12
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าทหารเตรียมตัวยกทัพกลับพระนครเพื่อรอปรึกษาการรบต่อกับทัพหลวง เสบียง ช้าง ม้า ที่ยึดมาได้ก็ถูกนำมาลำเลียงอย่างเป็น
ระเบียบรอการเคลื่อนย้าย เหล่าเชลยศึกถูกมัดมือไว้มีทั้งเด็กมีทั้งคนแก่ พิมพ์มาดามองภาพนั้นอย่างด้วยความหดหู่ใจ คงจะดีมากหากเราจะ
เป็นผู้ชนะโดยที่ไม่ต้องมีการรบ ชนะโดยที่ไม่ต้องแลกมากับการเสียเลือดเนื้อของผู้คนมากมาย หญิงสาวเบือนหน้าหนีภาพเหล่านั้นแล้วเดิน
ไปจัดเก็บสัมภาระสำหรับเดินทางไกล เธอมัวแต่ง่วนกับการเก็บของและมองหาขุนรามเดชะที่หายไปตั้งแต่เธอตื่นจึงทำให้ไม่ได้สังเกตว่าผู้คน
รอบกายเธอก็พากันหมอบลงดินให้กับชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งเดินมากับผู้ติดตามสองคน
“ข้าได้ยินว่าศึกครานี้ มีหญิงมาร่วมทัพด้วย ข้าใคร่จักเห็นหน้านางนัก”
พิมพ์มาดานิ่วหน้าคิ้วขมวดเล็กน้อย เสียงห้าวหาญที่เคยได้ยินนั้นแสนจะคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เธอจึงวางมือจากการจัดของ
และหันไปหาที่มาของเสียง แต่เมื่อได้เห็นที่มาของเสียงนั้นก็ทำเอาพิมพ์มาดาถึงกับเข่าอ่อนทำอะไรไม่ถูก
“คือ ข้า เอ้ย กระหม่อมขอถวายบังคมเพคะ” คนเข่าอ่อนถึงกับปากสั่นมือสั่นทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งก้มหน้าพับเพียบลงกับพื้น
“เงยหน้าขึ้นเถิด”
หญิงสาวที่ตัวสั่นเป็นลูกนกจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นใน วันนี้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทรงพระภูษาสีชาด พระพักตร์ของพระองค์ทรง
พระแจ่มใสเปี่ยมไปด้วยความเมตตา พระมัสสุโค้งงามดูน่าเกรงขามแต่ยามพระองค์แย้มพระสรวลก็เผยให้เห็นอีกด้านที่อ่อนโยนของนักรบผู้ลือ
ชื่อ
“เจ้าชื่ออะไรฤา”
“ชื่อพิมเพคะ”
“แม่พิมแม้เป็นหญิง แต่หาญรบเยี่ยงชาย เจ้าพร้อมไปด้วยรูปแลใจที่น่านับถือนัก”
พิมพ์มาดานั่งนิ่งแต่ใจใจนั้นปลื้มปิติเป็นล้นพ้น เธอมองตามสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่ทรงเดินไปทักทายเหล่าทหารอย่างเป็น
กันเอง ทรงถามไถ่ถึงอาการของเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และให้หมอนำยามารักษาอย่างเร่งด่วน พอเห็นภาพเช่นนี้หญิงสาวจึงไม่แปลกใจ
เลยที่เหล่าทหารที่มารบในที่นี้ต่างมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีความกลมเกลียว มีขวัญกำลังใจในการรบ เพราะมีจอมทัพที่เป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว
และห้าวหาญผู้นี้นั่นเอง
พอเหล่าทหารเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันเดินทัพด้วยเท้ากลับทันที ในที่สุดคนที่พิมพ์มาดามองหาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบอกไม้
ไผ่ในมือ
“แม่พิม เจ้าจงเก็บเสบียงนี่ไว้”
พิมพ์มาดายิ้มกว้างแทนขำขอบคุณก่อนจะขึ้นม้าเคียงข้างไปกับขุนรามเดชะ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและสภาพภูมิศาสตร์ที่ทุรกันดารทำเอา
หญิงสาวถึงกับเหงื่อตก เธอหยิบชายผ้าคาดเอวมาเช็ดเหงื่อ แต่ว่าสิ่งที่หยิบติดมือมาด้วยกลับเป็นผ้ายันต์อุณาโลม เธอพิจารณาอย่างพินิจอยู่
ครู่หนึ่ง
หรือจะเป็นสิ่งนี้ที่ทำให้เธออยู่รอดปลอดภัยมาได้ แม้กระทั่งลูกปืนก็ยังไม่ระคายผิว ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ
“นี่ขุนรามเจ้าคะ ข้าคืนให้ท่าน”
“เจ้าเก็บไว้เถิด มันจักปกป้องเจ้า”
“ไม่เป็นไร ข้ามีคนปกป้องแล้วเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดกัน” คราวนี้ผู้ชายตาหวานถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ก็ท่านน่ะสิ จะเป็นใครไปได้ล่ะเจ้าคะ” พิมพ์มาดายิ้มยียวน
“ยามรบยามศึก เจ้ายังมีแก่ใจพูดเล่นเสียนี่”
แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนตำหนิแต่คนพูดก็ยังมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า
“ท่านจะรับดีๆ หรือให้ข้าต้องใช้กำลังดีเจ้าคะ”
“ใยข้าต้องกลัวกับคำพูดเจ้าด้วยเล่า”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเกี่ยงกันเรื่องผ้ายันต์ อยู่ดีๆเหล่าทหารที่เดินอยู่กองหน้าก็หยุดเดินกระทันหันพลอยทำให้ทหารที่อยู่กองกลางและกองหลัง
หยุดชะงักไปด้วย ไม่นานนักก็มีม้าเร็ววิ่งไปรายงานสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทว่ามีกองทัพที่สองของพม่าผ่านเข้ามาทางด่าน
บ้องตี้มาตั้งค่ายอยู่ที่นอกเขางูซึ่งเป็นทางผ่านของไทยพอดี ฝ่ายพม่ากำลังพลประเกือบหมื่นมาตั้งรอทัพจากทางด่านเจดีย์สามองค์โดยที่ไม่รู้เลยว่าทัพใหญ่นั้นแตกพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
กรุงเทพนิรมิตร ตอนที่ 12
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่าทหารเตรียมตัวยกทัพกลับพระนครเพื่อรอปรึกษาการรบต่อกับทัพหลวง เสบียง ช้าง ม้า ที่ยึดมาได้ก็ถูกนำมาลำเลียงอย่างเป็น
ระเบียบรอการเคลื่อนย้าย เหล่าเชลยศึกถูกมัดมือไว้มีทั้งเด็กมีทั้งคนแก่ พิมพ์มาดามองภาพนั้นอย่างด้วยความหดหู่ใจ คงจะดีมากหากเราจะ
เป็นผู้ชนะโดยที่ไม่ต้องมีการรบ ชนะโดยที่ไม่ต้องแลกมากับการเสียเลือดเนื้อของผู้คนมากมาย หญิงสาวเบือนหน้าหนีภาพเหล่านั้นแล้วเดิน
ไปจัดเก็บสัมภาระสำหรับเดินทางไกล เธอมัวแต่ง่วนกับการเก็บของและมองหาขุนรามเดชะที่หายไปตั้งแต่เธอตื่นจึงทำให้ไม่ได้สังเกตว่าผู้คน
รอบกายเธอก็พากันหมอบลงดินให้กับชายผู้สูงศักดิ์ซึ่งเดินมากับผู้ติดตามสองคน
“ข้าได้ยินว่าศึกครานี้ มีหญิงมาร่วมทัพด้วย ข้าใคร่จักเห็นหน้านางนัก”
พิมพ์มาดานิ่วหน้าคิ้วขมวดเล็กน้อย เสียงห้าวหาญที่เคยได้ยินนั้นแสนจะคุ้นเคยแต่นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร เธอจึงวางมือจากการจัดของ
และหันไปหาที่มาของเสียง แต่เมื่อได้เห็นที่มาของเสียงนั้นก็ทำเอาพิมพ์มาดาถึงกับเข่าอ่อนทำอะไรไม่ถูก
“คือ ข้า เอ้ย กระหม่อมขอถวายบังคมเพคะ” คนเข่าอ่อนถึงกับปากสั่นมือสั่นทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งก้มหน้าพับเพียบลงกับพื้น
“เงยหน้าขึ้นเถิด”
หญิงสาวที่ตัวสั่นเป็นลูกนกจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นใน วันนี้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทรงพระภูษาสีชาด พระพักตร์ของพระองค์ทรง
พระแจ่มใสเปี่ยมไปด้วยความเมตตา พระมัสสุโค้งงามดูน่าเกรงขามแต่ยามพระองค์แย้มพระสรวลก็เผยให้เห็นอีกด้านที่อ่อนโยนของนักรบผู้ลือ
ชื่อ
“เจ้าชื่ออะไรฤา”
“ชื่อพิมเพคะ”
“แม่พิมแม้เป็นหญิง แต่หาญรบเยี่ยงชาย เจ้าพร้อมไปด้วยรูปแลใจที่น่านับถือนัก”
พิมพ์มาดานั่งนิ่งแต่ใจใจนั้นปลื้มปิติเป็นล้นพ้น เธอมองตามสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่ทรงเดินไปทักทายเหล่าทหารอย่างเป็น
กันเอง ทรงถามไถ่ถึงอาการของเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และให้หมอนำยามารักษาอย่างเร่งด่วน พอเห็นภาพเช่นนี้หญิงสาวจึงไม่แปลกใจ
เลยที่เหล่าทหารที่มารบในที่นี้ต่างมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว มีความกลมเกลียว มีขวัญกำลังใจในการรบ เพราะมีจอมทัพที่เป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว
และห้าวหาญผู้นี้นั่นเอง
พอเหล่าทหารเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันเดินทัพด้วยเท้ากลับทันที ในที่สุดคนที่พิมพ์มาดามองหาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบอกไม้
ไผ่ในมือ
“แม่พิม เจ้าจงเก็บเสบียงนี่ไว้”
พิมพ์มาดายิ้มกว้างแทนขำขอบคุณก่อนจะขึ้นม้าเคียงข้างไปกับขุนรามเดชะ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและสภาพภูมิศาสตร์ที่ทุรกันดารทำเอา
หญิงสาวถึงกับเหงื่อตก เธอหยิบชายผ้าคาดเอวมาเช็ดเหงื่อ แต่ว่าสิ่งที่หยิบติดมือมาด้วยกลับเป็นผ้ายันต์อุณาโลม เธอพิจารณาอย่างพินิจอยู่
ครู่หนึ่ง
หรือจะเป็นสิ่งนี้ที่ทำให้เธออยู่รอดปลอดภัยมาได้ แม้กระทั่งลูกปืนก็ยังไม่ระคายผิว ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ
“นี่ขุนรามเจ้าคะ ข้าคืนให้ท่าน”
“เจ้าเก็บไว้เถิด มันจักปกป้องเจ้า”
“ไม่เป็นไร ข้ามีคนปกป้องแล้วเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดกัน” คราวนี้ผู้ชายตาหวานถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ก็ท่านน่ะสิ จะเป็นใครไปได้ล่ะเจ้าคะ” พิมพ์มาดายิ้มยียวน
“ยามรบยามศึก เจ้ายังมีแก่ใจพูดเล่นเสียนี่”
แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนตำหนิแต่คนพูดก็ยังมีรอยยิ้มเปื้อนหน้า
“ท่านจะรับดีๆ หรือให้ข้าต้องใช้กำลังดีเจ้าคะ”
“ใยข้าต้องกลัวกับคำพูดเจ้าด้วยเล่า”
ขณะที่ทั้งสองกำลังเกี่ยงกันเรื่องผ้ายันต์ อยู่ดีๆเหล่าทหารที่เดินอยู่กองหน้าก็หยุดเดินกระทันหันพลอยทำให้ทหารที่อยู่กองกลางและกองหลัง
หยุดชะงักไปด้วย ไม่นานนักก็มีม้าเร็ววิ่งไปรายงานสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทว่ามีกองทัพที่สองของพม่าผ่านเข้ามาทางด่าน
บ้องตี้มาตั้งค่ายอยู่ที่นอกเขางูซึ่งเป็นทางผ่านของไทยพอดี ฝ่ายพม่ากำลังพลประเกือบหมื่นมาตั้งรอทัพจากทางด่านเจดีย์สามองค์โดยที่ไม่รู้เลยว่าทัพใหญ่นั้นแตกพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว