กรุงเทพ นิรมิตร ตอนที่ 13

กระทู้สนทนา
13
“พวกมันว่าเมืองบางกอกเสียแล้ว หากพวกเราตั้งค่ายสู้รบก็เห็นจะต่อกรได้ได้ยาก พวกมันจักให้พวกเราอ่อนน้อมยอมเข้าแต่โดนดีแล้วจักเว้น
ชีวิตให้ หากขัดขืนแม้แต่นิดเดียวจะฆ่าให้สิ้นเสียทั้งเมือง แม้แต่ทารกก็มิเหลือ”  

“สามหาวยิ่งนักไอ้พวกพม่า มันใช้ให้ชาวไชยามาบอกพวกเราแบบนี้ฤา”เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชพูดเสียงเครียดแล้วจึงหันไปถามขุนนางเจ้า
กรมเมืองเพื่อขอความเห็น  

“เจ้ามีความเห็นว่ากระไร”  

“เมืองชุมพรแลเมืองไชยาเสียให้แก่พม่าแล้ว เจ้าเมืองทั้งสองเห็นว่ารักษาเมืองไว้ไม่ได้จึงพาผู้คนหนีเข้าไปในป่า แม้เราจะเป็นเมืองใหญ่แต่
ด้วยกำลังพลที่เรามี เห็นทีว่าจะต้านไว้ได้ไม่นานนัก ทหารของเราแจ้งข่าวไปยังทัพหลวงที่บางกอกก็นานโข แต่ก็มิได้มีการส่งทัพมาช่วยเหลือ
เสียที เห็นทีบางกอกจักเสียให้พม่าเสียแล้วจริงดังคำอ้าง ตัวข้าจึงเห็นว่าเห็นทีเราควรรักษาชีวิตไว้ก่อน สบโอกาสกลับมากู้เมืองภายหลังก็ยังมิ
สาย”

“แล้วจักให้เราหนีไปที่ใด พม่ามันมีอยู่มากมาย” ผู้ครองเมืองมีสีหน้าวิตก

“ข้าเห็นว่าเราควรหนีเข้าป่าข้ามเขาบรรทัดไปทางทิศตะวันตกจะเหมาะสมที่สุด”

“ข้าเห็นสมคำเจ้าพูด กำลังพลเรามีแค่พันเศษหากไม่มีทัพหลวงมาช่วย อย่างไรเราก็คงตายกันหมด เจ้ากรมเมืองจงเร่งบอกชาวบ้านให้เก็บ
ของเตรียมเสบียงที่จำเป็นภายในคืนนี้ รุ่งสางเราจะออกเดินทางกัน” เจ้าพระยานครศรีธรรมราชพูดอย่างปวดร้าว ชายวัยกลางคนผู้มาก
ประสบการณ์คนนี้รู้ดีกว่าถ้าวันใดที่พม่าเข้าเมืองมาได้ก็คงเข้าเข่นฆ่าเกือบทั้งหมด เขาทำใจไม่ได้ที่จะเห็นลูกเมืองต้องถูกจับเป็นเชลย  

ไม่นานนักฝ่ายพม่าที่นำทัพโดยเกงหวุ่นแมงยีก็เข้ามาในเมืองนครศรีธรรมราชได้อย่างง่ายดายและยังได้กวาดต้อนผู้คนที่หนีไม่ทันรวมถึงทรัพย์
สมบัติไปได้อย่างมากมาย แต่ไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใดเรือบรรทุกสมบัติที่ได้นั้นล่มลงกลางทะเลหาได้ถึงเมืองพม่าไม่

ในช่วงเวลานั้นเองฝ่ายสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ยกทัพมาทางชลมารคพร้อมด้วยทหารอีกกว่าสองพันนายก็มาถึงเมือง
ชุมพร พระองค์ทรงตทอดพระเนตรสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยความสลดพระทัย สภาพกำแพงและบ้านเมืองถูกเผาจนเกือบหมด

“พระยากลาโหมราชเสนาแลพระยาจ่าแสนยากรจงเร่งยกทัพล่วงหน้าไปยังเมืองไชยาแลเร่งตีพม่าที่เมืองนครศรีธรรมราชให้แตกบัดเดี๋ยวนี้”  

หลังจากรับคำสั่งแล้วขุนศึกใหญ่ทั้งสองก็นำทหารอีกประมาณห้าร้อยนายตรงไปยังเมืองนครศรีธรรมราชทันที   สภาพอากาศที่ขมุกขมัวฝกตก
มาตลอดทางทำให้การเดินทางนั้นยากลำบากยิ่ง เมื่อถึงเมืองไชยาเหล่าทหารก็ลงจากม้าเร่งเดินเท้าเพื่อให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุด  

“ฝ่ายพม่ากำลังเตรียมตั้งค่าย พวกเราจงเร่งเตรียมกำลังพลโอบล้อมพม่าเสีย หนนี้เราจักเล่นกลลักษณ์ซ่อนเงื่อน ขุนรามเดชะ ขุนศรีสังหาร
เจ้าทั้งสองจงตั้งค่ายชักปีกกาให้ทั่วทั้งซ้ายขวา ส่วนขุนอัคนีวุธเจ้าจงนำขุนพลไปล่อให้พวกมันเข้ามาในติดกับวงล้อมนี้เสีย เมื่อพม่ามันหลง
กลเราแล้ว เมื่อข้าสัญญาณ จงกระหนาบโจมตีพร้อมกันให้หมดทุกด้าน”   พระยากลาโหมราชเสนาประกาศกลศึกด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

ขุนรามเดชะรับคำสั่งและเตรียมนำทหารในสังกัดตั้งค่ายชักปีกกาและพรางอำพรางตัวเพื่อไม่ให้พม่าไม่ทันรู้ตัว  ตัวเขาก้มลงหยิบดาบสองมือ
ขึ้นมาถือแน่น พลันดวงหน้างามของเจ้าของผู้เป็นที่รักยิ่งก็ปรากฏขึ้นมาในมโนภาพ
แม่พิม ข้าจักต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง แลข้าสัญญาจักทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าไว้ให้จงได้

ชั่วอึดใจนึกเสียงฝีเท้าม้าศึกก็ดังก้องพร้อมๆกันเสียงโห่ร้องและเสียงเหล็กกระทบกันก็ก้องไปทั่วทั้งป่า เมื่อธงสีแดงถูกโบกสะบัด เหล่าทหาร
ไทยที่ซุ่มโจมตีอยู่ก็วิ่งออกมาอย่างพร้อมเพรียง เหล่าทหารพม่าเห็นเป็นกลศึกก็ดูหวั่นเกรงบ้างแต่ด้วยกำลังพลที่มากกว่าจึงมีความฮึกเหิมต่อสู้
ประจันหน้าด้วยความดุเดือด

ขุนรามเดชะบรรเลงเพลงดาบรวดเร็วและรุนแรงประดุจพายุ ดาบสองมือยังมีรัศมีการทำลายอยู่รอบทิศ และทันใดนั้นเองจู่ๆทวนยาวก็พุ่งตรง
เข้ามาปะทะดาบของเขาจนสั่นสะเทือนไปหมด ผู้ถูกปะทะเปลี่ยนจากท่ารุกเป็นรับในทันใด แม้ทวนจะเป็นต่อดาบแต่ชายหนุ่มสายเลือดนักรบ
เยี่ยงเขาก็อาศัยจังหวะเปลี่ยนทวงท่าสะบัดดาบขึ้นเหนือหัวปัดทวนออกได้อย่างรวดเร็วและกลับมาใช้ท่าตลบสังขร ควงดาบสลับไขว้กันเพื่อหา
จังหวะโจตี จนในที่สุดนายทัพตองพยุงโบก็พลาดท่าเสียทีตกจากหลังม้า  นายทัพพม่ารีบม้วนตัวขึ้นทันที  แม้จะไม่ได้อยู่บนหลังม้า ฝีมือทวน
ของนายกองหนุ่มก็ยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นอย่างร้ายกาจ  เสียงทวนแหวกอากาศผ่านด้านข้างของขุนรามเดชะเพียงนิดเดียว เขารีบยิ้ม
ตัวหลบและจ้วงดาบตวัดไปที่ด้านหลังของศัตรู  ชั่วพริบตาเดียวร่างใหญ่ของผู้ถือทวนก็ทรุดเซลง ผู้ถือดาบไม่รอให้โอกาสหมดไป คมดาบรี่
ตรงเข้าร่างปลิดวิญญาณรวดเร็วปานใบไม้ถูกปลิดทิ้งออกจากกิ่ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่