ้า"
"ข้าจะลองชิมเลือดจากเจ้ามนุษย์ยุคนี้สักหน่อย ว่าจะอร่อยเท่าเลือดเจ้าขนฟูสีน้ำตาลไหม"
เจ้าเห็บน้อยก็ใช้ฟันอันแหลมคมกัดเข้ายังหนังศีรษะของเจ้าหญิงรูปงาม
ร่างกายของหญิงสาวหารู้ไม่ว่า วิญญาณนั้นได้หลุดล่องลอยออกจากร่างกาย โดยไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย
เธอแค่เหนื่อยจากการเดินทาง เลยนั่งพักพิงต้นไม้ใหญ่ ด้วยความเหนื่อยหล้า เลยทำให้หลับใหลอย่างไม่รู้ตัว
"โอ้...เลือดนี้ช่างมีรสชาติหวานยิ่งนัก ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่า เลือดของมนุษย์จะอร่อยแบบนี้"
เจ้าเห็บน้อยดื่มด่ำเลือดอย่างมีความสุข
ด้วยความอิ่มเอม เลยทำให้หลับไป หารู้ไม่ว่าวิญญาณของตนได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังอีกร่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
****************************
ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เหล่าทหารและนางกำนันก็ตะโกนร้องเรียกเสียงดังกึกก้องไปทั่วผืนป่าใหญ่
"องค์หญิง... องค์หญิง"
"ได้ยินไหมเพคะ"
"องค์หญิงทรงออกมาเถิดเพคะ พวกหม่อมฉันยอมแพ้แล้วเพคะ"
"มืดแล้ว อันตรายมาก ทรงออกมาได้แล้วเพคะ... ฮื้อๆ"
เสียงเหล่านางกำนันตะโกนร้องเรียกพร้อมเสียงร่ำไห้
ร่างกายหญิงงามเริ่มขยับตัว เพราะเสียงที่ดังมาเป็นระยะ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"ทำไมภาพที่ข้าเห็น มันถึงดูกว้างไกลเช่นนี้"
"เกิดอะไรขึ้นกับข้า"
เจ้าเห็บน้อยค่อยๆ เลื่อนสายตามองดูยังรูปร่างของตนเอง
"ไม่จริง!!..."
"ข้ามาอยู่ในร่างเจ้ามนุษย์คนนั้นได้อย่างไร"
"กรี๊ดดด....."
เสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังลั่นทั่วป่า เหล่าทหารและนางกำนันต่างก็พากันวิ่งมาทางเสียงนั้น
_________________________
ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ทุกคนคงอยากจะขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากให้ทั้งตนเอง และผู้อื่นสมหวังกันแล้วใช่ไหมคะ
นี่คือที่มาของการแต่งนิทานเรื่อง พรหนึ่งประการ แต่งไปแต่งมาก็สับสนกับคำราชาศัพท์ ก็คงค่อยๆ ปรับปรุงแก้ไขกันต่อไปค่ะ