แพรว
ล. วิลิศมาหรา
แสงไฟสีซีดบนเสาไฟฟ้าต้นสูงส่องต้องร่างผอมบางของหญิงสาวคนหนึ่ง ในยามดึกของคืนเดือนแรม เธอนั่งสงบนิ่งปล่อยให้เรือนผมยาวปลิวสยายตามแรงลมอยู่บนราวสะพานทอดข้ามแม่น้ำด้านล่าง
ดูเหมือนว่าเธอกำลังจ้องมองลงไปยังสายน้ำไหลเรื่อยแช่มช้าในลำน้ำกว้าง ซึ่งใคร ๆ ต่างทราบดีว่ามันมีความลึกล้ำเชี่ยวกรากอยู่ข้างใต้...และในอีกวินาทีถัดมา บนราวสะพานแห่งนั้นก็ว่างเปล่า ไม่ปรากฏร่างใครให้เห็นบนนั้นอีกเลย
บนเบาะที่นั่งรถไฟสายเหนือ ซึ่งกำลังแล่นเข้าจอดสถานีสุดท้ายก่อนถึงหัวลำโพง แพรว หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีนั่งใจลอย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ เธอกลับจากไปเยี่ยมบ้านในต่างจังหวัดช่วงสงกรานต์เหมือนกับคนอื่นบนขบวนรถ ซึ่งพอหมดเวลาพักผ่อนแล้ว ก็พากันเดินทางกลับมาทำงานในเมืองหลวงตามเดิม ทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องและพ่อแม่ญาติพี่น้องไว้เบื้องหลัง ต่อเมื่อถึงวันหยุดยาวครั้งใหม่ถึงค่อยได้มาเจอกันอีก
แต่แพรวอาจแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง ตรงที่คราวนี้คงเป็นการกลับไปเยี่ยมบ้านเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเธอเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปเธอจะไม่มี ‘บ้าน’ ให้กลับอีก เพราะเมื่อคุณอารี หญิงชราผู้ใจดี ที่อุปการะเธอไว้ตั้งแต่เธอยังเล็กได้เสียชีวิตลง บ้านก็เหลือเพียงคุณอุทิศ ผู้ซึ่งไม่ยอมให้เด็กที่ตัวเองกับภรรยาเก็บมาเลี้ยง เรียกพวกตนว่าพ่อแม่เลยสักครั้ง กับลูกสาววัยไล่เลี่ยกับแพรวอีกคนหนึ่ง หล่อนเป็นลูกอิจฉาซึ่งเกิดมาหลังจากสองสามีภรรยาไปขอแพรวจากบ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยง หล่อนอ่อนกว่าแพรวไปห้าปี ซึ่งพ่อลูกคู่นี้มักทำตัวเป็นเจ้านายมากกว่าจะนับเธอเป็นญาติ แพรวจึงไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่อีก นอกจากมารดน้ำดำหัวตามประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ แก่คนที่เคยเลี้ยงดูตัวเองมาเท่านั้น
แต่ทันทีที่ชายวัยไม้ใกล้ฝั่งเข้ามาเอามือจับสะโพกของเธอจากทางด้านหลัง ขณะกำลังยืนทำอาหารมื้อเย็นให้ทุกคนกินอยู่ในครัว หญิงสาวก็หันมาปะทะคารมด้วยอย่างดุเดือด นักบุญในคราบซาตานเกิดเคืองจัด ที่เธอไม่ยอมเออออไปด้วย กับความประสงค์อันสกปรกโสมมของตัวเอง จึงไล่ตะเพิดเธอให้ออกไปพ้นจากบ้าน โทษฐานที่เป็นคนเนรคุณ
แพรวเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดยัดลงกระเป๋าแล้วเตลิดหนีออกจากที่นั่นทันที โดยไม่รีรออะไรอีก
เสียงหวูดรถไฟดังสนั่นเมื่อเข้าเทียบชานชาลา ปลุกหญิงสาวที่กำลังนั่งเหม่อให้ตื่นจากภวังค์ เธอชะเง้อมองป้ายสถานีรถไฟนอกหน้าต่างรถ ก็พบว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ร่างผอมบางยืดตัวขึ้น เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมลงจากชั้นวางเหนือศีรษะ เตรียมพร้อมจะลงจากพาหนะทันทีที่เข้าเทียบท่าปลายทางสุดท้าย พอนั่งลงอีกครั้งเธอก็ล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบเล็กออกมาเปิด
กดหาชื่อของปวุฒิ เพื่อบอกเขาว่าเธอเดินทางกลับเร็วกว่ากำหนด เพื่อนชายคนสนิทรับสายทันที เหมือนกับทุกครั้งที่เธอโทร.หา เขามีน้ำเสียงดีใจเมื่อรู้ว่าเธอกำลังเดินทางกลับมา บอกว่าคิดถึงอยู่พอดี ปวุฒิไม่ต้องเทียวไปไหนเพราะบ้านเขาอยู่ในกรุงเทพอยู่แล้ว
น้ำตารื้นขอบตา ขณะพึมพำขอบใจเขาไปทางโทรศัพท์ โชคดีที่โลกนี้ยังเหลือปวุฒิไว้ให้เธออยู่ เขาดีกับเธอเสมอมา เขากับเธอเรียนจบคณะออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เดียวกันในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ปวุฒิชวนเธอให้ทดลองมาทำงานในบริษัทออกแบบพร้อมกับเขา แต่เขาทำงานเก่งจนได้เลื่อนจากพนักงานฝึกหัดมาเป็นพนักงานประจำของบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับเงินเดือนพร้อมสวัสดิการครบครัน เหลือแต่เธอเท่านั้นที่ยังต้องอยู่ในช่วงทดลองงานไปก่อน จนกว่าผู้จัดการบริษัทจะพอใจและบรรจุให้เป็นพนักงานประจำเสียที แต่ถึงอย่างไรทางบริษัทก็จ่ายเงินให้เธอตามชั่วโมงการทำงาน
เธอสนิทกับปวุฒิมาก และแอบคิดกับเขาเกินเพื่อน ซึ่งไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า เพราะจากท่าทีสนิทสนมเป็นปกติของเขา เธอเองก็ดูไม่ออก แต่ก็หวังลึก ๆ ในใจ เขาจะคิดเหมือนกันกับตัวเอง
แพรวถอนสะอื้นเบา ๆ ยิ้มทั้งน้ำตาให้โทรศัพท์ในมือ แม้เจอเหตุการณ์เลวร้ายมาเท่าใด หรือเจอปัญหาร้อยแปดพันประการ...ขอแค่มีปวุฒิอยู่เคียงข้างเท่านั้น ยามเมื่อเจอปัญหาแล้วมีเขาคอยพูดปลอบโยนให้กำลังใจ ชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างของเธอก็ดูเหมือนมีความหมายขึ้นมา ส่วนเธอก็ตอบแทนเขาบ้าง ด้วยเรื่องเงินทองเล็กน้อย ที่บางครั้งเขาอาจขาดมือ เพราะเป็นคนค่อนข้างใช้จ่ายมือเติบ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างกัน เพราะถึงปวุฒิจะใช้เงินคืนเธอบ้าง ไม่คืนบ้าง เธอก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก สำหรับการกินอยู่ของผู้หญิงตัวคนเดียว...
“ไง ไปบ้านมาสนุกไหม” เขาถามต่อเมื่อเห็นเธอเงียบไป
“ก็...สนุกดี ไม่ได้กลับไปนานแล้ว พอได้เจอ...พ่อ ท่านก็ดีใจ”
ตอบเพื่อนไปแบบนั้น เพราะปวุฒิเคยรับรู้จากปากเธอว่า พ่อแม่บุญธรรมรักเธอมาก เลี้ยงดูจนโตและส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเสียทีเดียว สองสามีภรรยาเลี้ยงดูเธอในฐานะเด็กในบ้านเท่านั้น ส่งเสียให้เล่าเรียนก็จริง แต่ต้องแลกกับการทำงานหนักทั้งในบ้านและในสวนผลไม้มาตั้งแต่เล็กจนโต โดยลูกแท้ ๆ ของคนทั้งคู่แทบไม่หยิบจับอะไรเลย เธอทำงานใช้หนี้บุญคุณโดยไม่มีค่าจ้างค่าแรงใด ๆ ตั้งแต่เริ่มจำความได้ จนกระทั่งเรียนจบ และคุณอารีตายจากไป เธอจึงออกมาหางานทำที่กรุงเทพ ซึ่งบุญคุณที่ถูกเรียกร้องต่อจากนั้นมันมากไป เมื่อตาเฒ่าตัณหากลับคิดอยากให้เธอตอบแทนอีก ด้วยพรหมจารีของเธอเอง แพรวจึงคิดว่ามันสมควรหมดไปได้แล้ว
“พอจะกลับก็คะยั้นคะยอให้อยู่ต่อ แต่ฉันห่วงงานที่เคยคุยกันไว้ก็เลยรีบกลับ ไม่ทันเอาของฝากอะไรมาสักอย่าง อยากกลับให้ทันวันนี้น่ะ”
น้ำใสคลอดวงตาโตบนใบหน้าเรียว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดของร่างผอมบาง สีผิวออกคล้ำ แตกต่างจากคนในบ้านคนอื่นโดยสิ้นเชิง แพรวพูดปดเพื่อน บังคับน้ำเสียงให้ร่าเริง ปิดบังร่องรอยหม่นหมองในใจที่อาจเล็ดลอดหลุดออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้รอเอาของฝากจากแกสักหน่อย...แกกลับมาเร็วก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องอยากเล่าอยู่พอดี เอาเรื่องงานก่อน ...” ปวุฒิเริ่มเล่าเหมือนอดรนทนไม่ไหว
“โพรเจกต์ที่เราสามคนช่วยกันคิด ต้อยติ่งเอาไปเสนอให้ผู้จัดการดูถึงบ้าน ในช่วงหยุดสงกรานต์แล้วล่ะ เขาเห็นดีด้วย ชมใหญ่เลยว่ากู๊ดไอเดีย เขาตกลงรับต้อยติ่งเป็นพนักงานประจำแล้วนะ”
“อ้าว แล้วฉันล่ะ” แพรวเบิกตาโต ถามเพื่อนเสียงดัง แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าเพื่อนสาวในที่ทำงานจะทำแบบนี้กับเธอได้ลงคอ โพรเจกต์นั้นเธอเป็นคนต้นคิด แล้วชวนปวุฒิกับต้อยติ่งมาช่วยคิดต่อ ตกลงกันว่าจะเอาไปนำเสนอผู้จัดการด้วยกัน หลังวันหยุดสงกรานต์
“ฉันก็ไม่เข้าใจต้อยติ่งมันเหมือนกัน เห็นมาเล่าว่า ที่นี่ผู้จัดการรับพนักงานประจำได้อีกแค่คนเดียว ส่วนแกคงต้องไปหาที่ทำงานใหม่แล้วล่ะ แต่เดี๋ยวยังไงฉันจะช่วยตามเรื่องให้อีกที”
“ต้อยติ่งทำไม่ถูก เขาทำอย่างนั้นได้ยังไง ทำไมไม่รอฉันกลับมาก่อน ฉันเป็นคนเริ่มต้นโพรเจกต์แท้ ๆ”
แพรวเอะอะออกมา จุกแน่นในลำคอเหมือนมีก้อนแข็งมาอุดอยู่ ตกใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ เธอถูกเพื่อนสาวหักหลังเอาอย่างเจ็บปวดที่สุด
“ได้ยินทีแรกฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน รู้สึกไม่ดีกับต้อยติ่ง ว่าจะโทรไปเล่าให้ฟังหลายครั้งแล้ว แต่กลัวจะทำให้เสียบรรยากาศสนุกที่บ้านของแกหมด ก็เลยรอให้กลับมาก่อนดีกว่า แต่ไม่เป็นไร ฉันจะพยายามช่วยพูดกับผู้จัดการให้ ว่าแกทำงานดี เขาอาจบรรจุเข้าทำงานได้อีกคน”
“คอยดูนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปถามต้อยติ่งถึงหอพัก ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าทำเข้าไปได้ยังไง” แพรวลงเสียงหนักอย่างมีอารมณ์ นึกโมโหเพื่อนจนควันออกหู
“อืม...แต่แกอย่าโวยวายมากไป มันไม่เป็นผลดีกับแก ยังไงเราก็ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน ฉันว่าแกค่อย ๆ แย้มว่ามันเป็นความคิดของแกดีกว่า แล้วคิดโพรเจกต์ใหม่ออกมาเสนอผู้จัดการอีก แต่วันนี้ช่างมันก่อนเถอะ แกเพิ่งมาถึงใหม่ ๆ ไปพักให้หายเหนื่อยก่อน ฉันเป็นห่วงแกนะ”
ปวุฒิพูดปลอบ คำพูดของเขามีเหตุผล กับทั้งท่าทีห่วงใยอาทรของเขา ทำให้โทสะของเธอค่อยบรรเทาลง แพรวถอนหายใจยาว รู้สึกปลงอนิจจังกับเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นติดกัน
แต่ช่างมันเถอะ ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ของปลอมยังไงก็สู้ของแท้ไม่ได้...สติปัญญายังมี เดี๋ยวค่อยคิดโพรเจกต์ใหม่ออกมาอีกอย่างที่ปวุฒิบอก เอาให้เด็ดกว่าเก่าจนคนหน้าด้านอายม้วนไปเลย
“ยังมีอีกเรื่องนะแพรว คราวนี้เป็นเรื่องของฉันกับนิ้ง” ปวุฒิเล่าต่อ เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่สดชื่นแจ่มใส จนอีกฝ่ายรู้สึกได้
“ข่าวดีเหรอ ข่าวดีอะไร” ซึ่งคนฟังกลับใจหายวูบ ถามอย่างนึกสังหรณ์ใจ ปวุฒิเอ่ยถึงชื่อพนักงานสาวสวยคนหนึ่งในบริษัทขึ้นมาทำไม...
“ฉันคิดว่ากล้าพอที่จะขอเดทกับนิ้งแล้วล่ะ คือว่าฉันจะชวนนิ้งไปดูหนังคืนนี้น่ะ แล้วจะพาไปเลี้ยงข้าวต่อ ฉันอยากให้เดทแรกของเราประทับใจที่สุด ฉันแอบชอบนิ้งมานาน จะสารภาพกับเขาวันนี้แหละแก”
แพรวรู้สึกว่าตัวเองกำลังเมา ร่างแบบบางนั่งอยู่บนสตูลในบาร์เหล้าหน้าบริษัท ลำตัวโอนเอนไปมา ขณะเพ่งสายตาพร่าพรายมองแก้วเหล้าในมือ...ฉันกำลังอกหัก...หญิงสาวบอกตัวเองอย่างหม่นหมองตรอมตรม ขืนตัวให้ตั้งตรง ขณะสะอึกสองสามครั้ง ก่อนพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงลำคอ กระดกน้ำสีอำพันตามลงไปจนหมดแก้ว หมายใจจะให้น้ำเมาชะล้างเอาความโศกเศร้าขมขื่นทิ้งไปให้หมด
เจ็บปวดเหลือเกินกับความผิดหวังซ้ำซาก ทรมานใจอะไรอย่างนี้ เมื่อต้องทนเผชิญกับมันครั้งแล้วครั้งเล่า ปวุฒิ...ที่พักพิงทางใจสุดท้ายของเธอก็กำลังจะกลายเป็นของคนอื่น เขาเป็นของคนอื่นไปแล้วจริง ๆ ต่อหน้าต่อตาเธอวันนี้เอง
เมื่อก่อนทุกวันหลังเลิกงาน ปวุฒิจะรอกลับบ้านพร้อมกันกับเธอ แต่วันนี้เขากลับไปกับแฟนสาวแสนสวยของเขาที่ชื่อนิ้ง แพรวหันหลังให้ภาพบาดตานั้นทันที ก่อนดุ่มเดินเข้าบาร์เหล้าแทนที่จะกลับเข้าห้องพัก
(มีต่อ)
แพรว...
ล. วิลิศมาหรา
แสงไฟสีซีดบนเสาไฟฟ้าต้นสูงส่องต้องร่างผอมบางของหญิงสาวคนหนึ่ง ในยามดึกของคืนเดือนแรม เธอนั่งสงบนิ่งปล่อยให้เรือนผมยาวปลิวสยายตามแรงลมอยู่บนราวสะพานทอดข้ามแม่น้ำด้านล่าง
ดูเหมือนว่าเธอกำลังจ้องมองลงไปยังสายน้ำไหลเรื่อยแช่มช้าในลำน้ำกว้าง ซึ่งใคร ๆ ต่างทราบดีว่ามันมีความลึกล้ำเชี่ยวกรากอยู่ข้างใต้...และในอีกวินาทีถัดมา บนราวสะพานแห่งนั้นก็ว่างเปล่า ไม่ปรากฏร่างใครให้เห็นบนนั้นอีกเลย
บนเบาะที่นั่งรถไฟสายเหนือ ซึ่งกำลังแล่นเข้าจอดสถานีสุดท้ายก่อนถึงหัวลำโพง แพรว หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีนั่งใจลอย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ เธอกลับจากไปเยี่ยมบ้านในต่างจังหวัดช่วงสงกรานต์เหมือนกับคนอื่นบนขบวนรถ ซึ่งพอหมดเวลาพักผ่อนแล้ว ก็พากันเดินทางกลับมาทำงานในเมืองหลวงตามเดิม ทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องและพ่อแม่ญาติพี่น้องไว้เบื้องหลัง ต่อเมื่อถึงวันหยุดยาวครั้งใหม่ถึงค่อยได้มาเจอกันอีก
แต่แพรวอาจแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้าง ตรงที่คราวนี้คงเป็นการกลับไปเยี่ยมบ้านเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเธอเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปเธอจะไม่มี ‘บ้าน’ ให้กลับอีก เพราะเมื่อคุณอารี หญิงชราผู้ใจดี ที่อุปการะเธอไว้ตั้งแต่เธอยังเล็กได้เสียชีวิตลง บ้านก็เหลือเพียงคุณอุทิศ ผู้ซึ่งไม่ยอมให้เด็กที่ตัวเองกับภรรยาเก็บมาเลี้ยง เรียกพวกตนว่าพ่อแม่เลยสักครั้ง กับลูกสาววัยไล่เลี่ยกับแพรวอีกคนหนึ่ง หล่อนเป็นลูกอิจฉาซึ่งเกิดมาหลังจากสองสามีภรรยาไปขอแพรวจากบ้านเด็กกำพร้ามาเลี้ยง หล่อนอ่อนกว่าแพรวไปห้าปี ซึ่งพ่อลูกคู่นี้มักทำตัวเป็นเจ้านายมากกว่าจะนับเธอเป็นญาติ แพรวจึงไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่อีก นอกจากมารดน้ำดำหัวตามประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ แก่คนที่เคยเลี้ยงดูตัวเองมาเท่านั้น
แต่ทันทีที่ชายวัยไม้ใกล้ฝั่งเข้ามาเอามือจับสะโพกของเธอจากทางด้านหลัง ขณะกำลังยืนทำอาหารมื้อเย็นให้ทุกคนกินอยู่ในครัว หญิงสาวก็หันมาปะทะคารมด้วยอย่างดุเดือด นักบุญในคราบซาตานเกิดเคืองจัด ที่เธอไม่ยอมเออออไปด้วย กับความประสงค์อันสกปรกโสมมของตัวเอง จึงไล่ตะเพิดเธอให้ออกไปพ้นจากบ้าน โทษฐานที่เป็นคนเนรคุณ
แพรวเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดยัดลงกระเป๋าแล้วเตลิดหนีออกจากที่นั่นทันที โดยไม่รีรออะไรอีก
เสียงหวูดรถไฟดังสนั่นเมื่อเข้าเทียบชานชาลา ปลุกหญิงสาวที่กำลังนั่งเหม่อให้ตื่นจากภวังค์ เธอชะเง้อมองป้ายสถานีรถไฟนอกหน้าต่างรถ ก็พบว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ร่างผอมบางยืดตัวขึ้น เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมลงจากชั้นวางเหนือศีรษะ เตรียมพร้อมจะลงจากพาหนะทันทีที่เข้าเทียบท่าปลายทางสุดท้าย พอนั่งลงอีกครั้งเธอก็ล้วงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบเล็กออกมาเปิด
กดหาชื่อของปวุฒิ เพื่อบอกเขาว่าเธอเดินทางกลับเร็วกว่ากำหนด เพื่อนชายคนสนิทรับสายทันที เหมือนกับทุกครั้งที่เธอโทร.หา เขามีน้ำเสียงดีใจเมื่อรู้ว่าเธอกำลังเดินทางกลับมา บอกว่าคิดถึงอยู่พอดี ปวุฒิไม่ต้องเทียวไปไหนเพราะบ้านเขาอยู่ในกรุงเทพอยู่แล้ว
น้ำตารื้นขอบตา ขณะพึมพำขอบใจเขาไปทางโทรศัพท์ โชคดีที่โลกนี้ยังเหลือปวุฒิไว้ให้เธออยู่ เขาดีกับเธอเสมอมา เขากับเธอเรียนจบคณะออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เดียวกันในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ปวุฒิชวนเธอให้ทดลองมาทำงานในบริษัทออกแบบพร้อมกับเขา แต่เขาทำงานเก่งจนได้เลื่อนจากพนักงานฝึกหัดมาเป็นพนักงานประจำของบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับเงินเดือนพร้อมสวัสดิการครบครัน เหลือแต่เธอเท่านั้นที่ยังต้องอยู่ในช่วงทดลองงานไปก่อน จนกว่าผู้จัดการบริษัทจะพอใจและบรรจุให้เป็นพนักงานประจำเสียที แต่ถึงอย่างไรทางบริษัทก็จ่ายเงินให้เธอตามชั่วโมงการทำงาน
เธอสนิทกับปวุฒิมาก และแอบคิดกับเขาเกินเพื่อน ซึ่งไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า เพราะจากท่าทีสนิทสนมเป็นปกติของเขา เธอเองก็ดูไม่ออก แต่ก็หวังลึก ๆ ในใจ เขาจะคิดเหมือนกันกับตัวเอง
แพรวถอนสะอื้นเบา ๆ ยิ้มทั้งน้ำตาให้โทรศัพท์ในมือ แม้เจอเหตุการณ์เลวร้ายมาเท่าใด หรือเจอปัญหาร้อยแปดพันประการ...ขอแค่มีปวุฒิอยู่เคียงข้างเท่านั้น ยามเมื่อเจอปัญหาแล้วมีเขาคอยพูดปลอบโยนให้กำลังใจ ชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างของเธอก็ดูเหมือนมีความหมายขึ้นมา ส่วนเธอก็ตอบแทนเขาบ้าง ด้วยเรื่องเงินทองเล็กน้อย ที่บางครั้งเขาอาจขาดมือ เพราะเป็นคนค่อนข้างใช้จ่ายมือเติบ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างกัน เพราะถึงปวุฒิจะใช้เงินคืนเธอบ้าง ไม่คืนบ้าง เธอก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก สำหรับการกินอยู่ของผู้หญิงตัวคนเดียว...
“ไง ไปบ้านมาสนุกไหม” เขาถามต่อเมื่อเห็นเธอเงียบไป
“ก็...สนุกดี ไม่ได้กลับไปนานแล้ว พอได้เจอ...พ่อ ท่านก็ดีใจ”
ตอบเพื่อนไปแบบนั้น เพราะปวุฒิเคยรับรู้จากปากเธอว่า พ่อแม่บุญธรรมรักเธอมาก เลี้ยงดูจนโตและส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเสียทีเดียว สองสามีภรรยาเลี้ยงดูเธอในฐานะเด็กในบ้านเท่านั้น ส่งเสียให้เล่าเรียนก็จริง แต่ต้องแลกกับการทำงานหนักทั้งในบ้านและในสวนผลไม้มาตั้งแต่เล็กจนโต โดยลูกแท้ ๆ ของคนทั้งคู่แทบไม่หยิบจับอะไรเลย เธอทำงานใช้หนี้บุญคุณโดยไม่มีค่าจ้างค่าแรงใด ๆ ตั้งแต่เริ่มจำความได้ จนกระทั่งเรียนจบ และคุณอารีตายจากไป เธอจึงออกมาหางานทำที่กรุงเทพ ซึ่งบุญคุณที่ถูกเรียกร้องต่อจากนั้นมันมากไป เมื่อตาเฒ่าตัณหากลับคิดอยากให้เธอตอบแทนอีก ด้วยพรหมจารีของเธอเอง แพรวจึงคิดว่ามันสมควรหมดไปได้แล้ว
“พอจะกลับก็คะยั้นคะยอให้อยู่ต่อ แต่ฉันห่วงงานที่เคยคุยกันไว้ก็เลยรีบกลับ ไม่ทันเอาของฝากอะไรมาสักอย่าง อยากกลับให้ทันวันนี้น่ะ”
น้ำใสคลอดวงตาโตบนใบหน้าเรียว ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดของร่างผอมบาง สีผิวออกคล้ำ แตกต่างจากคนในบ้านคนอื่นโดยสิ้นเชิง แพรวพูดปดเพื่อน บังคับน้ำเสียงให้ร่าเริง ปิดบังร่องรอยหม่นหมองในใจที่อาจเล็ดลอดหลุดออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้รอเอาของฝากจากแกสักหน่อย...แกกลับมาเร็วก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องอยากเล่าอยู่พอดี เอาเรื่องงานก่อน ...” ปวุฒิเริ่มเล่าเหมือนอดรนทนไม่ไหว
“โพรเจกต์ที่เราสามคนช่วยกันคิด ต้อยติ่งเอาไปเสนอให้ผู้จัดการดูถึงบ้าน ในช่วงหยุดสงกรานต์แล้วล่ะ เขาเห็นดีด้วย ชมใหญ่เลยว่ากู๊ดไอเดีย เขาตกลงรับต้อยติ่งเป็นพนักงานประจำแล้วนะ”
“อ้าว แล้วฉันล่ะ” แพรวเบิกตาโต ถามเพื่อนเสียงดัง แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าเพื่อนสาวในที่ทำงานจะทำแบบนี้กับเธอได้ลงคอ โพรเจกต์นั้นเธอเป็นคนต้นคิด แล้วชวนปวุฒิกับต้อยติ่งมาช่วยคิดต่อ ตกลงกันว่าจะเอาไปนำเสนอผู้จัดการด้วยกัน หลังวันหยุดสงกรานต์
“ฉันก็ไม่เข้าใจต้อยติ่งมันเหมือนกัน เห็นมาเล่าว่า ที่นี่ผู้จัดการรับพนักงานประจำได้อีกแค่คนเดียว ส่วนแกคงต้องไปหาที่ทำงานใหม่แล้วล่ะ แต่เดี๋ยวยังไงฉันจะช่วยตามเรื่องให้อีกที”
“ต้อยติ่งทำไม่ถูก เขาทำอย่างนั้นได้ยังไง ทำไมไม่รอฉันกลับมาก่อน ฉันเป็นคนเริ่มต้นโพรเจกต์แท้ ๆ”
แพรวเอะอะออกมา จุกแน่นในลำคอเหมือนมีก้อนแข็งมาอุดอยู่ ตกใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ เธอถูกเพื่อนสาวหักหลังเอาอย่างเจ็บปวดที่สุด
“ได้ยินทีแรกฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน รู้สึกไม่ดีกับต้อยติ่ง ว่าจะโทรไปเล่าให้ฟังหลายครั้งแล้ว แต่กลัวจะทำให้เสียบรรยากาศสนุกที่บ้านของแกหมด ก็เลยรอให้กลับมาก่อนดีกว่า แต่ไม่เป็นไร ฉันจะพยายามช่วยพูดกับผู้จัดการให้ ว่าแกทำงานดี เขาอาจบรรจุเข้าทำงานได้อีกคน”
“คอยดูนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปถามต้อยติ่งถึงหอพัก ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าทำเข้าไปได้ยังไง” แพรวลงเสียงหนักอย่างมีอารมณ์ นึกโมโหเพื่อนจนควันออกหู
“อืม...แต่แกอย่าโวยวายมากไป มันไม่เป็นผลดีกับแก ยังไงเราก็ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน ฉันว่าแกค่อย ๆ แย้มว่ามันเป็นความคิดของแกดีกว่า แล้วคิดโพรเจกต์ใหม่ออกมาเสนอผู้จัดการอีก แต่วันนี้ช่างมันก่อนเถอะ แกเพิ่งมาถึงใหม่ ๆ ไปพักให้หายเหนื่อยก่อน ฉันเป็นห่วงแกนะ”
ปวุฒิพูดปลอบ คำพูดของเขามีเหตุผล กับทั้งท่าทีห่วงใยอาทรของเขา ทำให้โทสะของเธอค่อยบรรเทาลง แพรวถอนหายใจยาว รู้สึกปลงอนิจจังกับเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นติดกัน
แต่ช่างมันเถอะ ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ ของปลอมยังไงก็สู้ของแท้ไม่ได้...สติปัญญายังมี เดี๋ยวค่อยคิดโพรเจกต์ใหม่ออกมาอีกอย่างที่ปวุฒิบอก เอาให้เด็ดกว่าเก่าจนคนหน้าด้านอายม้วนไปเลย
“ยังมีอีกเรื่องนะแพรว คราวนี้เป็นเรื่องของฉันกับนิ้ง” ปวุฒิเล่าต่อ เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่สดชื่นแจ่มใส จนอีกฝ่ายรู้สึกได้
“ข่าวดีเหรอ ข่าวดีอะไร” ซึ่งคนฟังกลับใจหายวูบ ถามอย่างนึกสังหรณ์ใจ ปวุฒิเอ่ยถึงชื่อพนักงานสาวสวยคนหนึ่งในบริษัทขึ้นมาทำไม...
“ฉันคิดว่ากล้าพอที่จะขอเดทกับนิ้งแล้วล่ะ คือว่าฉันจะชวนนิ้งไปดูหนังคืนนี้น่ะ แล้วจะพาไปเลี้ยงข้าวต่อ ฉันอยากให้เดทแรกของเราประทับใจที่สุด ฉันแอบชอบนิ้งมานาน จะสารภาพกับเขาวันนี้แหละแก”
แพรวรู้สึกว่าตัวเองกำลังเมา ร่างแบบบางนั่งอยู่บนสตูลในบาร์เหล้าหน้าบริษัท ลำตัวโอนเอนไปมา ขณะเพ่งสายตาพร่าพรายมองแก้วเหล้าในมือ...ฉันกำลังอกหัก...หญิงสาวบอกตัวเองอย่างหม่นหมองตรอมตรม ขืนตัวให้ตั้งตรง ขณะสะอึกสองสามครั้ง ก่อนพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงลำคอ กระดกน้ำสีอำพันตามลงไปจนหมดแก้ว หมายใจจะให้น้ำเมาชะล้างเอาความโศกเศร้าขมขื่นทิ้งไปให้หมด
เจ็บปวดเหลือเกินกับความผิดหวังซ้ำซาก ทรมานใจอะไรอย่างนี้ เมื่อต้องทนเผชิญกับมันครั้งแล้วครั้งเล่า ปวุฒิ...ที่พักพิงทางใจสุดท้ายของเธอก็กำลังจะกลายเป็นของคนอื่น เขาเป็นของคนอื่นไปแล้วจริง ๆ ต่อหน้าต่อตาเธอวันนี้เอง
เมื่อก่อนทุกวันหลังเลิกงาน ปวุฒิจะรอกลับบ้านพร้อมกันกับเธอ แต่วันนี้เขากลับไปกับแฟนสาวแสนสวยของเขาที่ชื่อนิ้ง แพรวหันหลังให้ภาพบาดตานั้นทันที ก่อนดุ่มเดินเข้าบาร์เหล้าแทนที่จะกลับเข้าห้องพัก
(มีต่อ)