ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๑๐ #(นรกเบื้องบน สวรรค์เบื้องล่าง ใครจะทำไม!!.)

เรือนหมอยา..

ลึกเข้าไปใจกลางป่าไผ่ ปรวาณสร้างหมอกอาคมขวางกั้นระหว่างแดนมนุษย์และแดนภูต เพื่อป้องกันมนุษย์หลงเข้าไปแล้วจะเกิดอันตรายจากภูตที่ยังมีจิตอาฆาตกระหายในคาวเลือด เมื่อพ้นแนวป่าไผ่สู่ลำธารและแอ่งน้ำกว้าง มีต้นสายมาจากน้ำตกที่ไหลลงมาตามชั้นหน้าผาสูงชัน ต้องแหงนมองจนคอตั้งบ่าผ่านไอน้ำเย็นถึงจะเห็นแนวขอบผาเบื้องบนได้อย่างเลือนราง  เสียงสรรพสัตว์แซงแซ่แข่งกับเสียงน้ำตกดังก้องป่า..บนริมผามีต้นไม้ใหญ่ยืนตระหง่านมานานหลายร้อยปี กิ่งก้านสาขาแตกแขนงเป็นวงกว้าง เป็นร่มเงาและเป็นที่พักอาศัยของสัตว์ตัวเล็กและสัตว์เลื้อยคลาน และขณะนี้..ได้รวมถึงหมอยาหนุ่ม ซึ่งกำลังครึ่งนั่งครึ่งนอนบนกิ่งไม้ที่ยื่นออกไปเหนือน้ำตกเบื้องล่าง สายตาครุ่นคิดมองไปยังสวรรค์เบื้องบน พลางกระดกไหเหล้าที่นางภูตงูดินมอบให้

นับตั้งแต่ที่รับปากกับพระผู้สร้างว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง เธอก็ยึดถือการปฏิบัตินั้นเรื่อยมา ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย ก็สามารถเมินเฉยได้ ตราบใดที่แดนโลกยังสงบสุข ทว่า..ชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับสรษดานั้น กลับสั่นสะเทือนความรู้สึกให้รุ่มร้อนด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธระคนสงสัยใคร่รู้ และไม่ว่าจะบำเพ็ญฌานสมาธิสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจสงบลงได้

เหล้าไหสุดท้ายหมดลง ขวดเปล่าถูกทิ้งลอยคว้างสู่เบื้องล่าง ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นยืนเงยหน้ามองสวรรค์ด้วยสายตามุ่งมั่น พลางคลายมนตร์จำแลงกลับคืนสู่ร่างจริง สวมใส่อาภรณ์รัดกุมสีแดงเพลิง แส้สุริยการอาวุธคู่กายกระชับรัดรอบเอวคอดส่องสว่างวาววับด้วยจิตวิญญาณแห่งการทำลายล้าง ดวงหน้างดงามยังคงพลางสายตาด้วยหน้ากากทองคำ 

และในครั้งนี้ หญิงสาวต้องการกลับสวรรค์อย่างเอิกเกริกที่สุด จึงเรียกช้างอสุนีบาต หนึ่งในสิบสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์ของตนออกมาเป็นพาหนะสู่แดนสวรรค์ ซึ่งพญาคชสารเหมือนรู้จิตขุ่นเคืองของผู้เป็นนาย จึงช่วยส่งเสริมยามทะยานขึ้นแดนสวรรค์ สองใบหูใหญ่กางกระพือก่อเกิดลมพายุหมุนลูกทะมึน  กระพรวนใหญ่ที่ข้อเท้าแกว่งไกวส่งเสียงลั่นเสียดหูราวกับฟ้าร้องฟ้าผ่า และเหมือนยังไม่หนำใจพญาช้างนัก จึงส่ายหัวฟาดงวงฟาดงา พร้อมแผดเสียงร้องดังกึกก้องสะท้านสะเทือนถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกรอยยิ้มพึงใจของผู้เป็นนายปรากฏขึ้นบนมุมปาก

องค์อินทร์กำลังรื่นเริงอยู่กับนางอัปสรถึงกับสะดุ้งลุกจากอาสน์ที่ประทับมาเยี่ยมหน้าออกไปนอกปราสาท ใช้เนตรทิพย์มองหาที่มาที่ไปของเสียงดังกัมปนาทที่กำลังเข้ามาใกล้ เหล่าผู้ที่นั่งอยู่ด้วยไม่ได้มีฤทธามากนัก แต่ก็อยากรู้อยากเห็นเหตุการณ์ บริวารคนสนิทจึงรีบเข้าไปเสนอแนะ ให้พระองค์ส่องความเป็นไปผ่านกระจกสวรรค์แทน จะได้ไม่เปลืองพลัง

“เออ จริงด้วย” 

องค์อินทร์จึงนิมิตรกระจกสวรรค์บานใหญ่ออกมา เห็นเหล่าทหารเทพที่เฝ้าหน้าประตูพากันตระหนกตกใจ คิดว่าพวกมารยกทัพขึ้นมาบุกแดนสวรรค์ ต่างกระชับอาวุธยืนจังก้าเตรียมรับศึก ทว่า เมื่อเห็นร่างอรชรในชุดสีแดงเพลิงยืนอยู่เพียงลำพังบนหลังช้างอสุนีบาต ต่างก็ชะงักงันด้วยความสงสัยว่า..กองทัพมารที่คาดเดาเมื่อครู่ไปอยู่ไหน เหตุใดถึงเป็นเพียงสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นเพียงลำพัง!?

ด้วยเพราะปรวาณนั้นไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นมากนัก ชาวสวรรค์ส่วนใหญ่จึงรู้จักเธอผ่านเสียงลือเสียงเล่าอ้างในฐานะเทพบรรพกาลที่มีอายุยาวนานนับหลายแสนปีเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เทวาตบะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหล่านี้จะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ 

“เจ้าเป็นใคร บังอาจบุกแดนสวรรค์” เสียงหนึ่งตะโกนถามอย่างห้าวหาญ

  และในพริบตา ทหารเทพนับพันปรากฏกายเข้ารุมล้อมผู้บุกรุก รวมทั้งเทพสงครามผู้มีจิตวิญญาณแกร่งกล้าก็รีบรุดมาสมทบ แต่เมื่อเห็นบุคคลตรงหน้าก็ชะงักและหมายจะแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส แต่กลับถูกมนตร์สะกดของปรวาณจนนิ่งงัน เพราะไม่อยากให้เขามาขัดจังหวะ ที่เธอตั้งใจจะระบายอารมณ์เล็กๆน้อยๆกับทหารเหล่านี้

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร !?”

ทหารเทพตะโกนถามอีกครั้ง แต่ปรวาณสร้างก้อนไอเย็นขนาดย่อมขว้างใส่กลางวงเป็นคำตอบ ทหารที่เหลือจึงกระโจนเข้าใส่หมายเอาชีวิต..หญิงสาวตอบโต้ด้วยพลังแห่งจิตผ่านสองมือเปล่า ยามฟาดพลังออกไป เหล่าทหารจะรู้สึกถึงความเย็นจัดชนิดที่เรียกว่า หนาวจนถึงไขสันหลัง ผ่านร่าง แต่ไม่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บใดๆ นอกจากรอยไหม้จากความเย็นเฉียบพลัน รุนแรงเท่านั้น

กลุ่มควันจากการปะทะขยายอย่างไร้ทิศทางตามความครื้นเครงของปรวาณ ซึ่งกำลังสนุกสนานกับการจับร่างกำยำของเหล่าทหารที่เข้ามามะรุมมะตุ้มเหวี่ยงเล่นราวไร้น้ำหนัก เสียงร้องเอะอะโวยวายดังเซ็งแซ่ จนหญิงสาวเริ่มคลายใจลงบ้าง จึงยุติความโกลาหลนั้น ด้วยการฟาดฝ่ามือลงพื้นจนสั่นสะเทือน ก่อเกิดคลื่นพลังมหาศาลแผ่เป็นวงกว้างกระแทกร่างเหล่าทหารเทพล้มระเนระนาดในคราวเดียว..บ้างก็พยายามหยัดยืนได้อย่างยากลำบาก บ้างก็ลุกไม่ขึ้น ได้แต่ร้องโอดโอยให้เพื่อนช่วยพยุง ช่วยจัดกระดูกกันเสียงดังกร๊อบแกร๊บ 

ปรวาณยืนมองด้วยความขบขัน พลางปรายสายตามองฝ่ามือของตน แล้วก็ปัดเป่าฝุ่นที่เปื้อนอยู่เล็กน้อย
“ช่างน่าผิดหวังจริงๆ เหตุใดพวกเจ้าถึงได้อ่อนปวกเปียกเยี่ยงนี้”  เธอพูดออกไปลอยๆโดยไม่รอคอยคำแก้ตัวใดๆจากเหล่าทหาร แต่ความสนใจในขณะนี้คือ เธอได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้ที่อาศัยอยู่ภายในและโดยรอบของ สุทัสสนเทพนครสมดั่งใจแล้ว 

ไม่กี่อึดใจ เจ้าผู้ครองชั้นดาวดึงส์ก็ปรากฏกายพร้อมเหล่าบริวาร และเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ยังคงสงวนไว้ด้วยท่าทีนอบน้อม
“มีเรื่องอันใดทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ จนต้องมาเยี่ยมเยือนข้าโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้เหรอขอรับ ท่านปรวาณ”

หญิงสาวแย้มยิ้มสดใส
“ข้าไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอันใดหรอก เพียงแค่เห็นว่าทหารเหล่านี้วันๆเอาแต่ยืนเฝ้าประตู คงรู้สึกเบื่อแย่ ข้าเลยแวะมาหยอกเย้าเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาสักประเดี๋ยวประด๋าว แค่นั้นเอง” และหันกลับไปมองเหล่าทหาร ซึ่งบัดนี้พากันคุกเข่า ก้มหน้างุดกันถ้วนหน้าทันทีที่รู้ฐานะที่แท้จริงของผู้มาเยือน ซึ่งยังคงยิ้มเริงร่ายามถามพวกเขา

“พวกเจ้ารู้สึกสนุกไปกับข้าด้วยใช่ไหม”

“ขอรับ ท่านเทพบรรพกาล” เหล่าทหารตอบรับกันพร้อมเพรียง

หญิงสาวจึงหันกลับมาทางองค์อินทร์อีกครั้ง
“เห็นไหม พวกเขาดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนขึ้นมาทันที..เอาไว้วันหลังท่านต้องให้เทพสงครามฝึกทหารแบบนี้บ้างนะ” เมื่อพูดถึงเทพสงคราม หญิงสาวเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบคลายมนตร์สะกดให้ 

เทพสงครามเข้ามาทำความเคารพ แต่วาจานั้นอดที่จะกระทบกระเทียบหญิงสาวไม่ได้
“ข้าไม่นึกเลยว่า เทพบรรพกาลจะมีอารมณ์ขบขันเช่นนี้ วันหลัง ข้าคงต้องฝึกฝนทหารเหล่านี้ให้จงหนัก เพื่อต้อนรับความบันเทิงในครั้งต่อไปยามพบท่าน”

หญิงสาวยิ้มเยือน “นั่นก็แล้วแต่ท่าน ไม่ใช่ธุระของข้า”

อารมณ์รื่นเริงที่มีอยู่น้อยนิดเริ่มหมดลงแล้ว ปรวาณเหลียวมองไปรอบๆมองหาบุคคลผู้หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็น จึงเอ่ยถามกับองค์อินทร์
“ผู้ที่ชุมนุมอยู่ตรงนี้ก็มาร่วมเกือบหมดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว แต่เหตุใดข้าถึงไม่เห็นโอรสสวรรค์เลย”

พระอินทร์ก็เพิ่งสังเกตเช่นกัน จึงเหลียวมองหา แต่เมื่อไม่พบก็บังเกิดโทสะ
“เสียงเอะอะมะเทิ่งขนาดนี้ เหตุใดเขายังนิ่งเฉยอยู่ได้ ไม่คิดจะโผล่หัวออกมาบ้างเรอะ”

บรรดาข้ารับใช้ลนลาน รีบส่งทหารไปตามหา และเพียงไม่กี่อึดใจ ก็กลับมาพร้อมโอรสสวรรค์ ซึ่งมีขบวนเสด็จอันยาวเหยียดด้วยข้ารับใช้หลายร้อยชีวิตของพระนางมาทรีและพระมเหสีมณฑาติดตามมาด้วย

วิทูรในสถานะโอรสสวรรค์รีบเข้ามาทำความเคารพองค์อินทร์อย่างหวาดเกรง
“เอ่อ..เสด็จพ่อเรียกหาลูกด้วยเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

องค์อินทร์ได้ยินแล้วให้ขัดใจ
“เจ้าไปอยู่ไหน ถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรบ้างเรอะ..หากพวกมารบุกขึ้นมา ป่านนี้คงประชิด เด็ดหัวของเจ้าแล้ว” 

วิทูรอึกอัก เพราะเขาเองก็ได้ยินเช่นกัน แต่เพราะคำสั่งของผู้เป็นยาย ให้อยู่แต่ภายในวิมาน เขาจึงไม่ได้ออกมาดูเหตุการณ์

พระนางมณฑาเห็นท่าทางตื่นกลัวของวิทูรยามอยู่ต่อหน้าองค์อินทร์ ก็เกรงว่าจะถูกสงสัย จึงรีบออกหน้าแทน
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยแทนสรษดาด้วยเพคะ เป็นเพราะเสียงอึกทึกเมื่อครู่ทำให้หม่อมฉันกับพระมเหสีรู้สึกกลัวมาก จึงขอให้สรษดาอยู่คุ้มกันภัยให้เพคะ”

“ทหารวังก็มีดาษดื่น พวกเจ้ายังต้องกลัวสิ่งใดอีก”

“ผู้อื่นไหนเลยจะได้รับความไว้วางใจได้มากกว่าหลานชายล่ะเพคะ..หากเพราะเรื่องนี้ทำให้พระองค์ขุ่นเคือง ก็โปรดลงโทษหม่อมฉันกับพระมเหสีแทนเถอะเพคะ”

องค์อินทร์มองพระนางแล้วก็ปรายสายตาไปยังพระมเหสี ซึ่งดูซูบผอมกว่าแต่ก่อน แม้ใบหน้ายังคงงดงาม ทว่าดวงตากลับหม่นหมองไร้ประกายความสดใสเฉกเช่นเมื่อก่อน..แค่มองก็ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จึงเบือนหนีพลางพ่นลมหายใจแรง
“ช่างเถอะ ไหนๆก็มาแล้ว ข้าไม่อยากต่อว่าให้มากความ” แล้วหันไปทางโอรสสวรรค์ “ท่านปรวาณต้องการพบเจ้า”

“ท่านปรวาณ..เป็นผู้ใดหรือขอรับ !?”

คำถามพาซื่อ ทำให้องค์อินทร์เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าเป็นถึงโอรสสวรรค์ แต่กลับไม่รู้จักเทพบรรพกาล ผู้รวบรวมแดนสวรรค์เรอะ”

น้ำเสียงเกี้ยวกราดของผู้เป็นใหญ่ ทำให้วิทูรหวาดกลัวจนตัวสั่น พระนางมาทรีก็รีบเข้ามารับหน้าอีกครั้ง
“ขอพระองค์อย่าเพิ่งโกรธเคืองสรษดาเลยเพคะ..ท่านปรวาณนั้นเก็บตัวเงียบมาหลายร้อยปี ไม่ค่อยมีใครเห็นท่านนัก แล้วสรษดาเองก็ไม่เคยเห็นท่านมาก่อน อย่าว่าแต่สรษดาเลย แม้แต่หม่อมฉันเองก็คงจะจำไม่ได้แล้วเช่นกัน ขอพระองค์อย่าทรงกริ้วเลยนะเพคะ..แล้วตอนนี้ท่านปรวาณอยู่ไหนล่ะ หม่อมฉันจะรีบให้สรษดาเข้าไปทำความเคารพ แล้วจะได้เชื้อเชิญท่านมาเป็นพระอาจารย์ให้สรษดาด้วยเสียเลยเพคะ”

แม้ว่าพระนางมาทรีจะเคยเห็นเทพบรรพกาลในพิธีเฉลิมฉลองวันประสูติของโอรสสวรรค์ แต่ก็เพียงแค่ผ่านตา เพราะยามนั้นนางมิใคร่ใส่ใจนัก เพราะกำลังภาคภูมิใจในอำนาจที่ตนมีและคิดว่าเทพบรรพกาลก็เหมือนๆกับเทพผู้อาวุโสทั่วไป ที่ไม่ว่าอย่างไรเสียก็อยู่ใต้อาณัติขององค์อินทร์ จึงมุ่งจ้องจับผิดว่ามีใครแอบนินทาว่าร้ายนางเสียมากกว่า และเทพบรรพกาลทั้งสองนั้นก็เร้นกายหายไปทันทีที่มอบพรอันประเสริฐแก่ทารกน้อยเสร็จสิ้นลง ในยามนั้น นางยังแอบขุ่นเคืองใจที่เทพบรรพกาลทำอะไรเอาแต่ใจและไร้มารยาท

พระนางมาทรีปรายสายตามองหญิงสาวตรงหน้า ดูแล้วยังเยาว์นักและดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้ การแต่งตัวก็ไม่เหมาะสมจะเป็นชนชั้นสูง ท่าทางก็แข็งกระด้างชอบกล ใบหน้าที่ซ่อนเร้นใต้หน้ากากคงอัปลักษณ์เกินกว่าจะให้ใครเห็นได้ จึงสวมหน้ากากปิดบังอำพราง และเหลียวมองหาผู้ที่นั่งราชรถคันงาม มีข้าทาสบริวารตามติดอีกหลายชีวิตเฉกเช่นตน  แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมีใครเป็นเหมือนอย่างที่นางคาดเดาเลย

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่