http://ppantip.com/topic/30251267
กระทั่งเจ็ดวันก่อนที่องค์หญิงมีพระชนมายุครบ๑๗ชันษา พระเจ้าชาร์นอฟทรงตรัสกับพระราชธิดาว่า “เลรีอาลูกรัก อีกเจ็ดวันเจ้าจะมีอายุครบ๑๗ชันษาบริบูรณ์ นั่นหมายถึงว่าเทพอินอสจะมารับลูกไปเป็นพระชายา แล้วเจ้าก็คงไม่ได้อยู่กับพ่ออีกต่อไป หากมีสิ่งใดที่เจ้าปรารถนาจงบอกมาเถิด ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า”
องค์หญิงเลรีอามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาชวนฝัน แล้วหันมาหาพระบิดาด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ “ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดนักหรอกเพคะ หากเพียงแต่เสด็จพ่อจะทรงอนุญาตให้ข้าไปเที่ยวเล่น ณ ทุ่งดอกไม้ชายป่าทางทิศเหนืออีกสักครั้ง ข้าอยากวิ่งเล่นไปตามทุ่งกว้าง ท่ามกลางฟ้าใสในบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ฟังเสียงนกร้อง เสียงน้ำตกที่ไหลเย็นและเสียงกระซิบของผืนป่าเป็นครั้งสุดท้าย” องค์หญิงหลับตาสูดหายใจลึก
“เพียงเท่านั้นก็วิเศษแล้วเพคะ” องค์หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมหวัง
พระเจ้าชาร์นอฟมีพระทัยห่วงใยในพระธิดายิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อได้ฟังดังนั้นก็มิใครยินดีเนื่องจากเกรงว่าโลกภายนอกอาจมีอันตรายเกิดขึ้น จึงพยายามบ่ายเบี่ยง แต่องค์หญิงยังคงยืนกรานมั่น พระเจ้าชาร์นอฟจึงมีพระทัยอ่อนลง อนุญาตให้องค์หญิงทำตามพระประสงค์ หากแต่ต้องมีเหล่าบริวารและองครักษ์หญิงติดตามไปด้วย
เขตแดนชายป่าทิศเหนือ ณ ทุ่งโล่งมีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่งทั่วทั้งหุบเขา ลมอ่อนๆโชยเย็นสบาย นำพากลิ่นหอมของดอกไม้กระจายพุ้งไปทั่ว เหล่าองครักษ์ต่างพากันเคลิ้มไปโดยมิได้ระวังระไว องค์หญิงทำทีชักชวนให้เหล่าคนสนิทเล่นซ่อนแอบ และใช้โอกาสนั้นลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า และหลบหายเข้าไปในป่า บรรดาบริวารและองค์รักษ์เมื่อเห็นองค์หญิงหายไป ก็ร้องเรียกองค์หญิงด้วยความตื่นตระหนก
องค์หญิงวิ่งลัดเลาะไปตามแนวป่า แหงนมองไปรอบๆด้วยความตื่นตาในบรรยากาศที่เต็มด้วยสีเขียว เสียงนกร้องตอบโต้กันไปมา กระรอกป่าหางฟูกระโดดข้ามกิ่งไม้อย่างว่องไว องค์หญิงก้าวเดินไปบนพื้นดินอันเต็มไปด้วยโขดหิน องค์หญิงเลรีอาเดินเล่นอยู่ในป่าด้วยความเพลิดเพลิน กระทั่งพ้นแนวป่ามาพบกับเนินเขาโล้นลูกหนึ่ง ตรงกลางนั้นมีต้นไม้ใหญ่มหึมาอายุนับพันปียืนต้นอยู่เดียวดาย กิ่งก้านแผ่ปกคลุมทับซ้อนสลับกันดุจร่างแห ด้วยเงามืดภายใต้ลำต้นงอหงิกไร้ใบ ทำให้บรรยากาศรอบๆดูวังเวงขึ้นถนัดใจ ถัดจากเนินเขาลูกนี้ไปมีหุบเขาสีเทาตั้งตระหง่านอยู่ องค์หญิงชะงักนิ่งที่ตรงจุดนั้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้องค์หญิงต้องนิ่งมองหาใช่ต้นไม้ แต่เป็น…
ณ ที่ตรงนั้น มีบุรุษในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ มือซ้ายกำไม้เท้าเรียวยาวไว้มั่น ใบหน้าขาวซีดเรียวยาวภายใต้ผ้าคลุมที่ปรกลงค่อยๆหันมา ทั้งสองนิ่งมองกันอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องเรียกที่ดังขึ้น
“องค์หญิงเลรีอาเพคะ!”
เสียงกระหืดกระหอบ พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ทำให้องค์หญิงต้องหันไปมอง
“เลรีอา..” เสียงกระซิบนั้นแหบพร่า
องค์หญิงหันกลับมา เบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่มหึมายังคงชูกิ่งก้านไร้ใบของมันอยู่เงียบๆ ทว่าร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทานั้นหายไปแล้ว ไร้ซึ่งวี่แววใดๆสิ้น องค์หญิงกระพริบตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ ก่อนสังเกตกระจกบานหนึ่งตกอยู่แทบเท้า องค์หญิงก้มหยิบมันขึ้นมาพินิจดูใกล้ๆ สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง ซ่อนเร้นอยู่ในกระจบบานกลมซึ่งดูเรียบๆแต่ต้องใจ องค์หญิงจึงเก็บมันไว้โดยใช้ผ้าคลุมไหล่คลุมปิดเพื่อมิให้เป็นที่สังเกต
“องค์หญิงเพคะ” เหล่าคนสนิทปรากฏกายขึ้นพร้อมๆกับองครักษ์ที่ตามมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ในที่สุดก็เจอตัว โล่งอกไปที”
บนหอคอยนั้น องค์หญิงเลรีอาเก็บกระจกบานกลมไว้อย่างระมัดระวัง ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เธอซุกซ่อนมันไว้ คืนนั้นเมื่อบรรดาบริวารพากันถวายบังคมลาจากห้องไปแล้ว องค์หญิงจึงลุกจากเตียง แล้วจุดเทียนท่ามกลางความมืด องค์หญิงหยิบกระจกบานกลมที่ซุกซ่อนไว้ จ้องมองเข้าไปในกระจกอันขุ่นมัวจนแทบไม่อาจสะท้อนใบหน้าขององค์หญิงได้ จู่ๆเงาพร่าเลือนก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยนิ้วมือพร่ามัว องค์หญิงราวกับตกอยู่ในภวังค์ มือที่กุมแน่นค่อยๆเลื่อนแตะบานกระจก ทาบลงบนรอยนิ้วมือที่ปรากฏนั้น
กระจกค่อยๆปรากฏเงาสะท้อนของมือที่แตะประสานกัน เห็นได้ชัดว่ามีมืออีกมือหนึ่งประทับทาบกับกระจกอีกด้านประดุจเงาสะท้อน สองมือแนบประสาน ความรู้สึกอบอุ่นแปลกประหลาด แผ่ซ่านผ่านปลายนิ้วมายังร่างขององค์หญิง ขณะที่สติสัมปชัญญะดูเหมือนค่อยๆลอยหลุดไป แสงสว่างจากกระจกเจิดจ้าไปทั่วพื้นห้อง รู้สึกราวกับร่างกายนั้นเบาหวิวแล้วค่อยๆโปร่งใส หลุดออกจากร่างพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาล แสงสว่างจ้าจนแสบตา เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เสียงครวญครางของพายุที่รุนแรงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และหนักหน่วง ร่างเบาบางขององค์หญิงนั้นถูกพัดพาไปไกลแสนไกล ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไว แต่แล้วก็หยุดลงพร้อมกับแสงสว่างที่ดับวูบ
ในที่สุดร่างขององค์หญิงก็สัมผัสลงบนพื้นผิวอีกครั้ง ทว่าพื้นที่ยืนอยู่นั้นดูราวกับจะโปร่งใสยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก ที่นี่คือที่ไหนกัน? องค์หญิงพยายามหรี่ตามองไปในความมืดมิด แสงสว่างค่อยๆปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างของชายผู้หนึ่ง ภายใต้เงาสลัวองค์หญิงพินิจดูชายผู้นั้นด้วยความระแวดระวัง
“ท่านเป็นใคร” เสียงกังวานเพราะขององค์หญิงเอ่ยถาม
ชายผู้นั้นมิได้ตอบ หากแต่เขากลับชูไม้เท้าเรียวยาวขึ้นชี้ฟ้า บังเกิดดวงแสงสีเขียวสว่างวูบพุ่งออกไปรอบๆอย่างรวดเร็ว จนมองด้วยตาเปล่าแทบไม่ทัน แสงสีเขียวและสีเหลืองสลับกันพุ่งไปยังจุดต่างๆในบริเวณนั้น แตกออกเป็นพรุน้อยใหญ่ กลายมาเป็นต้นไม้และดอกไม้ สว่างเรืองรองท่ามกลางความมืดที่แผ่ปกคลุม สะเก็ดดวงแสงตกลงมา ซึมซาบสู่พื้นปรากฏเป็นวงสีน้ำเงินอมเหลือง ดุจหยดน้ำแผ่ซ่านออกเป็นวงกว้าง กลายมาเป็นพื้นหินแข็งแกร่งและมั่นคง แสงสว่างกระพริบวิบวับอยู่เหนือท้องฟ้า ดวงดาวระยิบระยับพร่างพราวขึ้นที่ละดวงสองดวง แล้วจึงแผ่ขยายกระจายออกอย่างรวดเร็วจนดูลานตา
ชายหนุ่มส่งมือให้องค์หญิงเอื้อมจับ แล้วทั้งสองก็ค่อยๆลัดเลาะไปตามแนวป่าอันมืดมิด ซึ่งมีเพียงแสงดาวเท่านั้นที่ช่วยนำทางให้ทั้งสองก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งโผล่พ้นแนวป่า มายืนหยุดอยู่ ณ เนินเขาเปล่าเปลี่ยวที่ซึ่งต้นไม้โดดเดี่ยวยืนต้นอย่างเดียวดาย เนินเขาลูกนี้เองที่องค์หญิงเลรีอาได้มาพบกับชายแปลกหน้าในชุดคลุมสีเทา ชายผู้นั้นซึ่งบัดนี้ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้ง
“เลรีอา” เสียงกระซิบก้อง ร้องเรียกนามอันไพเราะขององค์หญิง
'นี่คือความฝัน เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกังวล’ องค์หญิงนึกพลางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
ชายหนุ่มเข้ามากระซิบบางอย่างกับองค์หญิงใกล้ๆ มิใช่การเอ่ยพูดแต่เป็นการร้องเพลงอย่างแผ่วเบา องค์หญิงเลรีอายื่นนิ่งสงบราวกับต้องมนตร์สะกด
"สดับฟังเสียงแห่งมนตรา
องค์หญิงผู้งามเลิศเลอฟ้า
รัตติกาลนำพาให้ไหลหลับ
เรือนผมสยายอาภรณ์ระย้า
ประดับประดาแสงดาววาวไสว
ลืมตาคู่งามท่ามกลางพงไพร
สู่ดินแดนลี้ลับไร้ผู้คนเอ่ยนาม
ทุกสิ่งล้วนพร่าเลือนในสายหมอก
ทว่าข้าผู้เร้นกายในเงามืด
จักปรากฏเด่นชัดขึ้นอีกครา
ดุจสายหมอกล้อมโอบดวงดารา
ในครานั้น โอ้… เลรีอา"
ในครานั้น ผมยาวเป็นลอนปลิวสยายไปกับสายหมอก ซึ่งค่อยๆม้วนตัวโอบร่างบริสุทธิ์งดงามขององค์หญิงอย่างนุ่มนวล แสงสีเหลืองนวลเปล่งปลั่งอยู่ในดวงหน้าขององค์หญิง ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าใกล้ องค์หญิงที่กำลังหลับตา สัมผัสถึงความอบอุ่นจากริมฝีปากแผ่ซ่านมายังใบหน้าจนแก้มทั้งสองข้างแดงระเรือ เป็นจูบแรกอันหวานซึ้งของเจ้าหญิงเลรีอา
(มีต่อ)
One Truth Behind The Shadow [ บทที่ 3 ]
กระทั่งเจ็ดวันก่อนที่องค์หญิงมีพระชนมายุครบ๑๗ชันษา พระเจ้าชาร์นอฟทรงตรัสกับพระราชธิดาว่า “เลรีอาลูกรัก อีกเจ็ดวันเจ้าจะมีอายุครบ๑๗ชันษาบริบูรณ์ นั่นหมายถึงว่าเทพอินอสจะมารับลูกไปเป็นพระชายา แล้วเจ้าก็คงไม่ได้อยู่กับพ่ออีกต่อไป หากมีสิ่งใดที่เจ้าปรารถนาจงบอกมาเถิด ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้า”
องค์หญิงเลรีอามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาชวนฝัน แล้วหันมาหาพระบิดาด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ “ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดนักหรอกเพคะ หากเพียงแต่เสด็จพ่อจะทรงอนุญาตให้ข้าไปเที่ยวเล่น ณ ทุ่งดอกไม้ชายป่าทางทิศเหนืออีกสักครั้ง ข้าอยากวิ่งเล่นไปตามทุ่งกว้าง ท่ามกลางฟ้าใสในบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ฟังเสียงนกร้อง เสียงน้ำตกที่ไหลเย็นและเสียงกระซิบของผืนป่าเป็นครั้งสุดท้าย” องค์หญิงหลับตาสูดหายใจลึก
“เพียงเท่านั้นก็วิเศษแล้วเพคะ” องค์หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมหวัง
พระเจ้าชาร์นอฟมีพระทัยห่วงใยในพระธิดายิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อได้ฟังดังนั้นก็มิใครยินดีเนื่องจากเกรงว่าโลกภายนอกอาจมีอันตรายเกิดขึ้น จึงพยายามบ่ายเบี่ยง แต่องค์หญิงยังคงยืนกรานมั่น พระเจ้าชาร์นอฟจึงมีพระทัยอ่อนลง อนุญาตให้องค์หญิงทำตามพระประสงค์ หากแต่ต้องมีเหล่าบริวารและองครักษ์หญิงติดตามไปด้วย
เขตแดนชายป่าทิศเหนือ ณ ทุ่งโล่งมีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่งทั่วทั้งหุบเขา ลมอ่อนๆโชยเย็นสบาย นำพากลิ่นหอมของดอกไม้กระจายพุ้งไปทั่ว เหล่าองครักษ์ต่างพากันเคลิ้มไปโดยมิได้ระวังระไว องค์หญิงทำทีชักชวนให้เหล่าคนสนิทเล่นซ่อนแอบ และใช้โอกาสนั้นลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า และหลบหายเข้าไปในป่า บรรดาบริวารและองค์รักษ์เมื่อเห็นองค์หญิงหายไป ก็ร้องเรียกองค์หญิงด้วยความตื่นตระหนก
องค์หญิงวิ่งลัดเลาะไปตามแนวป่า แหงนมองไปรอบๆด้วยความตื่นตาในบรรยากาศที่เต็มด้วยสีเขียว เสียงนกร้องตอบโต้กันไปมา กระรอกป่าหางฟูกระโดดข้ามกิ่งไม้อย่างว่องไว องค์หญิงก้าวเดินไปบนพื้นดินอันเต็มไปด้วยโขดหิน องค์หญิงเลรีอาเดินเล่นอยู่ในป่าด้วยความเพลิดเพลิน กระทั่งพ้นแนวป่ามาพบกับเนินเขาโล้นลูกหนึ่ง ตรงกลางนั้นมีต้นไม้ใหญ่มหึมาอายุนับพันปียืนต้นอยู่เดียวดาย กิ่งก้านแผ่ปกคลุมทับซ้อนสลับกันดุจร่างแห ด้วยเงามืดภายใต้ลำต้นงอหงิกไร้ใบ ทำให้บรรยากาศรอบๆดูวังเวงขึ้นถนัดใจ ถัดจากเนินเขาลูกนี้ไปมีหุบเขาสีเทาตั้งตระหง่านอยู่ องค์หญิงชะงักนิ่งที่ตรงจุดนั้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้องค์หญิงต้องนิ่งมองหาใช่ต้นไม้ แต่เป็น… ณ ที่ตรงนั้น มีบุรุษในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ มือซ้ายกำไม้เท้าเรียวยาวไว้มั่น ใบหน้าขาวซีดเรียวยาวภายใต้ผ้าคลุมที่ปรกลงค่อยๆหันมา ทั้งสองนิ่งมองกันอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องเรียกที่ดังขึ้น
“องค์หญิงเลรีอาเพคะ!”
เสียงกระหืดกระหอบ พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ทำให้องค์หญิงต้องหันไปมอง
“เลรีอา..” เสียงกระซิบนั้นแหบพร่า
องค์หญิงหันกลับมา เบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่มหึมายังคงชูกิ่งก้านไร้ใบของมันอยู่เงียบๆ ทว่าร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทานั้นหายไปแล้ว ไร้ซึ่งวี่แววใดๆสิ้น องค์หญิงกระพริบตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ ก่อนสังเกตกระจกบานหนึ่งตกอยู่แทบเท้า องค์หญิงก้มหยิบมันขึ้นมาพินิจดูใกล้ๆ สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง ซ่อนเร้นอยู่ในกระจบบานกลมซึ่งดูเรียบๆแต่ต้องใจ องค์หญิงจึงเก็บมันไว้โดยใช้ผ้าคลุมไหล่คลุมปิดเพื่อมิให้เป็นที่สังเกต
“องค์หญิงเพคะ” เหล่าคนสนิทปรากฏกายขึ้นพร้อมๆกับองครักษ์ที่ตามมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ในที่สุดก็เจอตัว โล่งอกไปที”
บนหอคอยนั้น องค์หญิงเลรีอาเก็บกระจกบานกลมไว้อย่างระมัดระวัง ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เธอซุกซ่อนมันไว้ คืนนั้นเมื่อบรรดาบริวารพากันถวายบังคมลาจากห้องไปแล้ว องค์หญิงจึงลุกจากเตียง แล้วจุดเทียนท่ามกลางความมืด องค์หญิงหยิบกระจกบานกลมที่ซุกซ่อนไว้ จ้องมองเข้าไปในกระจกอันขุ่นมัวจนแทบไม่อาจสะท้อนใบหน้าขององค์หญิงได้ จู่ๆเงาพร่าเลือนก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยนิ้วมือพร่ามัว องค์หญิงราวกับตกอยู่ในภวังค์ มือที่กุมแน่นค่อยๆเลื่อนแตะบานกระจก ทาบลงบนรอยนิ้วมือที่ปรากฏนั้น
กระจกค่อยๆปรากฏเงาสะท้อนของมือที่แตะประสานกัน เห็นได้ชัดว่ามีมืออีกมือหนึ่งประทับทาบกับกระจกอีกด้านประดุจเงาสะท้อน สองมือแนบประสาน ความรู้สึกอบอุ่นแปลกประหลาด แผ่ซ่านผ่านปลายนิ้วมายังร่างขององค์หญิง ขณะที่สติสัมปชัญญะดูเหมือนค่อยๆลอยหลุดไป แสงสว่างจากกระจกเจิดจ้าไปทั่วพื้นห้อง รู้สึกราวกับร่างกายนั้นเบาหวิวแล้วค่อยๆโปร่งใส หลุดออกจากร่างพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาล แสงสว่างจ้าจนแสบตา เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เสียงครวญครางของพายุที่รุนแรงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และหนักหน่วง ร่างเบาบางขององค์หญิงนั้นถูกพัดพาไปไกลแสนไกล ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไว แต่แล้วก็หยุดลงพร้อมกับแสงสว่างที่ดับวูบ
ในที่สุดร่างขององค์หญิงก็สัมผัสลงบนพื้นผิวอีกครั้ง ทว่าพื้นที่ยืนอยู่นั้นดูราวกับจะโปร่งใสยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก ที่นี่คือที่ไหนกัน? องค์หญิงพยายามหรี่ตามองไปในความมืดมิด แสงสว่างค่อยๆปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างของชายผู้หนึ่ง ภายใต้เงาสลัวองค์หญิงพินิจดูชายผู้นั้นด้วยความระแวดระวัง
“ท่านเป็นใคร” เสียงกังวานเพราะขององค์หญิงเอ่ยถาม
ชายผู้นั้นมิได้ตอบ หากแต่เขากลับชูไม้เท้าเรียวยาวขึ้นชี้ฟ้า บังเกิดดวงแสงสีเขียวสว่างวูบพุ่งออกไปรอบๆอย่างรวดเร็ว จนมองด้วยตาเปล่าแทบไม่ทัน แสงสีเขียวและสีเหลืองสลับกันพุ่งไปยังจุดต่างๆในบริเวณนั้น แตกออกเป็นพรุน้อยใหญ่ กลายมาเป็นต้นไม้และดอกไม้ สว่างเรืองรองท่ามกลางความมืดที่แผ่ปกคลุม สะเก็ดดวงแสงตกลงมา ซึมซาบสู่พื้นปรากฏเป็นวงสีน้ำเงินอมเหลือง ดุจหยดน้ำแผ่ซ่านออกเป็นวงกว้าง กลายมาเป็นพื้นหินแข็งแกร่งและมั่นคง แสงสว่างกระพริบวิบวับอยู่เหนือท้องฟ้า ดวงดาวระยิบระยับพร่างพราวขึ้นที่ละดวงสองดวง แล้วจึงแผ่ขยายกระจายออกอย่างรวดเร็วจนดูลานตา
ชายหนุ่มส่งมือให้องค์หญิงเอื้อมจับ แล้วทั้งสองก็ค่อยๆลัดเลาะไปตามแนวป่าอันมืดมิด ซึ่งมีเพียงแสงดาวเท่านั้นที่ช่วยนำทางให้ทั้งสองก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งโผล่พ้นแนวป่า มายืนหยุดอยู่ ณ เนินเขาเปล่าเปลี่ยวที่ซึ่งต้นไม้โดดเดี่ยวยืนต้นอย่างเดียวดาย เนินเขาลูกนี้เองที่องค์หญิงเลรีอาได้มาพบกับชายแปลกหน้าในชุดคลุมสีเทา ชายผู้นั้นซึ่งบัดนี้ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้ง
“เลรีอา” เสียงกระซิบก้อง ร้องเรียกนามอันไพเราะขององค์หญิง
'นี่คือความฝัน เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกังวล’ องค์หญิงนึกพลางหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
ชายหนุ่มเข้ามากระซิบบางอย่างกับองค์หญิงใกล้ๆ มิใช่การเอ่ยพูดแต่เป็นการร้องเพลงอย่างแผ่วเบา องค์หญิงเลรีอายื่นนิ่งสงบราวกับต้องมนตร์สะกด
"สดับฟังเสียงแห่งมนตรา
องค์หญิงผู้งามเลิศเลอฟ้า
รัตติกาลนำพาให้ไหลหลับ
เรือนผมสยายอาภรณ์ระย้า
ประดับประดาแสงดาววาวไสว
ลืมตาคู่งามท่ามกลางพงไพร
สู่ดินแดนลี้ลับไร้ผู้คนเอ่ยนาม
ทุกสิ่งล้วนพร่าเลือนในสายหมอก
ทว่าข้าผู้เร้นกายในเงามืด
จักปรากฏเด่นชัดขึ้นอีกครา
ดุจสายหมอกล้อมโอบดวงดารา
ในครานั้น โอ้… เลรีอา"
ในครานั้น ผมยาวเป็นลอนปลิวสยายไปกับสายหมอก ซึ่งค่อยๆม้วนตัวโอบร่างบริสุทธิ์งดงามขององค์หญิงอย่างนุ่มนวล แสงสีเหลืองนวลเปล่งปลั่งอยู่ในดวงหน้าขององค์หญิง ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าใกล้ องค์หญิงที่กำลังหลับตา สัมผัสถึงความอบอุ่นจากริมฝีปากแผ่ซ่านมายังใบหน้าจนแก้มทั้งสองข้างแดงระเรือ เป็นจูบแรกอันหวานซึ้งของเจ้าหญิงเลรีอา
(มีต่อ)