"องค์หญิง... องค์หญิง"
"พระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ"
เสียงเหล่านางกำนันต่างร้องเรียกเจ้าหญิงตาหวานด้วยความเป็นห่วง
สายตาเจ้าหญิงจ้องมองเหล่าทหาร และนางกำนันอย่างตกใจ เธอไม่รู้จักใครสักคน เธอเลยตัดสินใจแกล้งหลับตาและเป็นลมดีกว่า
เหล่าข้าทาสนางกำนันรีบเข้ามาประคองตัวเจ้าหญิงและพาเสด็จกลับยังจุดประทับพักแรมต่อไป
****************************
ภายในจุดพักแรมค่อนข้างวุ่นวาย หลังจากที่พบตัวเจ้าหญิงตาหวาน และเธอก็ยังไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเพื่อให้เจ้าชายใหญ่ได้ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา
จนเจ้าชายใหญ่ตัดสินพระทัยเสด็จออกเดินทางกลับพระราชวังแวะซ้ายในเช้าวันรุ่งขึ้นถัดมา เพื่อจะได้ให้เจ้าหญิงตาหวานได้รับการตรวจรักษาจากหมอหลวงจากในวังอีกที
ณ พระราชวังแวะซ้าย
เมื่อผ่านมาหลายวันร่างกายของเจ้าหญิงไม่ได้มีอาการผิดปกติ เพียงแต่เจ้าหญิงกลายเป็นคนพูดน้อยได้แต่ยิ้ม จนแม่นมแม้นต้องถามไถ่อาการเพราะความเป็นห่วง
"องค์หญิงเพคะ องค์หญิงมีอะไรทรงไม่สบายพระทัยหรือเปล่าเพคะ หม่อมฉันเห็นองค์หญิงไม่ร่าเริงเช่นแต่ก่อน พูดก็น้อยลง เสวยพระกระยาหารก็น้อยลง"
"พระองค์มีเหตุอันใดจะกล่าวกับนมบ้างเพคะ"
เจ้าหญิงตาหวานหันหน้ามามองแม่นมแม้นแล้วถอนหายใจ
"เห้อ..."
เธอจะบอกอะไรใครได้ล่ะ ว่าเธอไม่ใช่เจ้าหญิงตาหวาน เธอคือเจ้าเห็บน้อยมาจากอีกภพหนึ่ง มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก
"เปล่าจ๊ะนมแม้น หญิงแค่รู้สึกปวดศีรษะบ่อยแค่นั้นเอง"
นมแม้นพยักหญ้าเข้าใจ เพราะเธอเองเคยเห็นเจ้าหญิงมีรอยแผลจากการกัดของเห็บบนหนังศีรษะ และเธอก็ได้จัดการทำลายร่างเห็บน้อยทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
"หากเป็นเช่นนั้น พระองค์ควรพักผ่อนให้มากๆ นะเพคะ อีกไม่กี่วันก็จะทรงถึงวันงานเฉลิมฉลองครบรอบวันประสูติขององค์ชายหันขวาแล้วนะเพคะ"
"พระวรกายของพระองค์จะได้หายทันนะเพคะ"
แม่นมแม้นกำชับด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ฝ่ายเจ้าหญิงตาหวานก็พยักหน้ารับรู้ เธอไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย เพราะภาษาของมนุษย์ หรือวิถีชีวิตของมนุษย์มันช่างแตกต่างจากชีวิตสัตว์ตัวเล็กๆ เช่นเธอ
****************************
หนึ่งเดือนต่อมา ณ พระราชวังแวะขวา
คืนงานเลี้ยงวันครบรอบวันประสูติของเจ้าชายหันขวา เจ้าหญิงตาหวานกับเจ้าชายใหญ่ก็มาร่วมงาน
ท่ามกลางงานเลี้ยงมีเหล่าเจ้าชาย เจ้าหญิงจากเมืองน้อยใหญ่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง
กลางห้องโถงในพระราชวังมีการเต้นรำ และมีมุมอาหารอันหรูหราเรียงรายให้ได้ลิ้มลองรสชาติทั้งคืน
ตรงมุมอาหารเครื่องดื่ม ได้มีไวน์แดงชั้นดี ที่ดึงดูดสายตาเจ้าหญิงตาหวาน เมื่อนางเห็นน้ำสีแดงในแก้วใสๆ ลำคอเริ่มแห้งเผือด อยากจะลิ้มลองว่ารสชาติจะหวานเช่นเดียวกับเลือดในกายที่เคยได้ดื่มกินมาหรือไม่
ตั้งแต่ออกจากป่ามาเธอก็เสวยพระกระยาหารไม่ค่อยดี อาจจะด้วยจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งยังเป็นเจ้าเห็บน้อย อาหารที่เสวยเลยยังไม่ใช่รสชาติที่พึงประสงค์
เธอเดินไปหยิบแก้วไวน์ แล้วเดินออกมาจากห้องโถงงานเลี้ยงของพระราชวังแวะขวา ออกมายังข้างนอกงานเลี้ยงเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติของวังนี้ด้วย เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำสีแดงได้แตะสัมผัสถูกปลายลิ้น
แต่... รสชาติที่ลิ้มลองมันไม่ใช่เลือดดั่งที่เธอปรารถนา
"พรืด.."
เธอพ่นน้ำสีแดงออกมาทันทีอย่างรวดเร็ว จนทำให้ริมฝีปากบางเลอะเทอะด้วยน้ำสีแดง
เจ้าชายหันขวาได้เดินตามเจ้าหญิงออกมา และเห็นท่าทางเจ้าหญิงอันเป็นที่รักไม่สู้ดี รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวบาง มาซับหยดน้ำสีแดงที่เลอะรอบริมฝีปากบางอย่างเบามือ
เมื่อสัมผัสจากชายหนุ่มรูปงาม ที่ค่อยๆ ซับน้ำสีแดงอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งคู่ที่สบตากัน เจ้าหญิงตาหวานอยู่อาการตะลึงกับสัมผัสนั้น แต่เจ้าชายรูปงามที่จ้องริมฝีปากบาง ก็เกิดอาการร้อนรุ่มในกาย ลำคอเริ่มแห้ง อยากจะสัมผัสลิ้มลองรสจากริมฝีปากบางนั้น ว่าจะมีรสชาติหวานเช่นไร
เจ้าชายค่อยๆ โน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงมา แล้วใช้ริมฝีปากประทับบนริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวล ค่อยๆ ชิมรสหวานจากปากนุ่มอย่างช้าๆ
องค์หญิงตาหวานอยู่ในอาการตะลึงกับสัมผัสที่ได้รับจากพระคู่หมั้น ร่างกายก็ยังคงยืนแข็งทื่อ มือทั้งสองข้างเริ่มเย็นเฉียบ
ด้วยร่างกายครึ่งหนึ่งยังมีความเป็นมนุษย์ สัมผัสอันอ่อนนุ่มทำให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มตาม และอีกครึ่งหนึ่งคือวิญญาณเจ้าเห็บน้อย ด้วยกลิ่นกายของมนุษย์ที่ได้สัมผัส ทำให้เจ้าหญิงตาหวานได้กัดยังริมฝีปากเจ้าชายอย่างแรง หวังจะดูดกินเลือดในกายชายหนุ่ม
"โอ๊ย!!"
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ร่างทั้งสองก็ผละออกจากกัน
"น้องหญิงทรงกัดพี่ทำไมเพคะ"
เจ้าชายหันขวาร้องถามหญิงสาวอันเป็นที่รักทันที นิ้วมือเรียวยาวก็ลูบสัมผัสริมฝีปากตน ที่มีเลือดไหลออกมา
"หญิง... หญิง"
"หญิงขออภัยองค์ชายเพคะ เมื่อกี้หญิงตกใจ"
เจ้าชายหันขวารู้สึกผิดกับความมักง่ายของตนเอง จึงรีบขอโทษขอโพยกับเจ้าหญิงตาหวานทันที
"มันไม่ใช่ความผิดของน้องหญิงหรอกเพคะ ตัวพี่เองที่เป็นฝ่ายผิด พี่ต้องข้ออภัยน้องหญิง ที่เมื่อกี้พี่ได้ล่วงเกินน้องหญิงไป"
เจ้าหญิงตาหวานได้แต่เพียงพยักหน้า และไม่พูดอันใดต่อไป
เจ้าชายหันขวาก็ได้เอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ซับริมปากเจ้าหญิงมาซับเลือดจากริมฝีปากตนแทน
"น้องหญิงเพคะ"
เจ้าชายได้เรียกเจ้าหญิง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะเดินจากไป อันที่จริงเจ้าชายดูพฤติกรรมของเจ้าหญิงตาหวานออกว่าเปลี่ยนไป หลังเสด็จกลับมาจากการประพาสป่ากับเจ้าชายใหญ่ครั้งนั้น
"เดือนหน้าพี่จะเสร็จประพาสป่ากับท่านพี่ชายใหญ่ น้องหญิงอยากตามไปด้วยไหมเพคะ"
เจ้าหญิงเงียบสักพัก แล้วก็ยิ้ม ก่อนตอบ
"พระองค์ทรงอยากให้หม่อมฉันเสด็จด้วยไหมเพคะ แต่พี่ชายใหญ่คงไม่อนุญาต"
เจ้าชายหันขวายิ้มและพูด
"เดี๋ยวพี่จะทูลขอกับท่านพี่ชายใหญ่เอง"
หญิงสาวพยักหน้า และเดินเข้าไปยังห้องโถงของงานเลี้ยงในพระราชวังพร้อมกับเจ้าชาย
****************************
ณ ผืนป่าใหญ่
หลังจากที่ร่างกายเจ้าหญิงตาหวานถูกผู้อื่นครอบครองไป วิญญาณของเจ้าหญิงก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ ต้นไม้ใหญ่ ที่มีท่านเทพารักษ์สิงสถิตอยู่ และท่านเทพารักษ์ก็รับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของเจ้าหญิงตาหวาน เธอเป็นผู้มีบุญญาธิการ แต่ด้วยคำสาปที่มีมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากโชคชะตาได้
ท่านเทพารักษ์ได้ปรากฏกายต่อหน้าเจ้าหญิงตาหวาน และกล่าว
"หากเจ้ายังเดินวนเวียนอยู่เช่นนี้ มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้"
เจ้าหญิงได้หันไปมองยังท่านเทพารักษ์นางนั่งลงและก้มลงกราบ เพราะรับรู้ว่าท่านเทพารักษ์เป็นผู้ใด
"ข้าหมดปัญญา ข้าไม่รู้จักทำเช่นไรดี"
ท่านเทพารักษ์พยักหน้าเข้าใจ และพูดออกไป
"เมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะคลี่คลายเอง"
"ตัวข้าเองเป็นเทพที่ปกปักรักษาผืนป่าใหญ่แห่งนี้ สามารถช่วยชีวิตหนึ่งได้ แค่ให้สมปรารถนาดั่งพรหนึ่งประการ ต่อหนึ่งชีวิตที่ได้ร้องขอ"
"ตัวเจ้ามีความปรารถนาที่จะขอพรหนึ่งประการจากข้าหรือไม่"
เจ้าหญิงตาหวานยืนนิ่งใช้ความคิดสักพักแล้วพยักหน้า
"ข้ามีความปรารถนาที่จะได้รับพรนั้น"
ท่านเทพารักษ์ก็ถามกลับมา
"เจ้าต้องการอะไร"
เจ้าหญิงตาหวานตอบด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
"ข้าอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวของข้า"
ท่านเทพารักษ์พยักหน้าเข้าใจสิ่งที่นางร้องขอ นั่นคือการขอกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง แต่ด้วยเจ้าหญิงตาหวานเคยต้องคำสาปจากแม่มดร้ายเมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์
หากเลือดในกายเจ้าหลั่งไหล จักสิ้นชีพไปนิจนิรันดร์
ท่านเทพารักษ์จึงพูดออกไปว่า
"ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนากับพรหนึ่งประการนั้น หากแต่เจ้าต้องล้างคำสาปนั้นด้วยตนเอง"
"เจ้าจักต้องบำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิอยู่ในผืนป่าแห่งนี้เป็นเวลา 100 วัน เมื่อถึงวันนั้นทุกอย่างจะคลี่คลายเอง"
ท่านเทพารักษ์ก็ใช้นิ้วชี้ลงไปยังใบหน้าเจ้าหญิงตาหวาน ลำแสงสีทองก็เลื่อนผ่านจากปลายนิ้วไปยังร่างกายหญิงสาว หญิงสาวมีอาการสั่นสะท้านสักพัก จากนั้นร่างกายก็หยุดนิ่ง
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ร่างท่านเทพารักษ์ก็ค่อยๆ จางหายไป
เจ้าหญิงตาหวานก็บำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิยังใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อรอคอยให้ครบกำหนดเวลา 100 วัน
****************************
วันเสด็จประพาสป่า
ทุกคนออกเดินทางอย่างพร้อมเพรียงกัน หากแต่รอบนี้เวลาเจ้าหญิงตาหวานเสด็จไปทางไหน จะมีเหล่านางสนมกำนันติดตามด้วยตลอด
เช้าวันใหม่
หลังจากค้างแรมมาแล้วหนึ่งคืน เจ้าชายหันขวา และเจ้าหญิงตาหวาน ก็จูงมือกันเดินเข้าไปยังผืนป่าใหญ่ โดยมีเหล่าทหาร และนางกำนันเดินตามอยู่ห่างๆ
"น้องหญิงเพคะ"
เจ้าหญิงเอียงใบหน้างามมาทางเจ้าชายรูปหล่อ ทำหน้าสงสัยที่เจ้าชายเรียก
"เพคะองค์ชาย"
"คราก่อนน้องหญิงตามเสด็จกับท่านพี่ชายใหญ่ น้องหญิงได้เดินหลงป่าใช่ไหมเพคะ"
ชายหนุ่มถามไถ่ด้วยความสงสัย เพราะอยากรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ทำไมหญิงอันเป็นที่รักถึงดูไม่ร่าเริง และเงียบๆ พูดน้อยลงจากเดิมมาก
เจ้าหญิงก้มหน้าลงและถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่บางเบา
"หญิงจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ค่อยจะได้เพคะ หญิงรู้แค่ว่าหญิงนอนพักอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่แค่นั้นเองเพคะ"
เจ้าเห็บน้อยในร่างเจ้าหญิงงามจะตอบได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อเธอยังไม่รู้ว่าเหตุอันใดเจ้าหญิงตาหวานถึงเข้ามาอยู่ในผืนป่าแห่งนี้คนเดียว เธอจำได้แค่เห็นเจ้าหญิงเดินเข้ามา แล้วก็นอนพักใต้ต้นไม้แค่นั้นเอง
"น้องหญิงจำเหตุการณ์ไม่ได้เลยหรือเพคะ น่าแปลกจริงๆ"
เจ้าชายยังคงสงสัยว่าทำไม หญิงสาวถึงตอบไม่ได้ว่าตนเล่นซ่อนแอบกับเหล่านางกำนัน และได้ใช้เล่ห์กลอุบาย โยนก้อนหิน เพื่อหนีเหล่าทหารออกมาจากจุดประทับพักแรม ซึ่งเจ้าชายทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเหล่าทหารและนางกำนัน เพียงแต่อยากรู้เหตุการณ์ต่อจากนั้น จากปากเจ้าหญิงเองว่าเกิดอะไรขึ้น
จากการถามไถ่ยิ่งทำให้สงสัยในตัวเจ้าหญิงเพิ่มขึ้น
เจ้าเห็บน้อยในร่างเจ้าหญิงยืนนิ่ง เธอไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อไป เธอแปลกใจตั้งแต่ทำไมเจ้าชายพาเธอเดินเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทั้งที่เธอปฏิเสธ แต่เจ้าชายก็หายินยอมไม่
****************************
ต้องขออภัยที่มาแต่งต่อล่าช้านะคะ เริ่มแต่งต่อเมื่อวานนี้เองค่ะ หากผิดพลาดประการใด น้อมรับฟังทุกคำชี้แนะค่ะ
ขอบคุณค่ะ
พรหนึ่งประการ (ตอน 2)
"พระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ"
เสียงเหล่านางกำนันต่างร้องเรียกเจ้าหญิงตาหวานด้วยความเป็นห่วง
สายตาเจ้าหญิงจ้องมองเหล่าทหาร และนางกำนันอย่างตกใจ เธอไม่รู้จักใครสักคน เธอเลยตัดสินใจแกล้งหลับตาและเป็นลมดีกว่า
เหล่าข้าทาสนางกำนันรีบเข้ามาประคองตัวเจ้าหญิงและพาเสด็จกลับยังจุดประทับพักแรมต่อไป
****************************
ภายในจุดพักแรมค่อนข้างวุ่นวาย หลังจากที่พบตัวเจ้าหญิงตาหวาน และเธอก็ยังไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเพื่อให้เจ้าชายใหญ่ได้ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมา
จนเจ้าชายใหญ่ตัดสินพระทัยเสด็จออกเดินทางกลับพระราชวังแวะซ้ายในเช้าวันรุ่งขึ้นถัดมา เพื่อจะได้ให้เจ้าหญิงตาหวานได้รับการตรวจรักษาจากหมอหลวงจากในวังอีกที
ณ พระราชวังแวะซ้าย
เมื่อผ่านมาหลายวันร่างกายของเจ้าหญิงไม่ได้มีอาการผิดปกติ เพียงแต่เจ้าหญิงกลายเป็นคนพูดน้อยได้แต่ยิ้ม จนแม่นมแม้นต้องถามไถ่อาการเพราะความเป็นห่วง
"องค์หญิงเพคะ องค์หญิงมีอะไรทรงไม่สบายพระทัยหรือเปล่าเพคะ หม่อมฉันเห็นองค์หญิงไม่ร่าเริงเช่นแต่ก่อน พูดก็น้อยลง เสวยพระกระยาหารก็น้อยลง"
"พระองค์มีเหตุอันใดจะกล่าวกับนมบ้างเพคะ"
เจ้าหญิงตาหวานหันหน้ามามองแม่นมแม้นแล้วถอนหายใจ
"เห้อ..."
เธอจะบอกอะไรใครได้ล่ะ ว่าเธอไม่ใช่เจ้าหญิงตาหวาน เธอคือเจ้าเห็บน้อยมาจากอีกภพหนึ่ง มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก
"เปล่าจ๊ะนมแม้น หญิงแค่รู้สึกปวดศีรษะบ่อยแค่นั้นเอง"
นมแม้นพยักหญ้าเข้าใจ เพราะเธอเองเคยเห็นเจ้าหญิงมีรอยแผลจากการกัดของเห็บบนหนังศีรษะ และเธอก็ได้จัดการทำลายร่างเห็บน้อยทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว
"หากเป็นเช่นนั้น พระองค์ควรพักผ่อนให้มากๆ นะเพคะ อีกไม่กี่วันก็จะทรงถึงวันงานเฉลิมฉลองครบรอบวันประสูติขององค์ชายหันขวาแล้วนะเพคะ"
"พระวรกายของพระองค์จะได้หายทันนะเพคะ"
แม่นมแม้นกำชับด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ฝ่ายเจ้าหญิงตาหวานก็พยักหน้ารับรู้ เธอไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย เพราะภาษาของมนุษย์ หรือวิถีชีวิตของมนุษย์มันช่างแตกต่างจากชีวิตสัตว์ตัวเล็กๆ เช่นเธอ
****************************
หนึ่งเดือนต่อมา ณ พระราชวังแวะขวา
คืนงานเลี้ยงวันครบรอบวันประสูติของเจ้าชายหันขวา เจ้าหญิงตาหวานกับเจ้าชายใหญ่ก็มาร่วมงาน
ท่ามกลางงานเลี้ยงมีเหล่าเจ้าชาย เจ้าหญิงจากเมืองน้อยใหญ่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง
กลางห้องโถงในพระราชวังมีการเต้นรำ และมีมุมอาหารอันหรูหราเรียงรายให้ได้ลิ้มลองรสชาติทั้งคืน
ตรงมุมอาหารเครื่องดื่ม ได้มีไวน์แดงชั้นดี ที่ดึงดูดสายตาเจ้าหญิงตาหวาน เมื่อนางเห็นน้ำสีแดงในแก้วใสๆ ลำคอเริ่มแห้งเผือด อยากจะลิ้มลองว่ารสชาติจะหวานเช่นเดียวกับเลือดในกายที่เคยได้ดื่มกินมาหรือไม่
ตั้งแต่ออกจากป่ามาเธอก็เสวยพระกระยาหารไม่ค่อยดี อาจจะด้วยจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งยังเป็นเจ้าเห็บน้อย อาหารที่เสวยเลยยังไม่ใช่รสชาติที่พึงประสงค์
เธอเดินไปหยิบแก้วไวน์ แล้วเดินออกมาจากห้องโถงงานเลี้ยงของพระราชวังแวะขวา ออกมายังข้างนอกงานเลี้ยงเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติของวังนี้ด้วย เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว เมื่อน้ำสีแดงได้แตะสัมผัสถูกปลายลิ้น
แต่... รสชาติที่ลิ้มลองมันไม่ใช่เลือดดั่งที่เธอปรารถนา
"พรืด.."
เธอพ่นน้ำสีแดงออกมาทันทีอย่างรวดเร็ว จนทำให้ริมฝีปากบางเลอะเทอะด้วยน้ำสีแดง
เจ้าชายหันขวาได้เดินตามเจ้าหญิงออกมา และเห็นท่าทางเจ้าหญิงอันเป็นที่รักไม่สู้ดี รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวบาง มาซับหยดน้ำสีแดงที่เลอะรอบริมฝีปากบางอย่างเบามือ
เมื่อสัมผัสจากชายหนุ่มรูปงาม ที่ค่อยๆ ซับน้ำสีแดงอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งคู่ที่สบตากัน เจ้าหญิงตาหวานอยู่อาการตะลึงกับสัมผัสนั้น แต่เจ้าชายรูปงามที่จ้องริมฝีปากบาง ก็เกิดอาการร้อนรุ่มในกาย ลำคอเริ่มแห้ง อยากจะสัมผัสลิ้มลองรสจากริมฝีปากบางนั้น ว่าจะมีรสชาติหวานเช่นไร
เจ้าชายค่อยๆ โน้มใบหน้าอันหล่อเหลาลงมา แล้วใช้ริมฝีปากประทับบนริมฝีปากบางอย่างนุ่มนวล ค่อยๆ ชิมรสหวานจากปากนุ่มอย่างช้าๆ
องค์หญิงตาหวานอยู่ในอาการตะลึงกับสัมผัสที่ได้รับจากพระคู่หมั้น ร่างกายก็ยังคงยืนแข็งทื่อ มือทั้งสองข้างเริ่มเย็นเฉียบ
ด้วยร่างกายครึ่งหนึ่งยังมีความเป็นมนุษย์ สัมผัสอันอ่อนนุ่มทำให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มตาม และอีกครึ่งหนึ่งคือวิญญาณเจ้าเห็บน้อย ด้วยกลิ่นกายของมนุษย์ที่ได้สัมผัส ทำให้เจ้าหญิงตาหวานได้กัดยังริมฝีปากเจ้าชายอย่างแรง หวังจะดูดกินเลือดในกายชายหนุ่ม
"โอ๊ย!!"
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น ร่างทั้งสองก็ผละออกจากกัน
"น้องหญิงทรงกัดพี่ทำไมเพคะ"
เจ้าชายหันขวาร้องถามหญิงสาวอันเป็นที่รักทันที นิ้วมือเรียวยาวก็ลูบสัมผัสริมฝีปากตน ที่มีเลือดไหลออกมา
"หญิง... หญิง"
"หญิงขออภัยองค์ชายเพคะ เมื่อกี้หญิงตกใจ"
เจ้าชายหันขวารู้สึกผิดกับความมักง่ายของตนเอง จึงรีบขอโทษขอโพยกับเจ้าหญิงตาหวานทันที
"มันไม่ใช่ความผิดของน้องหญิงหรอกเพคะ ตัวพี่เองที่เป็นฝ่ายผิด พี่ต้องข้ออภัยน้องหญิง ที่เมื่อกี้พี่ได้ล่วงเกินน้องหญิงไป"
เจ้าหญิงตาหวานได้แต่เพียงพยักหน้า และไม่พูดอันใดต่อไป
เจ้าชายหันขวาก็ได้เอาผ้าเช็ดหน้าผืนที่ซับริมปากเจ้าหญิงมาซับเลือดจากริมฝีปากตนแทน
"น้องหญิงเพคะ"
เจ้าชายได้เรียกเจ้าหญิง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะเดินจากไป อันที่จริงเจ้าชายดูพฤติกรรมของเจ้าหญิงตาหวานออกว่าเปลี่ยนไป หลังเสด็จกลับมาจากการประพาสป่ากับเจ้าชายใหญ่ครั้งนั้น
"เดือนหน้าพี่จะเสร็จประพาสป่ากับท่านพี่ชายใหญ่ น้องหญิงอยากตามไปด้วยไหมเพคะ"
เจ้าหญิงเงียบสักพัก แล้วก็ยิ้ม ก่อนตอบ
"พระองค์ทรงอยากให้หม่อมฉันเสด็จด้วยไหมเพคะ แต่พี่ชายใหญ่คงไม่อนุญาต"
เจ้าชายหันขวายิ้มและพูด
"เดี๋ยวพี่จะทูลขอกับท่านพี่ชายใหญ่เอง"
หญิงสาวพยักหน้า และเดินเข้าไปยังห้องโถงของงานเลี้ยงในพระราชวังพร้อมกับเจ้าชาย
****************************
ณ ผืนป่าใหญ่
หลังจากที่ร่างกายเจ้าหญิงตาหวานถูกผู้อื่นครอบครองไป วิญญาณของเจ้าหญิงก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ ต้นไม้ใหญ่ ที่มีท่านเทพารักษ์สิงสถิตอยู่ และท่านเทพารักษ์ก็รับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจของเจ้าหญิงตาหวาน เธอเป็นผู้มีบุญญาธิการ แต่ด้วยคำสาปที่มีมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากโชคชะตาได้
ท่านเทพารักษ์ได้ปรากฏกายต่อหน้าเจ้าหญิงตาหวาน และกล่าว
"หากเจ้ายังเดินวนเวียนอยู่เช่นนี้ มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้"
เจ้าหญิงได้หันไปมองยังท่านเทพารักษ์นางนั่งลงและก้มลงกราบ เพราะรับรู้ว่าท่านเทพารักษ์เป็นผู้ใด
"ข้าหมดปัญญา ข้าไม่รู้จักทำเช่นไรดี"
ท่านเทพารักษ์พยักหน้าเข้าใจ และพูดออกไป
"เมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะคลี่คลายเอง"
"ตัวข้าเองเป็นเทพที่ปกปักรักษาผืนป่าใหญ่แห่งนี้ สามารถช่วยชีวิตหนึ่งได้ แค่ให้สมปรารถนาดั่งพรหนึ่งประการ ต่อหนึ่งชีวิตที่ได้ร้องขอ"
"ตัวเจ้ามีความปรารถนาที่จะขอพรหนึ่งประการจากข้าหรือไม่"
เจ้าหญิงตาหวานยืนนิ่งใช้ความคิดสักพักแล้วพยักหน้า
"ข้ามีความปรารถนาที่จะได้รับพรนั้น"
ท่านเทพารักษ์ก็ถามกลับมา
"เจ้าต้องการอะไร"
เจ้าหญิงตาหวานตอบด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
"ข้าอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวของข้า"
ท่านเทพารักษ์พยักหน้าเข้าใจสิ่งที่นางร้องขอ นั่นคือการขอกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง แต่ด้วยเจ้าหญิงตาหวานเคยต้องคำสาปจากแม่มดร้ายเมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์
หากเลือดในกายเจ้าหลั่งไหล จักสิ้นชีพไปนิจนิรันดร์
ท่านเทพารักษ์จึงพูดออกไปว่า
"ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนากับพรหนึ่งประการนั้น หากแต่เจ้าต้องล้างคำสาปนั้นด้วยตนเอง"
"เจ้าจักต้องบำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิอยู่ในผืนป่าแห่งนี้เป็นเวลา 100 วัน เมื่อถึงวันนั้นทุกอย่างจะคลี่คลายเอง"
ท่านเทพารักษ์ก็ใช้นิ้วชี้ลงไปยังใบหน้าเจ้าหญิงตาหวาน ลำแสงสีทองก็เลื่อนผ่านจากปลายนิ้วไปยังร่างกายหญิงสาว หญิงสาวมีอาการสั่นสะท้านสักพัก จากนั้นร่างกายก็หยุดนิ่ง
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ร่างท่านเทพารักษ์ก็ค่อยๆ จางหายไป
เจ้าหญิงตาหวานก็บำเพ็ญเพียรนั่งสมาธิยังใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อรอคอยให้ครบกำหนดเวลา 100 วัน
****************************
วันเสด็จประพาสป่า
ทุกคนออกเดินทางอย่างพร้อมเพรียงกัน หากแต่รอบนี้เวลาเจ้าหญิงตาหวานเสด็จไปทางไหน จะมีเหล่านางสนมกำนันติดตามด้วยตลอด
เช้าวันใหม่
หลังจากค้างแรมมาแล้วหนึ่งคืน เจ้าชายหันขวา และเจ้าหญิงตาหวาน ก็จูงมือกันเดินเข้าไปยังผืนป่าใหญ่ โดยมีเหล่าทหาร และนางกำนันเดินตามอยู่ห่างๆ
"น้องหญิงเพคะ"
เจ้าหญิงเอียงใบหน้างามมาทางเจ้าชายรูปหล่อ ทำหน้าสงสัยที่เจ้าชายเรียก
"เพคะองค์ชาย"
"คราก่อนน้องหญิงตามเสด็จกับท่านพี่ชายใหญ่ น้องหญิงได้เดินหลงป่าใช่ไหมเพคะ"
ชายหนุ่มถามไถ่ด้วยความสงสัย เพราะอยากรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ทำไมหญิงอันเป็นที่รักถึงดูไม่ร่าเริง และเงียบๆ พูดน้อยลงจากเดิมมาก
เจ้าหญิงก้มหน้าลงและถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่บางเบา
"หญิงจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ค่อยจะได้เพคะ หญิงรู้แค่ว่าหญิงนอนพักอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่แค่นั้นเองเพคะ"
เจ้าเห็บน้อยในร่างเจ้าหญิงงามจะตอบได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อเธอยังไม่รู้ว่าเหตุอันใดเจ้าหญิงตาหวานถึงเข้ามาอยู่ในผืนป่าแห่งนี้คนเดียว เธอจำได้แค่เห็นเจ้าหญิงเดินเข้ามา แล้วก็นอนพักใต้ต้นไม้แค่นั้นเอง
"น้องหญิงจำเหตุการณ์ไม่ได้เลยหรือเพคะ น่าแปลกจริงๆ"
เจ้าชายยังคงสงสัยว่าทำไม หญิงสาวถึงตอบไม่ได้ว่าตนเล่นซ่อนแอบกับเหล่านางกำนัน และได้ใช้เล่ห์กลอุบาย โยนก้อนหิน เพื่อหนีเหล่าทหารออกมาจากจุดประทับพักแรม ซึ่งเจ้าชายทราบเรื่องราวทั้งหมดจากเหล่าทหารและนางกำนัน เพียงแต่อยากรู้เหตุการณ์ต่อจากนั้น จากปากเจ้าหญิงเองว่าเกิดอะไรขึ้น
จากการถามไถ่ยิ่งทำให้สงสัยในตัวเจ้าหญิงเพิ่มขึ้น
เจ้าเห็บน้อยในร่างเจ้าหญิงยืนนิ่ง เธอไม่รู้จะตอบอย่างไรต่อไป เธอแปลกใจตั้งแต่ทำไมเจ้าชายพาเธอเดินเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้อีกครั้ง ทั้งที่เธอปฏิเสธ แต่เจ้าชายก็หายินยอมไม่
****************************
ต้องขออภัยที่มาแต่งต่อล่าช้านะคะ เริ่มแต่งต่อเมื่อวานนี้เองค่ะ หากผิดพลาดประการใด น้อมรับฟังทุกคำชี้แนะค่ะ
ขอบคุณค่ะ