นิยายรักอิงประวัติศาสตร์สมัยยุคสมัยเชียงใหม่ฟื้นม่าน ในสมัยพระเจ้ากาวิละ หรือที่เรียกว่า“ยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง”
"ด้วยกำลังไพร่พลเพียงหยิบมือจำต้องล้มลุกคลุกคลานมากว่าสิบปีจนได้มีเช่นวันนี้ จากบ้านป่าเมืองร้าง ผู้คนแตกสาแหรกไปทางใต้บ้างเหนือบ้าง แต่วันนี้ล้านนา 57 หัวเมืองได้กลับมายืนหยัดเข้มแข็งขึ้นได้อีกครั้ง ต่อให้ต้องเสียสละมากกว่านี้"ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์จักทำให้ล้านนากลับมารุ่งเรืองดังครั้ง สมัยพญามังรายให้จงได้"
บทนำ
พ.ศ. 2345 เมืองเถิน
“ศึกเมืองเชียงใหม่ครานี้ เห็นทีตัวข้าจักไปไม่ได้เสียแล้ว เจ้าจงขึ้นไปแทนเถิด พระแสงดาบอาญาสิทธิ์นี่จะเป็นดาบแทนตัวข้า ผู้ที่ถือดาบนี้จะมีอำนาจเด็ดขาดในทุกเรื่อง เจ้าจงรับไว้เถิด เมื่อไปถึงที่มั่น จงเร่งเข้าตีพม่าเอาเมืองเชียงใหม่คืนให้จงได้” ชายสูงศักดิ์ที่อยู่บนพระบรรทมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ขอพระองค์ทรงพักเถิด อย่าได้เป็นห่วงในเรื่องการศึกอีกเลย” กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกพระองค์ท่านว่าวังหลังทรงปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ในพระหทัยนั้นเต็มไปด้วยความความเศร้าโศกด้วยเหตุที่ทรงเห็นบุรุษเบื้องหน้าของพระองค์คือสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงประชวรหนักจนมีพระวรกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
“การนี้อย่ามัวแต่ห่วงข้าเลย เรื่องบ้านเมืองนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด อย่าให้คนอื่นเขาพูดได้ว่าห่วงเรื่องส่วนตัวมากกว่าการแผ่นดิน หากพม่ามันได้เมืองเชียงใหม่ได้จะเป็นผลเสียกับฝั่งเรา แม้ทางเหนือจะมีพระเจ้ากาวิละคอยตั้งท่าไว้อยู่ แต่ด้วยกำลังพลมีไม่มากนักด้วยเพิ่งตั้งเมืองมาไม่นาน เจ้าจงเร่งไปเสริมทัพเถิด หากช้าไปจักไม่ทันการ” สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทมีพระบัณฑูรอย่างแน่วแน่
พอได้ยินวังหน้าตรัสเยี่ยงนี้แล้ว วังหลังแม่ทัพใหญ่เกรียงไกรผู้ที่ร่วมศึกร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับตั้งแต่สมัยครั้นกรุงธนบุรีก็ทรงก็ทรงพระกันแสงที่เห็นถึงความเสียสละต่อแผ่นดินของมหาบุรุษผู้นี้ แม้จะประชวรเจ็บหนักเพียงนี้พระองค์ก็ยังคิดวางแผนการรบไว้ให้อย่างถี่ถ้วน
“ตัวข้าเจ็บไข้ยังไม่เป็นไรดอก ข้าจักเอาชีวิตไว้รอเจ้ามีชัยชำนะกลับมา เจ้าเร่งขึ้นไปเถิด”
“ข้าพระองค์จักเร่งตีพม่าแตกและนำชัยชำนะกลับมาให้จงได้ ขอพระองค์ท่านทรงพักผ่อนพระวรกายอยู่ที่เมืองเถินก่อนเถิด” กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขจึงทูลลาสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจากเมืองเถิน แล้วรีบขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทันที
เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จถึงกองทัพไทยที่ล้อมกองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่อยู่ ทรงทราบสถานการณ์ว่า กองทัพพม่าอยู่ในสภาพอ่อนล้ามากเพราะถูกล้อมมาเป็นเวลานาน เสบียงก็เริ่มขาดแคลนจึงทรงสั่งการให้เข้าตีในวันรุ่งขึ้น
“บัดนี้ทหารพม่ามันอ่อนแรงแล้ว เห็นเป็นเวลาสมควรที่เราจักเข้าตีเมือง ในวันพรุ่งเราจักเข้าไปกินข้าวเช้าในเมืองเชียงใหม่กัน สยาม ล้านนา เราต่างเป็นพี่น้องกัน ศึกหนนี้พวกเราจักขับไล่พม่าให้ออกจากผืนดินนี้ให้จงได้”
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเมื่อฟ้าพลันสว่าง กองทัพวังหน้าก็ตีเข้าค่ายพม่าบุกชิงเมืองเชียงใหม่กลับมาได้ดังเดิม ฝ่ายพม่านั้นแตกพ่ายหนีไปจนหมด เมื่อจัดการกับกองทัพพม่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรมพระราชวังหลัง พระเจ้ากาวิละและเจ้านายที่ตามเสด็จได้เข้าเฝ้าสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่เมืองเถินกราบทูลการพระราชสงคราม
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงขัดเคืองกองทัพวังหลวงที่นำโดยเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราชรวมถึงทัพเมืองเวียงจันทน์ที่ทำการย่อหย่อนมาไม่ทันการรบที่เมืองเชียงใหม่ จึงมีพระบัณฑูรให้ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราชนำกองทัพวังหลวงไปตีพม่าที่เชียงแสนร่วมกับกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตของเจ้าอนุวงศ์ทันที
เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๓๔๖ กรุงเทพมหานคร
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ พระอาการกำเริบหนัก เสด็จสวรรคตในเดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำปีกุน พ.ศ.๒๓๔๖ ณ พระที่นั่งบูรพาภิมุข ในวังหน้าพระชนมายุ ๖๐ พรรษา
เดือน ๕ พ.ศ. ๒๓๔๗ ปีชวด เชียงแสน
ทัพของสยามนำโดยเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราช กองทัพเวียงจันทร์ รวมถึงกองทัพล้านนาสามเมือง คือ เชียงใหม่ ลำปาง น่าน ได้ยกทัพจากเมืองเชียงใหม่ไปล้อมยังเมืองเชียงแสนเพื่อขับไล่พม่าที่ยึดเชียงแสนเป็นที่มั่น
“อ้ายเสือ เอ็งว่าฝั่งพม่ามันจะกบดานอยู่ในเมืองเชียงแสนไปอีกนานเท่าใดฤา”
“จะอีกนานเท่าใดเชียว เดือนหน้าก็หน้าน้ำแล้ว ไม่นานพวกมันคงหมดเสบียงเป็นแน่” เสือในวัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มพูดอย่างมั่นใจ
“อย่าเพิ่งมั่นใจไปเถิด อ้ายเสือ เมืองเชียงแสนมีหอคูประตูรบที่แข็งแกร่ง อีกทั้งชัยภูมิอยู่ในที่สูง คงยากที่เราจะตีเมืองได้” สหายรบในวัยใกล้เคียงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของคู่สนทนาเท่าไรนัก
“อ้ายอิน เจ้ารู้ฤาไม่ ข้าไม่เคยห่วงในเรื่องเยี่ยงนั้นเลย ไม่มีข้าศึกใดจักแข็งแกร่งเกินกว่าใจของเจ้าเอง เมื่อใดที่เจ้าชนะตัวเองได้ เมื่อนั้นศัตรูจักไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้” เสือเป็นลูกของ พระรามเดชะทหารวังหน้าผู้กล้าหาญ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกศึกตามพ่อมา เขาจะต้องไม่ทำให้พ่อผิดหวัง
“ข้านับถือน้ำใจเจ้าจริงเชียว จริงๆแล้วเจ้าจักกลับไปกรุงเทพพร้อมกับพ่อแลทหารวังหน้าก็ได้ แต่เจ้ากลับอาสามาร่วมขับไล่พม่าที่เมืองเชียงแสน” อินพูดอย่างจริงใจ
“นั่นคือพระประสงค์ของวังหน้าก่อนสวรรคต พระองค์ท่านเห็นว่าเมืองเชียงแสนเป็นเมืองสำคัญ เชียงแสนเป็นที่ตั้งมั่นของพม่าเพื่อทำสงครามกับเมืองใกล้เคียง หากเราตีเชียงแสนได้ พม่าก็ยากจะกลับเข้ามารุกรานดินแดนล้านนา” เสือพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“จักหาแม่ทัพใดที่เก่งกล้าและทุ่มเทเพื่อการศึกได้เท่าวังหน้าพระยาเสืออีก เจ้ารู้ใช่ไหมศึกหนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่มาด้วยเพราะถูกปรับโทษ จักมีน้ำใจสู้เหมือนครั้นวังหน้าฤาวังหลังนำทัพเองก็หาไม่”
“อ้ายอิน เงียบเสีย หากใครได้ยินจักเป็นอาญาทัพได้” เสือรีบปรามเพื่อน
“ข้าว่าเห็นทีครานี้ ไม่นานคงได้ถอยทัพกลับเป็นแน่” อินยังไม่หยุดพูด
“ข้ามิฟังความเจ้าแล้ว เวลานี้ข้ามิมีจิตใจจักต่อขานผู้ใด เร่งทำหน้าที่ของตัวเองจักดีกว่า” เสือพูดจบก็ปีนขึ้นต้นไม้ทำหน้าที่คอยสอดส่องดูพม่าที่แอบอยู่บนป้อมรบกำแพงสูงอย่างใจจดใจจ่อ ในมือเขาถือคันธนูคอยพิฆาตศัตรูและอาศัยร่มไม้คอยกำบังตัวเองจากสายตาผู้อื่น เกือบเดือนมานี้เขาสามารถยิงข้าศึกได้หลายคนทีเดียว นิ้วเรียวยาวหยิบลูกธนูอย่างใจเย็น สายตาคมกริบที่ถอดแบบมาจากบิดามองเป้านิ่งตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่
เสียงดีดสะบัดสายธนูเกิดเป็นบทเพลงไพเราะยิ่งกว่าเสียงนกการเวก เพียงชั่วกระพริบตาลูกธนูก็แล่นไปยังเป้าหมายอย่างแม่นยำเหมือนจับวาง จากหนึ่งกลายเป็นสิบ ไม่เคยมีเป้าใดที่จะพลาดจากมือของนายพรานหนุ่มน้อยคนนี้ไปได้ แม้เสือจะเริ่มฝึกยิงธนูมาได้ไม่กี่ปี แต่เขาก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่หลายวันที่ผ่านมานี้เขามองเห็นภาพของเหล่าทหารสยามที่ใบหน้ามีแต่ความท้อแท้ด้วยความหดหู่ใจ บ้างก็ป่วยเป็นไข้ป่า บ้างก็ผิดน้ำผิดอากาศจนป่วยไข้จนไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้รบกับใครได้ ไม่นับหยาดพิรุณที่เริ่มร่วงหล่นจากปุยเมฆ อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว หากกองทัพสยามไม่ทำอะไรในตอนนี้ ชัยภูมิที่ตั้งคงถูกน้ำป่าหลากจนต้องถอยทัพกลับไปตามคำอ้ายอินเป็นอันแน่
แต่เขาแค่คนเดียวจะพอมีปัญญาไปสู้อะไรกับทัพของพม่าได้
ท่ามกลางคืนวันที่เลื่อนลอย ในคืนหนึ่งขณะที่
ำลังทอดตัวยาวพักผ่อนอยู่บนต้นมะค่าโมงอันเป็นที่มั่นสำคัญในการลอบข่าวดูพวกพม่าที่อยู่บนกำแพงเมือง อินก็ส่งเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก
“อ้ายเสือหนีเร็ว ไอ้พวกพม่ามันคงรู้แล้วว่าพวกเราซ่อนตัวตรงนี้”
สิ้นเสียงเพื่อนร่วมรบ ธนูไฟนับร้อยก็แหวกอากาศพุ่งมาตรงบริเวณที่เขาอยู่ เสืออาศัยความไวรีบหลบหลีกและปีนลงต้นไม้ทันที เมื่อเท้าแตะพื้นเหล่าธนูก็ยังคงพุ่งมาไม่ต่างอะไรกับอุกาบาตในคืนเดือนมืด
“เกิดอะไรขึ้นวะ อ้ายอิน”
“หนีก่อนเถิด” อินที่วิ่งอยู่ด้านหน้าร้องบอกโดยไม่ลดฝีเท้า
“อ้ายอิน รีบดับคบไฟในมือเสีย”
คนวิ่งด้านหน้ารีบทำตาม เมื่อสิ้นแสงไฟก็มีเสียงปืนไล่ตามหลังมาติดๆ
“ข้าว่าเราไปหลบตรงซอกเหวนั้นน่าจักช่วยกำบังเราจากปืนได้” เมื่อทั้งสองตกลงกันได้ก็รีบวิ่งหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุนไปตรงซอกผาอย่างทุลักทุเล ในคืนเดือนดับเช่นนี้พวกเขาต้องใช้สัญชาติญาณแทนสายตา หากเหยียบพลาดเพียงก้าวเดียวก็อาจตกลงไปในหุบเหวแสนชันไปได้
“อ้ายอิน เอ็งจงเร่งไปเรียกคนมาช่วยเสีย”
“เหตุใด ไม่ไปด้วยกันเล่า”
“หากไปทั้งสองคน อาจมีคนสอดแนมจากพม่าตามพวกเรากลับไปยังค่ายได้ ข้ากลัวจักชักศึกเข้าบ้าน เอ็งรีบไปตามคนมาเถิด ข้าจักคอยดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนจึงจะตามเอ็งกลับไปค่ายได้”
“อ้ายเสือ ข้าปล่อยเอ็งไว้ตรงนี้มิได้” อินยังคงมีสีหน้าลำบากใจ
“ข้ามิมีทางเลือก ชักช้าจักไม่ทันการ” เสือพูดด้วยเสียงแน่วแน่
“แล้วข้าจักรีบกลับมา” อินพูดเบาๆแล้วตัดใจหันหลังวิ่งไปด้านหน้าแม้ในใจจะยังห่วงสหายรบอยู่ไม่น้อย
อินวิ่งออกมาไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงปืนพร้อมกับเสียงอุทานของเสือแว่วมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็ทันเห็นร่างสูงของเกลอรักลอยละลิ่วลงหุบเหวปลิดปลิวเหมือนใบไม้บาง อินตกใจจนแทบสิ้นสติ เขาเอามืดปิดปากตัวเองเพื่อระงับไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา ทุกๆอย่างเกิดขึ้นเร็วเสียจนอินทำอะไรไม่ถูก น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตา เท้าทั้งสองข้างยังวิ่งต่อไปข้างหน้าด้วยใจที่ไร้จุดหมาย
เสือรู้สึกเพียงลมแรงปะทะบริเวณไหล่ด้านซ้าย แต่ตอนนี้เขาแทบไม่รู้เจ็บอีกเลย เบื้องหน้าของเขามีแต่หมู่มวลดารานับล้านพร้อยพร่างพริบพราวดาษดาเกลื่อนฟ้า ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนเด็กแม่เคยสอนเขาดูดาวอยู่บ่อยๆ กลุ่มดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดที่จารึกชื่อความกตเวทิตาของพวกมันอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อเขาตายไปจะได้ไปสลักชื่อบนท้องฟ้าเช่นนั้นไหมนะ
หน้าบิดามารดาวูบขึ้นมาในมโนสุดท้าย พ่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเสมอ แม่เป็นผู้หญิงที่สวยและใจดีที่สุดเท่าที่เขาเจอ
ชาตินี้ลูกขออภัยที่ไม่ได้มีโอกาสรับใช้ดูแลพวกท่าน หากชาติหน้ามีจริงลูกจักขอเกิดมาทดแทนคุณของพวกท่าน
เสือปิดเปลือกตาลงเบาๆ เขารู้สึกเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น อิสระยิ่งกว่านกที่โบยบินบนเวหา ชายหนุ่มสิ้นสติก่อนที่ร่างจะได้สัมผัสกระแสน้ำเชี่ยว
นิยายรักอิงประวัติศาสตร์ รอยระมิงคื ตอนที่ 1
"ด้วยกำลังไพร่พลเพียงหยิบมือจำต้องล้มลุกคลุกคลานมากว่าสิบปีจนได้มีเช่นวันนี้ จากบ้านป่าเมืองร้าง ผู้คนแตกสาแหรกไปทางใต้บ้างเหนือบ้าง แต่วันนี้ล้านนา 57 หัวเมืองได้กลับมายืนหยัดเข้มแข็งขึ้นได้อีกครั้ง ต่อให้ต้องเสียสละมากกว่านี้"ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์จักทำให้ล้านนากลับมารุ่งเรืองดังครั้ง สมัยพญามังรายให้จงได้"
บทนำ
พ.ศ. 2345 เมืองเถิน
“ศึกเมืองเชียงใหม่ครานี้ เห็นทีตัวข้าจักไปไม่ได้เสียแล้ว เจ้าจงขึ้นไปแทนเถิด พระแสงดาบอาญาสิทธิ์นี่จะเป็นดาบแทนตัวข้า ผู้ที่ถือดาบนี้จะมีอำนาจเด็ดขาดในทุกเรื่อง เจ้าจงรับไว้เถิด เมื่อไปถึงที่มั่น จงเร่งเข้าตีพม่าเอาเมืองเชียงใหม่คืนให้จงได้” ชายสูงศักดิ์ที่อยู่บนพระบรรทมพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ขอพระองค์ทรงพักเถิด อย่าได้เป็นห่วงในเรื่องการศึกอีกเลย” กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกพระองค์ท่านว่าวังหลังทรงปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่ในพระหทัยนั้นเต็มไปด้วยความความเศร้าโศกด้วยเหตุที่ทรงเห็นบุรุษเบื้องหน้าของพระองค์คือสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงประชวรหนักจนมีพระวรกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
“การนี้อย่ามัวแต่ห่วงข้าเลย เรื่องบ้านเมืองนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด อย่าให้คนอื่นเขาพูดได้ว่าห่วงเรื่องส่วนตัวมากกว่าการแผ่นดิน หากพม่ามันได้เมืองเชียงใหม่ได้จะเป็นผลเสียกับฝั่งเรา แม้ทางเหนือจะมีพระเจ้ากาวิละคอยตั้งท่าไว้อยู่ แต่ด้วยกำลังพลมีไม่มากนักด้วยเพิ่งตั้งเมืองมาไม่นาน เจ้าจงเร่งไปเสริมทัพเถิด หากช้าไปจักไม่ทันการ” สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทมีพระบัณฑูรอย่างแน่วแน่
พอได้ยินวังหน้าตรัสเยี่ยงนี้แล้ว วังหลังแม่ทัพใหญ่เกรียงไกรผู้ที่ร่วมศึกร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับตั้งแต่สมัยครั้นกรุงธนบุรีก็ทรงก็ทรงพระกันแสงที่เห็นถึงความเสียสละต่อแผ่นดินของมหาบุรุษผู้นี้ แม้จะประชวรเจ็บหนักเพียงนี้พระองค์ก็ยังคิดวางแผนการรบไว้ให้อย่างถี่ถ้วน
“ตัวข้าเจ็บไข้ยังไม่เป็นไรดอก ข้าจักเอาชีวิตไว้รอเจ้ามีชัยชำนะกลับมา เจ้าเร่งขึ้นไปเถิด”
“ข้าพระองค์จักเร่งตีพม่าแตกและนำชัยชำนะกลับมาให้จงได้ ขอพระองค์ท่านทรงพักผ่อนพระวรกายอยู่ที่เมืองเถินก่อนเถิด” กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขจึงทูลลาสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจากเมืองเถิน แล้วรีบขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ทันที
เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จถึงกองทัพไทยที่ล้อมกองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่อยู่ ทรงทราบสถานการณ์ว่า กองทัพพม่าอยู่ในสภาพอ่อนล้ามากเพราะถูกล้อมมาเป็นเวลานาน เสบียงก็เริ่มขาดแคลนจึงทรงสั่งการให้เข้าตีในวันรุ่งขึ้น
“บัดนี้ทหารพม่ามันอ่อนแรงแล้ว เห็นเป็นเวลาสมควรที่เราจักเข้าตีเมือง ในวันพรุ่งเราจักเข้าไปกินข้าวเช้าในเมืองเชียงใหม่กัน สยาม ล้านนา เราต่างเป็นพี่น้องกัน ศึกหนนี้พวกเราจักขับไล่พม่าให้ออกจากผืนดินนี้ให้จงได้”
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเมื่อฟ้าพลันสว่าง กองทัพวังหน้าก็ตีเข้าค่ายพม่าบุกชิงเมืองเชียงใหม่กลับมาได้ดังเดิม ฝ่ายพม่านั้นแตกพ่ายหนีไปจนหมด เมื่อจัดการกับกองทัพพม่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กรมพระราชวังหลัง พระเจ้ากาวิละและเจ้านายที่ตามเสด็จได้เข้าเฝ้าสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่เมืองเถินกราบทูลการพระราชสงคราม
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงขัดเคืองกองทัพวังหลวงที่นำโดยเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราชรวมถึงทัพเมืองเวียงจันทน์ที่ทำการย่อหย่อนมาไม่ทันการรบที่เมืองเชียงใหม่ จึงมีพระบัณฑูรให้ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราชนำกองทัพวังหลวงไปตีพม่าที่เชียงแสนร่วมกับกองทัพกรุงศรีสัตนาคนหุตของเจ้าอนุวงศ์ทันที
เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ ปีกุน พ.ศ.๒๓๔๖ กรุงเทพมหานคร
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ พระอาการกำเริบหนัก เสด็จสวรรคตในเดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำปีกุน พ.ศ.๒๓๔๖ ณ พระที่นั่งบูรพาภิมุข ในวังหน้าพระชนมายุ ๖๐ พรรษา
เดือน ๕ พ.ศ. ๒๓๔๗ ปีชวด เชียงแสน
ทัพของสยามนำโดยเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราช กองทัพเวียงจันทร์ รวมถึงกองทัพล้านนาสามเมือง คือ เชียงใหม่ ลำปาง น่าน ได้ยกทัพจากเมืองเชียงใหม่ไปล้อมยังเมืองเชียงแสนเพื่อขับไล่พม่าที่ยึดเชียงแสนเป็นที่มั่น
“อ้ายเสือ เอ็งว่าฝั่งพม่ามันจะกบดานอยู่ในเมืองเชียงแสนไปอีกนานเท่าใดฤา”
“จะอีกนานเท่าใดเชียว เดือนหน้าก็หน้าน้ำแล้ว ไม่นานพวกมันคงหมดเสบียงเป็นแน่” เสือในวัยเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มพูดอย่างมั่นใจ
“อย่าเพิ่งมั่นใจไปเถิด อ้ายเสือ เมืองเชียงแสนมีหอคูประตูรบที่แข็งแกร่ง อีกทั้งชัยภูมิอยู่ในที่สูง คงยากที่เราจะตีเมืองได้” สหายรบในวัยใกล้เคียงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของคู่สนทนาเท่าไรนัก
“อ้ายอิน เจ้ารู้ฤาไม่ ข้าไม่เคยห่วงในเรื่องเยี่ยงนั้นเลย ไม่มีข้าศึกใดจักแข็งแกร่งเกินกว่าใจของเจ้าเอง เมื่อใดที่เจ้าชนะตัวเองได้ เมื่อนั้นศัตรูจักไม่มีทางทำอะไรเจ้าได้” เสือเป็นลูกของ พระรามเดชะทหารวังหน้าผู้กล้าหาญ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกศึกตามพ่อมา เขาจะต้องไม่ทำให้พ่อผิดหวัง
“ข้านับถือน้ำใจเจ้าจริงเชียว จริงๆแล้วเจ้าจักกลับไปกรุงเทพพร้อมกับพ่อแลทหารวังหน้าก็ได้ แต่เจ้ากลับอาสามาร่วมขับไล่พม่าที่เมืองเชียงแสน” อินพูดอย่างจริงใจ
“นั่นคือพระประสงค์ของวังหน้าก่อนสวรรคต พระองค์ท่านเห็นว่าเมืองเชียงแสนเป็นเมืองสำคัญ เชียงแสนเป็นที่ตั้งมั่นของพม่าเพื่อทำสงครามกับเมืองใกล้เคียง หากเราตีเชียงแสนได้ พม่าก็ยากจะกลับเข้ามารุกรานดินแดนล้านนา” เสือพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“จักหาแม่ทัพใดที่เก่งกล้าและทุ่มเทเพื่อการศึกได้เท่าวังหน้าพระยาเสืออีก เจ้ารู้ใช่ไหมศึกหนนี้ท่านแม่ทัพใหญ่มาด้วยเพราะถูกปรับโทษ จักมีน้ำใจสู้เหมือนครั้นวังหน้าฤาวังหลังนำทัพเองก็หาไม่”
“อ้ายอิน เงียบเสีย หากใครได้ยินจักเป็นอาญาทัพได้” เสือรีบปรามเพื่อน
“ข้าว่าเห็นทีครานี้ ไม่นานคงได้ถอยทัพกลับเป็นแน่” อินยังไม่หยุดพูด
“ข้ามิฟังความเจ้าแล้ว เวลานี้ข้ามิมีจิตใจจักต่อขานผู้ใด เร่งทำหน้าที่ของตัวเองจักดีกว่า” เสือพูดจบก็ปีนขึ้นต้นไม้ทำหน้าที่คอยสอดส่องดูพม่าที่แอบอยู่บนป้อมรบกำแพงสูงอย่างใจจดใจจ่อ ในมือเขาถือคันธนูคอยพิฆาตศัตรูและอาศัยร่มไม้คอยกำบังตัวเองจากสายตาผู้อื่น เกือบเดือนมานี้เขาสามารถยิงข้าศึกได้หลายคนทีเดียว นิ้วเรียวยาวหยิบลูกธนูอย่างใจเย็น สายตาคมกริบที่ถอดแบบมาจากบิดามองเป้านิ่งตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่
เสียงดีดสะบัดสายธนูเกิดเป็นบทเพลงไพเราะยิ่งกว่าเสียงนกการเวก เพียงชั่วกระพริบตาลูกธนูก็แล่นไปยังเป้าหมายอย่างแม่นยำเหมือนจับวาง จากหนึ่งกลายเป็นสิบ ไม่เคยมีเป้าใดที่จะพลาดจากมือของนายพรานหนุ่มน้อยคนนี้ไปได้ แม้เสือจะเริ่มฝึกยิงธนูมาได้ไม่กี่ปี แต่เขาก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่หลายวันที่ผ่านมานี้เขามองเห็นภาพของเหล่าทหารสยามที่ใบหน้ามีแต่ความท้อแท้ด้วยความหดหู่ใจ บ้างก็ป่วยเป็นไข้ป่า บ้างก็ผิดน้ำผิดอากาศจนป่วยไข้จนไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้รบกับใครได้ ไม่นับหยาดพิรุณที่เริ่มร่วงหล่นจากปุยเมฆ อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว หากกองทัพสยามไม่ทำอะไรในตอนนี้ ชัยภูมิที่ตั้งคงถูกน้ำป่าหลากจนต้องถอยทัพกลับไปตามคำอ้ายอินเป็นอันแน่
แต่เขาแค่คนเดียวจะพอมีปัญญาไปสู้อะไรกับทัพของพม่าได้
ท่ามกลางคืนวันที่เลื่อนลอย ในคืนหนึ่งขณะที่ำลังทอดตัวยาวพักผ่อนอยู่บนต้นมะค่าโมงอันเป็นที่มั่นสำคัญในการลอบข่าวดูพวกพม่าที่อยู่บนกำแพงเมือง อินก็ส่งเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก
“อ้ายเสือหนีเร็ว ไอ้พวกพม่ามันคงรู้แล้วว่าพวกเราซ่อนตัวตรงนี้”
สิ้นเสียงเพื่อนร่วมรบ ธนูไฟนับร้อยก็แหวกอากาศพุ่งมาตรงบริเวณที่เขาอยู่ เสืออาศัยความไวรีบหลบหลีกและปีนลงต้นไม้ทันที เมื่อเท้าแตะพื้นเหล่าธนูก็ยังคงพุ่งมาไม่ต่างอะไรกับอุกาบาตในคืนเดือนมืด
“เกิดอะไรขึ้นวะ อ้ายอิน”
“หนีก่อนเถิด” อินที่วิ่งอยู่ด้านหน้าร้องบอกโดยไม่ลดฝีเท้า
“อ้ายอิน รีบดับคบไฟในมือเสีย”
คนวิ่งด้านหน้ารีบทำตาม เมื่อสิ้นแสงไฟก็มีเสียงปืนไล่ตามหลังมาติดๆ
“ข้าว่าเราไปหลบตรงซอกเหวนั้นน่าจักช่วยกำบังเราจากปืนได้” เมื่อทั้งสองตกลงกันได้ก็รีบวิ่งหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุนไปตรงซอกผาอย่างทุลักทุเล ในคืนเดือนดับเช่นนี้พวกเขาต้องใช้สัญชาติญาณแทนสายตา หากเหยียบพลาดเพียงก้าวเดียวก็อาจตกลงไปในหุบเหวแสนชันไปได้
“อ้ายอิน เอ็งจงเร่งไปเรียกคนมาช่วยเสีย”
“เหตุใด ไม่ไปด้วยกันเล่า”
“หากไปทั้งสองคน อาจมีคนสอดแนมจากพม่าตามพวกเรากลับไปยังค่ายได้ ข้ากลัวจักชักศึกเข้าบ้าน เอ็งรีบไปตามคนมาเถิด ข้าจักคอยดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนจึงจะตามเอ็งกลับไปค่ายได้”
“อ้ายเสือ ข้าปล่อยเอ็งไว้ตรงนี้มิได้” อินยังคงมีสีหน้าลำบากใจ
“ข้ามิมีทางเลือก ชักช้าจักไม่ทันการ” เสือพูดด้วยเสียงแน่วแน่
“แล้วข้าจักรีบกลับมา” อินพูดเบาๆแล้วตัดใจหันหลังวิ่งไปด้านหน้าแม้ในใจจะยังห่วงสหายรบอยู่ไม่น้อย
อินวิ่งออกมาไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงปืนพร้อมกับเสียงอุทานของเสือแว่วมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็ทันเห็นร่างสูงของเกลอรักลอยละลิ่วลงหุบเหวปลิดปลิวเหมือนใบไม้บาง อินตกใจจนแทบสิ้นสติ เขาเอามืดปิดปากตัวเองเพื่อระงับไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา ทุกๆอย่างเกิดขึ้นเร็วเสียจนอินทำอะไรไม่ถูก น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมาจากดวงตา เท้าทั้งสองข้างยังวิ่งต่อไปข้างหน้าด้วยใจที่ไร้จุดหมาย
เสือรู้สึกเพียงลมแรงปะทะบริเวณไหล่ด้านซ้าย แต่ตอนนี้เขาแทบไม่รู้เจ็บอีกเลย เบื้องหน้าของเขามีแต่หมู่มวลดารานับล้านพร้อยพร่างพริบพราวดาษดาเกลื่อนฟ้า ชายหนุ่มจำได้ว่าตอนเด็กแม่เคยสอนเขาดูดาวอยู่บ่อยๆ กลุ่มดาวลูกไก่ทั้งเจ็ดที่จารึกชื่อความกตเวทิตาของพวกมันอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อเขาตายไปจะได้ไปสลักชื่อบนท้องฟ้าเช่นนั้นไหมนะ
หน้าบิดามารดาวูบขึ้นมาในมโนสุดท้าย พ่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาเสมอ แม่เป็นผู้หญิงที่สวยและใจดีที่สุดเท่าที่เขาเจอ
ชาตินี้ลูกขออภัยที่ไม่ได้มีโอกาสรับใช้ดูแลพวกท่าน หากชาติหน้ามีจริงลูกจักขอเกิดมาทดแทนคุณของพวกท่าน
เสือปิดเปลือกตาลงเบาๆ เขารู้สึกเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น อิสระยิ่งกว่านกที่โบยบินบนเวหา ชายหนุ่มสิ้นสติก่อนที่ร่างจะได้สัมผัสกระแสน้ำเชี่ยว