ที่นี่ที่ไหน!! ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ฉันหันมองไปทางซ้าย ทางขวา
เห็นเป็นถ้ำหินขนาดใหญ่ บรรยากาศรอบด้านนั้นเย็นยะเยือก มองไปรอบๆ เห็นข้างหลัง มีคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จัก ยืนจับกลุ่มกันอยู่ห้าคน แต่หนึ่งในนั้นกลับมีน้องของฉันอยู่ด้วย!! มีผู้ชายสามคน ผู้หญิงอีกหนึ่งคนและไอ้ตะวันน้องแฝดของฉัน
ที่มือของผู้ชายพวกนั้น ถือคบเพลิงที่เป็นไม้ยาวๆ คนละอัน ที่หัวไม้มีผ้าพันติดไฟอยู่ ทุกคนยืนอยู่บนหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่มาก เรียงห่างกันไปเป็นทางยาว หินนั้นสามารถยืนอยู่คนเดียวได้สบายๆ แต่หากยืนสองคนคงเบียดกันน่าดู ฉันมองลงไปข้างล่างเห็นเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ ดูแล้วน่าจะลึกมาก
ฉันที่ยังงงๆ อยู่ หันหน้ากลับไปที่เดิม มองตามหินที่เรียงเป็นทางยาวไปข้างหน้า มันไปสุดอยู่ที่แท่นหินขนาดใหญ่ เหมือนแท่นบูชาอะไรสักอย่าง บนแท่นหินนั้นมีบายศรีพญานาคขนาดใหญ่ที่ทำมาจากใบตอง ถูกวางเอาไว้ทั้งสองด้านบนแท่นหินนั้น และมีเทียนถูกจุดเอาไว้สามเล่ม ไฟลุกโชน อยู่กลางแท่นหิน อีกทั้งยังมีน้ำเปล่าและน้ำชาถูกวางตั้งไว้ด้วย พอมองไปข้างแท่นหินทั้งสองข้าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ก็จะเห็นอุโมงค์ที่มีทางลึกเข้าไปด้านใน
“
เดินไปสิ! จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” เสียงของผู้ชายที่ยืนอยู่บนหินด้านหลังของฉันพูดขึ้น ฉันหันไปมอง ด้วยความฉงนใจ
“
ถ้าไม่เดินไป ฉันจะเดินไปเอง” ผู้ชายคนเดิมพูดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทำท่าจะกระโดดก้าวมาข้างหน้า บนหินที่ฉันยืนอยู่
“
อย่านะป้อง! ถ้านายทำแบบนั้น ราตรีจะตกน้ำได้ หินมันก็เล็กนิดเดียวเอง ตัวนายใหญ่กว่าตั้งเยอะ ถ้ากระโดดเข้าไป ที่ยืนมันต้องไม่พอแน่ๆ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังทักขึ้น
แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจไม่ เขากระโดดก้าวขามายืนอยู่บนหิน อันเดียวกันกับฉัน จนฉันต้องรีบยกแขนทั้งสองข้างเข้าไปกอดร่างของเขาเอาไว้แน่น เพราะตัวของฉันเสียหลักจนเกือบจะตกลงไปในน้ำ
ฉันมองลงไปบนผืนน้ำ ด้วยความตกใจ เพราะเห็นในน้ำตรงที่มีแสงไฟจากคบเพลิงในมือของผู้ชายคนนี้ส่องลงไป มันมี
เงาของงูขนาดใหญ่สีเขียวออกดำๆ กำลังเลื้อยอยู่ในน้ำ
“
นี่!…จะกอดฉันอีกนานไหม ฉันจะไปข้างหน้าแล้ว ถ้ายังกอดกันอยู่แบบนี้ ไม่ฉันก็เธอ ได้ตกลงไปในน้ำแน่ๆ” เสียงของชายหนุ่มคนเดิมดังขึ้น เรียกสติของฉันให้กลับมา ฉันที่ยังอึ้งอยู่ ค่อยๆ คลายอ้อมแขนที่กอดเขาเอาไว้ออก
เมื่อเขาหลุดออกจากอ้อมกอดของฉัน ก็รีบกระโดดก้าวขาไปที่หินอันถัดไป ซึ่งอยู่ด้านหน้าของฉันทันที ฉันที่ยังอึนๆ งงๆ ปนตกใจกลัวอยู่นั้น ยังคงปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างมันผ่านไปเร็วมาก จนฉันงงไปหมด ได้แต่มองตามหลังของเขาไป
“
นี่ทุกคน!! ฉันเห็นงูอยู่ในน้ำเมื่อกี้ด้วย ตัวมันใหญ่มาก เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” เมื่อฉันเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว ฉันก็รีบบอกในสิ่งที่ตัวเองเห็น ให้พวกเขาฟังทันที เสียงที่ถูกเอ่ยออกมานั้นสั่นมาก จนน่าตกใจ ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ฉันถึงรู้สึกกลัวมาก สัญชาตญาณมันบอกว่ากำลังจะมีอันตรายเกิดขึ้น ต้องรีบออกไปจากตรงนี้
“
เธอจะบ้าเหรอ!! มาถึงขนาดนี้แล้ว เธอเป็นคนพาพวกเราเข้ามาเองนะ จะมาพูดแบบนี้ได้ยังไง”
“
ป้องกูว่าฟังที่พี่กูพูดไว้ดีกว่านะ ถ้าราตรีมันบอกว่าไม่ดี ก็คือไม่ดี อย่ารั้น!! ก็รู้นี่ ว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ฟัง” เสียงของตะวันดังขึ้น ฉันหันไปมองหน้าน้องของฉัน ที่ตอนนี้มันจ้องมองมาที่ฉันอยู่ ฉันกำลัง งงๆ กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตอนนี้รู้แค่ว่าฉันรู้สึกไม่ดีมากๆ เลย และจะต้องพาไอ้ตะวันหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“
ฉันก็ว่าเชื่อที่ราตรีบอกเถอะป้อง ที่เรามาถึงตรงนี้กันได้ ก็เพราะราตรีไม่ใช่เหรอ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหินข้างหน้าตะวันกล่าวเห็นด้วยอีกคน ชายหนุ่มที่ชื่อป้องได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วมองมาที่ฉัน เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“
ไม่ได้!! พวกต้องเดินต่อไป กูไม่ยอมหรอกนะ เข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว จะหยุดกลางคันได้ยังไง ออกไปข้างนอกตอนนี้ ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น ถ้าพวกจะออกไป ก็ออกไปกันเองเถอะ กูไม่ไปด้วยหรอก” เสียงของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่บนหินด้านหลังของฉันท้วงขึ้นมา
“
นายใจเย็นก่อนดิวะ อย่าเพิ่งใจร้อน” เสียงของชายหนุ่มที่ยืนรั้งท้ายสุดกล่าวขึ้น เพื่อรั้งสติเพื่อนของตน
“
ไม่!! นั่นแหละ หุบปากไป” ชายหนุ่มหันไปพูดกับเพื่อนของตนด้วยอารมณ์โมโห อยู่ดีๆ ก็มีเสียงแว่วดังขึ้นมา เป็นเสียงโทนทุ้มเข้ม ดุดัน และเนิบช้าของผู้ชาย น้ำเสียงฟังดูน่าจะมีอายุมากแล้ว ดังขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้
“
เข้ามาหาข้าสิ! เจ้าจะไปไหนกันล่ะเด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่เข้ามาหาข้า ทุกคนที่นี่จะต้องตายทั้งหมด!!! หึ หึ หึ” เสียงของชายแก่ปริศนาดังขึ้น ทำเอาฉันขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
“
ไม่!! ฉันไม่เข้าไปหรอก พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ไปเร็ว!! พวกเราต้องรีบออกไปจากตรงนี้” ฉันพูดตอบกลับเสียงนั้นออกไปทันที ก่อนที่จะหันไปพูดกับทุกคน
“
ไม่!!…เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เธอต้องเป็นคนนำทางเข้าไป เธอไม่ได้ยินเหรอราตรี ที่เขาพูดน่ะ ถ้าเธอไม่เข้าไปทุกคนที่นี่จะต้องตายกันหมด”
“
ไม่เอาน่า…พอได้แล้วไอ้นาย!! จะทำแบบนี้ไม่ได้” ชายหนุ่มที่ชื่อป้องพูดขัดขึ้น เมื่อคนที่ชื่อนายเขาพยายามดึงรั้งแขนของฉันเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ฉันกลับออกไป และพยายามผลักให้ฉันก้าวไปข้างหน้า
“
ได้! งั้นกูไปเอง” เมื่อนายพูดจบก็กระโดดก้าวขามายืนอยู่บนหินอันเดียวกันกับฉัน แล้วกระโดดก้าวขาต่อไปข้างหน้า ไปยืนอยู่บนหินอันเดียวกันกับป้อง
“
ไม่นะ!! หยุดเดี๋ยวนี้” ฉันตะโกนออกไปด้วยความตกใจ เพราะนายกระโดดเข้าไปยืนอยู่บนหินอันเดียวกันกับป้อง ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ก็ตัวใหญ่พอๆ กัน ถ้าไปยืนอยู่บนหินอันเดียวกันแบบนั้น ต้องตกลงไปในน้ำแน่ๆ
และแล้วก็เกิดความชุลมุนขึ้น เมื่อทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร ฉุดกระชากกันไปมาซ้ายที ขวาที จนทำให้ป้องเสียหลักตกลงไปในน้ำ
ตู้มม!!!...เสียงน้ำดังขึ้น
“
ป้อง!!!” ทุกคนร้องตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นป้องตกลงไปในน้ำ พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของนายที่เห็นอีกฝ่ายตกลงไป
“
พระเจ้า!!” ฉันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากเอาไว้
เมื่อเห็นหงอนขนาดใหญ่ และดวงตาสีเขียวเข้มดูดุดันของพญานาคตัวใหญ่ ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำ อยู่ทางด้านหลังของนายที่กำลังยืนหัวเราะอยู่ มันมองสบตามาที่ฉัน แล้วแผ่แม่เบี้ยออกมาอย่างน่ากลัว อ้าปากแล้วงับเข้าไปที่ตัวของนายแล้วพุ่งลงไปในน้ำ ลำตัวขนาดใหญ่นั้นเลื้อยเข้าไปในอุโมงค์ทางด้านซ้ายของแท่นบูชา
“
ป้องรีบขึ้นมาจากน้ำเดี๋ยวนี้!!” ป้องที่ตกตะลึงอยู่ หันมามองหน้าฉัน แล้วพยักหน้ารับ รีบปีนขึ้นมาจากน้ำทันที
“
อ๊ากกกกกก....โอ๊ยยยยยยย....เจ็บบบบ ช่วยด้วย ช่วยกูด้วย ใครก็ได้ช่วยกูด้วย” เสียงแว่วๆ ดังออกมาจากในอุโมงค์ทางด้านซ้ายที่พญานาคตัวนั้นเลื้อยเข้าไป
“ทำยังไงดี! ทำยังไงดี! ตายแน่ๆ พวกเราต้องตายแน่ๆ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
“
หญิง! ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดเยอะ ราตรีเอายังไงต่อดี” เสียงของตะวันพูดขึ้น ฉันหันไปมอง เห็นน้องของฉันที่กำลังบอกให้หญิงสาวตรงหน้าสงบลง แล้วจึงชะโงกหน้ามาพูดกับฉันต่อ
“พวกเราต้องไปช่วยนายนะ! จะออกไปแบบนี้ไม่ได้! นายยังอยู่ข้างในนั้น ขอร้องละ ช่วยเพื่อนของฉันด้วย ได้ยินไหม มันร้องขอให้พวกเราเข้าไปช่วยอยู่” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดพูดท้วงขึ้นมา ปิดทางไม่ยอมให้ทุกคนออกไปจากที่นี่
“
วินนายจะบ้าเหรอ!! นายไม่เห็นรึไง ว่านั่นมันพญานาคนะ! พญานาค! ตัวใหญ่มาก เพื่อนนายไม่รอดหรอก ถ้าพวกเราเข้าไปต้องตายกันหมดแน่ๆ” หญิงสาวที่ชื่อหญิงพูดขึ้น
“
ราตรี เอายังไงต่อดี” ป้องหันมาถามฉัน ทุกคนที่ได้ยินก็หันมามองที่ฉันกันหมด ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก พยายามที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยซ้ำ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านี้บ้าง ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร รู้จักแค่น้องของฉันไอ้ตะวันคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นก็พอจะรู้ว่าใครชื่ออะไรบ้าง ก็จากที่ทุกคนพูดคุยกันมา ตอนนี้ฉันต้องตั้งสติและแก้ไขสถานการณ์ว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“
งั้น...พวกเราลองเสี่ยงเข้าไปช่วยนายก่อนก็ได้ เพราะยังไงพวกเราก็ต้องเข้าไปในนั้นอยู่ดี ใช่ไหม? เพราะทางที่พวกเราต้องไป มันอยู่ข้างในนั้น ฉันจะเป็นคนสื่อสารกับเขาเอง ดูแล้วเขาคงต้องการตัวของฉันมากกว่า”
“จะบ้าเหรอราตรี!! ถ้าเข้าไป เราต้องตายกันหมดแน่ๆ / ทำไมพูดแบบนี้ล่ะราตรี!!” หญิงกับตะวันพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ถึงเราไม่เข้าไปตอนนี้ สุดท้ายเราก็ต้องเข้าไปอยู่ดี เพราะเขาไม่น่าจะยอมให้พวกเรากลับออกไปทางเดิมได้ง่ายๆ หรอก และจากเมื่อกี้ ฉันคิดว่าฉันสามารถสื่อสารกับเขาได้”
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเหรอ” ป้องถามขึ้น
“
ไม่มีหรอก ทางที่พวกเราต้องไป มีแค่ทางเลือกนี้ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งพวกเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ทางซ้ายหรือขวา แต่ลองเสี่ยงเข้าไปในอุโมงค์ทางด้านซ้ายก่อนก็ได้ ที่ที่พวกเราจะต้องไปอาจอยู่ทางนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ พวกเราทุกคนก็คงต้องเดินย้อนกลับออกมาเข้าอุโมงค์ทางด้านขวาแทน ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่ามันจะใช่จะได้ไม่เสียเวลา” เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็หันกลับไปมองทุกคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และมองไปที่น้องของฉัน เราทั้งสองคนมองสบตากัน
“
ยังไงถ้าพวกเราออกไปทางเดิม ที่พากันเข้ามาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้างนอกก็น่าจะอยู่ไม่ได้แล้ว จริงไหม ในเมื่อไปทางไหนก็ตาย งั้นก็เลือกแบบนี้แหละ อย่างน้อยๆ มันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่พวกเราจะรอดสูงมากกว่าออกไปข้างนอก” ฉันพูดขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ
ฉันหันกลับไปมองที่อุโมงค์ทางด้านซ้ายที่พญานาคตัวนั้น เลื้อยผ่านเข้าไป ตอนนี้เสียงร้องของนายนั้นได้เงียบหายไปแล้ว ก่อนที่จะกระโดดก้าวขาไปที่หินข้างหน้า นำทางทุกคนเข้าไปให้ถึง หน้าปากทางเข้าอุโมงค์ โดยมี
ป้อง หญิง ตะวัน และวิน ปิดท้ายตามมา
ขณะที่ฉันกระโดดก้าวข้ามไปข้างหน้าตามทางที่มีหินเรียงราย จนไปถึงหน้าปากทางเข้าอุโมงค์ปุ๊บ ไฟในอุโมงค์ก็ติดปั๊บ ไฟติดขึ้นมาเป็นทางยาวเข้าไปด้านใน ตามทางมีคบเพลิงติดตามกำแพงอุโมงค์เป็นทางยาวอยู่เต็มไปหมด ฉันมองเข้าไปด้านใน ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ก็ไม่เห็นทางสิ้นสุด บ่งบอกให้รู้ว่าอุโมงค์นี้ลึกมาก
เรายังคงเดินลุยน้ำเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านมาสักพักใหญ่ ฉันก็เห็นทางเดินเหลือน้ำแค่ปริ่มๆ ตื้นๆ ไล่เข้าไปเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นพื้นถ้ำ ตอนนี้พวกเราสามารถเดินบนพื้นดินได้แล้ว ฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“
ทุกคน!! ฉันเห็นทางสุดของน้ำแล้วนะ เดินลุยไปอีกนิดก็จะเป็นพื้นถ้ำสามารถเดินบนพื้นดินได้แล้ว” เมื่อฉันพูดจบทุกคนที่ได้ยิน ก็มีสีหน้าดีใจแล้วเริ่มมีเสียงพูดคุยโต้ตอบกันเป็นระยะๆ
“
ราตรี เธอว่าทางนี้จะไปถึงห้องนั้นไหม” ป้องหันมาถามฉันอย่างมีความหวัง
“
ฉันก็ไม่แน่ใจ อาจจะไปถึงหรือไม่ถึงก็ได้ (คิดในใจห้องอะไรวะ)” ป้องที่ได้ยินก็พยักหน้ารับและส่งยิ้มมาให้
เมื่อพวกเราเดินพ้นน้ำขึ้นบกมาได้ ทุกคนก็โล่งใจไปได้อีกเปลาะหนึ่ง ว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินอยู่ในน้ำที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรน่ากลัวอยู่ในน้ำหรือเปล่า พวกเราเดินตามทางไป เห็นรอยเลื้อยเปียกชื้นลากเป็นทางยาวเข้าไปด้านใน เดินไปสักพักก็ได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล พวกเราจึงพากันเดินไปตามเสียงนั้น
เมื่อเดินไปถึงด้านใน ก็เห็นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่แซมไปด้วยหินและต้นไม้อย่างสวยงาม แต่ตรงกลางน้ำตกนั้น กลับมีพญานาคขนาดใหญ่ ลำตัวเป็นสีเขียวมรกต ขดตัวชูหัวแผ่แม่เบี้ยรออยู่ ตรงพื้นหินกลางน้ำตกใหญ่ที่มีน้ำไหลลงมาอยู่นั้น ข้างหน้ามีร่างของนายที่อาบไปด้วยเลือดนอนนิ่งอยู่ มองดูก็รู้ได้ทันทีเลยว่านายคงไม่รอดแล้ว
“
มากันแล้วเหรอ ข้ารอเจ้าตั้งนาน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดไป แต่เจ้า!! จะต้องอยู่ที่นี่” เสียงของชายชราคนเดิมดังขึ้น ถึงเสียงที่กล่าวอ
มหาภัยพิบัติ 7 วันล้างโลก 📍ตอนที่ ๔ ความฝันที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง📍
ที่มือของผู้ชายพวกนั้น ถือคบเพลิงที่เป็นไม้ยาวๆ คนละอัน ที่หัวไม้มีผ้าพันติดไฟอยู่ ทุกคนยืนอยู่บนหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่มาก เรียงห่างกันไปเป็นทางยาว หินนั้นสามารถยืนอยู่คนเดียวได้สบายๆ แต่หากยืนสองคนคงเบียดกันน่าดู ฉันมองลงไปข้างล่างเห็นเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ ดูแล้วน่าจะลึกมาก
ฉันที่ยังงงๆ อยู่ หันหน้ากลับไปที่เดิม มองตามหินที่เรียงเป็นทางยาวไปข้างหน้า มันไปสุดอยู่ที่แท่นหินขนาดใหญ่ เหมือนแท่นบูชาอะไรสักอย่าง บนแท่นหินนั้นมีบายศรีพญานาคขนาดใหญ่ที่ทำมาจากใบตอง ถูกวางเอาไว้ทั้งสองด้านบนแท่นหินนั้น และมีเทียนถูกจุดเอาไว้สามเล่ม ไฟลุกโชน อยู่กลางแท่นหิน อีกทั้งยังมีน้ำเปล่าและน้ำชาถูกวางตั้งไว้ด้วย พอมองไปข้างแท่นหินทั้งสองข้าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ก็จะเห็นอุโมงค์ที่มีทางลึกเข้าไปด้านใน
“เดินไปสิ! จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” เสียงของผู้ชายที่ยืนอยู่บนหินด้านหลังของฉันพูดขึ้น ฉันหันไปมอง ด้วยความฉงนใจ
“ถ้าไม่เดินไป ฉันจะเดินไปเอง” ผู้ชายคนเดิมพูดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทำท่าจะกระโดดก้าวมาข้างหน้า บนหินที่ฉันยืนอยู่
“อย่านะป้อง! ถ้านายทำแบบนั้น ราตรีจะตกน้ำได้ หินมันก็เล็กนิดเดียวเอง ตัวนายใหญ่กว่าตั้งเยอะ ถ้ากระโดดเข้าไป ที่ยืนมันต้องไม่พอแน่ๆ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังทักขึ้น
แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจไม่ เขากระโดดก้าวขามายืนอยู่บนหิน อันเดียวกันกับฉัน จนฉันต้องรีบยกแขนทั้งสองข้างเข้าไปกอดร่างของเขาเอาไว้แน่น เพราะตัวของฉันเสียหลักจนเกือบจะตกลงไปในน้ำ
ฉันมองลงไปบนผืนน้ำ ด้วยความตกใจ เพราะเห็นในน้ำตรงที่มีแสงไฟจากคบเพลิงในมือของผู้ชายคนนี้ส่องลงไป มันมีเงาของงูขนาดใหญ่สีเขียวออกดำๆ กำลังเลื้อยอยู่ในน้ำ
“นี่!…จะกอดฉันอีกนานไหม ฉันจะไปข้างหน้าแล้ว ถ้ายังกอดกันอยู่แบบนี้ ไม่ฉันก็เธอ ได้ตกลงไปในน้ำแน่ๆ” เสียงของชายหนุ่มคนเดิมดังขึ้น เรียกสติของฉันให้กลับมา ฉันที่ยังอึ้งอยู่ ค่อยๆ คลายอ้อมแขนที่กอดเขาเอาไว้ออก
เมื่อเขาหลุดออกจากอ้อมกอดของฉัน ก็รีบกระโดดก้าวขาไปที่หินอันถัดไป ซึ่งอยู่ด้านหน้าของฉันทันที ฉันที่ยังอึนๆ งงๆ ปนตกใจกลัวอยู่นั้น ยังคงปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างมันผ่านไปเร็วมาก จนฉันงงไปหมด ได้แต่มองตามหลังของเขาไป
“นี่ทุกคน!! ฉันเห็นงูอยู่ในน้ำเมื่อกี้ด้วย ตัวมันใหญ่มาก เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” เมื่อฉันเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว ฉันก็รีบบอกในสิ่งที่ตัวเองเห็น ให้พวกเขาฟังทันที เสียงที่ถูกเอ่ยออกมานั้นสั่นมาก จนน่าตกใจ ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ฉันถึงรู้สึกกลัวมาก สัญชาตญาณมันบอกว่ากำลังจะมีอันตรายเกิดขึ้น ต้องรีบออกไปจากตรงนี้
“เธอจะบ้าเหรอ!! มาถึงขนาดนี้แล้ว เธอเป็นคนพาพวกเราเข้ามาเองนะ จะมาพูดแบบนี้ได้ยังไง”
“ป้องกูว่าฟังที่พี่กูพูดไว้ดีกว่านะ ถ้าราตรีมันบอกว่าไม่ดี ก็คือไม่ดี อย่ารั้น!! ก็รู้นี่ ว่าจะเป็นยังไงถ้าไม่ฟัง” เสียงของตะวันดังขึ้น ฉันหันไปมองหน้าน้องของฉัน ที่ตอนนี้มันจ้องมองมาที่ฉันอยู่ ฉันกำลัง งงๆ กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตอนนี้รู้แค่ว่าฉันรู้สึกไม่ดีมากๆ เลย และจะต้องพาไอ้ตะวันหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“ฉันก็ว่าเชื่อที่ราตรีบอกเถอะป้อง ที่เรามาถึงตรงนี้กันได้ ก็เพราะราตรีไม่ใช่เหรอ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหินข้างหน้าตะวันกล่าวเห็นด้วยอีกคน ชายหนุ่มที่ชื่อป้องได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วมองมาที่ฉัน เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“ไม่ได้!! พวกต้องเดินต่อไป กูไม่ยอมหรอกนะ เข้ามาถึงขนาดนี้แล้ว จะหยุดกลางคันได้ยังไง ออกไปข้างนอกตอนนี้ ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น ถ้าพวกจะออกไป ก็ออกไปกันเองเถอะ กูไม่ไปด้วยหรอก” เสียงของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่บนหินด้านหลังของฉันท้วงขึ้นมา
“นายใจเย็นก่อนดิวะ อย่าเพิ่งใจร้อน” เสียงของชายหนุ่มที่ยืนรั้งท้ายสุดกล่าวขึ้น เพื่อรั้งสติเพื่อนของตน
“ไม่!! นั่นแหละ หุบปากไป” ชายหนุ่มหันไปพูดกับเพื่อนของตนด้วยอารมณ์โมโห อยู่ดีๆ ก็มีเสียงแว่วดังขึ้นมา เป็นเสียงโทนทุ้มเข้ม ดุดัน และเนิบช้าของผู้ชาย น้ำเสียงฟังดูน่าจะมีอายุมากแล้ว ดังขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้
“เข้ามาหาข้าสิ! เจ้าจะไปไหนกันล่ะเด็กน้อย ถ้าเจ้าไม่เข้ามาหาข้า ทุกคนที่นี่จะต้องตายทั้งหมด!!! หึ หึ หึ” เสียงของชายแก่ปริศนาดังขึ้น ทำเอาฉันขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
“ไม่!! ฉันไม่เข้าไปหรอก พวกเราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ไปเร็ว!! พวกเราต้องรีบออกไปจากตรงนี้” ฉันพูดตอบกลับเสียงนั้นออกไปทันที ก่อนที่จะหันไปพูดกับทุกคน
“ไม่!!…เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เธอต้องเป็นคนนำทางเข้าไป เธอไม่ได้ยินเหรอราตรี ที่เขาพูดน่ะ ถ้าเธอไม่เข้าไปทุกคนที่นี่จะต้องตายกันหมด”
“ไม่เอาน่า…พอได้แล้วไอ้นาย!! จะทำแบบนี้ไม่ได้” ชายหนุ่มที่ชื่อป้องพูดขัดขึ้น เมื่อคนที่ชื่อนายเขาพยายามดึงรั้งแขนของฉันเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ให้ฉันกลับออกไป และพยายามผลักให้ฉันก้าวไปข้างหน้า
“ได้! งั้นกูไปเอง” เมื่อนายพูดจบก็กระโดดก้าวขามายืนอยู่บนหินอันเดียวกันกับฉัน แล้วกระโดดก้าวขาต่อไปข้างหน้า ไปยืนอยู่บนหินอันเดียวกันกับป้อง
“ไม่นะ!! หยุดเดี๋ยวนี้” ฉันตะโกนออกไปด้วยความตกใจ เพราะนายกระโดดเข้าไปยืนอยู่บนหินอันเดียวกันกับป้อง ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ก็ตัวใหญ่พอๆ กัน ถ้าไปยืนอยู่บนหินอันเดียวกันแบบนั้น ต้องตกลงไปในน้ำแน่ๆ
และแล้วก็เกิดความชุลมุนขึ้น เมื่อทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร ฉุดกระชากกันไปมาซ้ายที ขวาที จนทำให้ป้องเสียหลักตกลงไปในน้ำ
ตู้มม!!!...เสียงน้ำดังขึ้น
“ป้อง!!!” ทุกคนร้องตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นป้องตกลงไปในน้ำ พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของนายที่เห็นอีกฝ่ายตกลงไป
“พระเจ้า!!” ฉันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากเอาไว้ เมื่อเห็นหงอนขนาดใหญ่ และดวงตาสีเขียวเข้มดูดุดันของพญานาคตัวใหญ่ ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากน้ำ อยู่ทางด้านหลังของนายที่กำลังยืนหัวเราะอยู่ มันมองสบตามาที่ฉัน แล้วแผ่แม่เบี้ยออกมาอย่างน่ากลัว อ้าปากแล้วงับเข้าไปที่ตัวของนายแล้วพุ่งลงไปในน้ำ ลำตัวขนาดใหญ่นั้นเลื้อยเข้าไปในอุโมงค์ทางด้านซ้ายของแท่นบูชา
“ป้องรีบขึ้นมาจากน้ำเดี๋ยวนี้!!” ป้องที่ตกตะลึงอยู่ หันมามองหน้าฉัน แล้วพยักหน้ารับ รีบปีนขึ้นมาจากน้ำทันที
“อ๊ากกกกกก....โอ๊ยยยยยยย....เจ็บบบบ ช่วยด้วย ช่วยกูด้วย ใครก็ได้ช่วยกูด้วย” เสียงแว่วๆ ดังออกมาจากในอุโมงค์ทางด้านซ้ายที่พญานาคตัวนั้นเลื้อยเข้าไป
“ทำยังไงดี! ทำยังไงดี! ตายแน่ๆ พวกเราต้องตายแน่ๆ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น
“หญิง! ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดเยอะ ราตรีเอายังไงต่อดี” เสียงของตะวันพูดขึ้น ฉันหันไปมอง เห็นน้องของฉันที่กำลังบอกให้หญิงสาวตรงหน้าสงบลง แล้วจึงชะโงกหน้ามาพูดกับฉันต่อ
“พวกเราต้องไปช่วยนายนะ! จะออกไปแบบนี้ไม่ได้! นายยังอยู่ข้างในนั้น ขอร้องละ ช่วยเพื่อนของฉันด้วย ได้ยินไหม มันร้องขอให้พวกเราเข้าไปช่วยอยู่” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดพูดท้วงขึ้นมา ปิดทางไม่ยอมให้ทุกคนออกไปจากที่นี่
“วินนายจะบ้าเหรอ!! นายไม่เห็นรึไง ว่านั่นมันพญานาคนะ! พญานาค! ตัวใหญ่มาก เพื่อนนายไม่รอดหรอก ถ้าพวกเราเข้าไปต้องตายกันหมดแน่ๆ” หญิงสาวที่ชื่อหญิงพูดขึ้น
“ราตรี เอายังไงต่อดี” ป้องหันมาถามฉัน ทุกคนที่ได้ยินก็หันมามองที่ฉันกันหมด ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก พยายามที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยซ้ำ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาก่อนหน้านี้บ้าง ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร รู้จักแค่น้องของฉันไอ้ตะวันคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นก็พอจะรู้ว่าใครชื่ออะไรบ้าง ก็จากที่ทุกคนพูดคุยกันมา ตอนนี้ฉันต้องตั้งสติและแก้ไขสถานการณ์ว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“งั้น...พวกเราลองเสี่ยงเข้าไปช่วยนายก่อนก็ได้ เพราะยังไงพวกเราก็ต้องเข้าไปในนั้นอยู่ดี ใช่ไหม? เพราะทางที่พวกเราต้องไป มันอยู่ข้างในนั้น ฉันจะเป็นคนสื่อสารกับเขาเอง ดูแล้วเขาคงต้องการตัวของฉันมากกว่า”
“จะบ้าเหรอราตรี!! ถ้าเข้าไป เราต้องตายกันหมดแน่ๆ / ทำไมพูดแบบนี้ล่ะราตรี!!” หญิงกับตะวันพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“ถึงเราไม่เข้าไปตอนนี้ สุดท้ายเราก็ต้องเข้าไปอยู่ดี เพราะเขาไม่น่าจะยอมให้พวกเรากลับออกไปทางเดิมได้ง่ายๆ หรอก และจากเมื่อกี้ ฉันคิดว่าฉันสามารถสื่อสารกับเขาได้”
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเหรอ” ป้องถามขึ้น
“ไม่มีหรอก ทางที่พวกเราต้องไป มีแค่ทางเลือกนี้ทางเดียวเท่านั้น ซึ่งพวกเราก็ไม่รู้ว่าอยู่ทางซ้ายหรือขวา แต่ลองเสี่ยงเข้าไปในอุโมงค์ทางด้านซ้ายก่อนก็ได้ ที่ที่พวกเราจะต้องไปอาจอยู่ทางนั้น แต่ถ้าไม่ใช่ พวกเราทุกคนก็คงต้องเดินย้อนกลับออกมาเข้าอุโมงค์ทางด้านขวาแทน ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่ามันจะใช่จะได้ไม่เสียเวลา” เมื่อฉันพูดจบ ฉันก็หันกลับไปมองทุกคนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และมองไปที่น้องของฉัน เราทั้งสองคนมองสบตากัน
“ยังไงถ้าพวกเราออกไปทางเดิม ที่พากันเข้ามาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้างนอกก็น่าจะอยู่ไม่ได้แล้ว จริงไหม ในเมื่อไปทางไหนก็ตาย งั้นก็เลือกแบบนี้แหละ อย่างน้อยๆ มันก็มีเปอร์เซ็นต์ที่พวกเราจะรอดสูงมากกว่าออกไปข้างนอก” ฉันพูดขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ
ฉันหันกลับไปมองที่อุโมงค์ทางด้านซ้ายที่พญานาคตัวนั้น เลื้อยผ่านเข้าไป ตอนนี้เสียงร้องของนายนั้นได้เงียบหายไปแล้ว ก่อนที่จะกระโดดก้าวขาไปที่หินข้างหน้า นำทางทุกคนเข้าไปให้ถึง หน้าปากทางเข้าอุโมงค์ โดยมีป้อง หญิง ตะวัน และวิน ปิดท้ายตามมา
ขณะที่ฉันกระโดดก้าวข้ามไปข้างหน้าตามทางที่มีหินเรียงราย จนไปถึงหน้าปากทางเข้าอุโมงค์ปุ๊บ ไฟในอุโมงค์ก็ติดปั๊บ ไฟติดขึ้นมาเป็นทางยาวเข้าไปด้านใน ตามทางมีคบเพลิงติดตามกำแพงอุโมงค์เป็นทางยาวอยู่เต็มไปหมด ฉันมองเข้าไปด้านใน ไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ก็ไม่เห็นทางสิ้นสุด บ่งบอกให้รู้ว่าอุโมงค์นี้ลึกมาก
เรายังคงเดินลุยน้ำเข้าไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านมาสักพักใหญ่ ฉันก็เห็นทางเดินเหลือน้ำแค่ปริ่มๆ ตื้นๆ ไล่เข้าไปเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นพื้นถ้ำ ตอนนี้พวกเราสามารถเดินบนพื้นดินได้แล้ว ฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ทุกคน!! ฉันเห็นทางสุดของน้ำแล้วนะ เดินลุยไปอีกนิดก็จะเป็นพื้นถ้ำสามารถเดินบนพื้นดินได้แล้ว” เมื่อฉันพูดจบทุกคนที่ได้ยิน ก็มีสีหน้าดีใจแล้วเริ่มมีเสียงพูดคุยโต้ตอบกันเป็นระยะๆ
“ราตรี เธอว่าทางนี้จะไปถึงห้องนั้นไหม” ป้องหันมาถามฉันอย่างมีความหวัง
“ฉันก็ไม่แน่ใจ อาจจะไปถึงหรือไม่ถึงก็ได้ (คิดในใจห้องอะไรวะ)” ป้องที่ได้ยินก็พยักหน้ารับและส่งยิ้มมาให้
เมื่อพวกเราเดินพ้นน้ำขึ้นบกมาได้ ทุกคนก็โล่งใจไปได้อีกเปลาะหนึ่ง ว่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินอยู่ในน้ำที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรน่ากลัวอยู่ในน้ำหรือเปล่า พวกเราเดินตามทางไป เห็นรอยเลื้อยเปียกชื้นลากเป็นทางยาวเข้าไปด้านใน เดินไปสักพักก็ได้ยินเหมือนเสียงน้ำไหล พวกเราจึงพากันเดินไปตามเสียงนั้น
เมื่อเดินไปถึงด้านใน ก็เห็นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่แซมไปด้วยหินและต้นไม้อย่างสวยงาม แต่ตรงกลางน้ำตกนั้น กลับมีพญานาคขนาดใหญ่ ลำตัวเป็นสีเขียวมรกต ขดตัวชูหัวแผ่แม่เบี้ยรออยู่ ตรงพื้นหินกลางน้ำตกใหญ่ที่มีน้ำไหลลงมาอยู่นั้น ข้างหน้ามีร่างของนายที่อาบไปด้วยเลือดนอนนิ่งอยู่ มองดูก็รู้ได้ทันทีเลยว่านายคงไม่รอดแล้ว
“มากันแล้วเหรอ ข้ารอเจ้าตั้งนาน ข้าจะปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดไป แต่เจ้า!! จะต้องอยู่ที่นี่” เสียงของชายชราคนเดิมดังขึ้น ถึงเสียงที่กล่าวอ