สาวน้อยพลังจิต
บทที่ 12 เพื่อนชัง
ปิดเทอมได้หลายวันแล้ว ทรายไม่มีโอกาสได้พบใครเลย ทั้งแพรว แจ็คหรือหมวดปราบ เธอคิดว่าการอยู่คนเดียวคงดีที่สุดสำหรับตอนนี้ แม้จิตใจจะร่ำร้อง ให้เธอโหนรถเมล์ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่บ้านเหมือนอย่างที่เคยทำมานานหลายปี หรือที่ร่ำร้อง อยากให้ตัวเองมีโอกาสพบกับหมวดปราบ เธอคิดว่าสู้ตัดใจเสียดีกว่า
สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ของทรายก็คือ เก็บตัวฝึกสมาธิทำจิตใจให้สงบ เพราะหลายวันที่ผ่านมาถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งไม่ได้รับการฝึกจิตมาดีพอ เธออาจจะฟุ้งซ่านและเลยไปถึงอาการคลุ้มคลั่งแล้วก็ได้
เช้าวันนั้นหลังจากตากเสื้อผ้าแล้ว ทรายนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เธออยู่ที่บ้านคนเดียว เพราะทั้งวินและแม่อรออกไปทำงาน จะกลับอีกทีก็คงค่ำๆ เสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้องดูทีวี ทรายวิ่งไปรับ
“ฮัลโหลนี่ใครรับสายนะ”
“ทรายเองค่ะ”
“ทราย นี่ฉันแม่แววนะ เรียกแพรวมารับสายหน่อยซิ”
“แพรวไม่ได้มาที่นี่นี่คะ”
“อย่าทำให้ฉันเสียเวลาเลยน่ะ เรียกแพรวมารับสายซะไวๆ ฉันมีงานต้องรีบไปทำ”
“แม่แววคะ แพรวไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ”
“อย่าโกหกหน่อยเลย ฉันมีธุระด่วนต้องรีบคุยกับลูกสาว”
“แพรวเขาบอกหรือคะ ว่าจะมาหาทรายที่บ้าน”
แม่แววเงียบไปสักพัก แล้วตอบกลับมาว่า
“นี่เธอไม่รู้จริงๆหรือว่าแพรวไปไหน แพรวออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนเย็น ฉันกลับมาก็ดึกแล้ว คิดว่าคงมาหาเธอที่บ้าน ถ้าไม่ได้มานี่แล้วแพรวจะไปที่ไหนอีก”
“แพรวหนีออกจากบ้านหรือคะ”
“อย่าให้ฉันตอบได้มั้ย คือ ถ้าแพรวออกจากบ้านไป เขาจะไปที่ไหนอีกที่ไม่ใช่บ้านเธอ ฉันไม่เห็นว่าแพรวจะกล้าไปนอนค้างที่บ้านใครนอกจากบ้านเธอ อย่าช่วยกันปิดได้มั้ย เรียกลูกสาวฉันมารับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้”
“หนูพูดความจริงค่ะ ว่าแพรวไม่ได้มาหาหนูที่บ้าน ความจริง เราไม่ได้คุยกันมาหลายอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่...”
ทรายเงียบไปครู่หนึ่ง
“ตั้งแต่ ตั้งแต่อะไร”
“ตั้งแต่....ตอนที่แม่แววบอกกับแพรวว่าจะส่งแพรวไปเรียนนิวซีแลนด์ หนูบอกกับแพรวว่าเป็นการดีแล้ว ที่แพรวจะได้ไม่ต้องพบหนูอีก เพราะเท่านี้เธอก็เดือดร้อนมากพอแล้ว ควรจะไปนิวซีแลนด์อย่างที่แม่แววอยากให้ไป เธอคงจะพบสิ่งดีๆหลายอย่างเมื่อไปถึงนิวซีแลนด์นะคะ”
“อ๋อแน่นอนแหละย่ะ คงเจออะไรที่ดีๆกว่าอยู่ที่เมืองไทยนี่แน่ ฉันก็ขอบใจนะ ที่ไม่พูดเป่าหูให้ลูกสาวฉันกระด้างกระเดื่อง แต่หนูบอกต่อหน้าฉันอย่างนึง ลับหลังอาจจะบอกอีกอย่างนึงก็ได้ เพราะพักหลังนี้แพรวดื้อมากขึ้นทุกวัน หลายวันก่อนก็ว่าพ่อว่าแม่ว่าปล่อยปละละเลยลูกสาว.....
พูดตรงๆ ฉันไม่ค่อยเชื่อนักหรอกว่าแพรวไม่ได้อยู่กับเธอ เธออาจจะพูดปลุกปั่นให้ลูกสาวฉันหนีออกจากบ้านก็ได้”
“แม่แววคะ ทรายจะทำอย่างนั้นไปทำไม แพรวเป็นเพื่อนรักของหนูนะคะ”
“เพื่อนรักเหรอ ก็ใช่นะซิ เพื่อนรักแบบนี้จะหาได้อีกที่ไหน เร็วๆนี้ฉันเพิ่งจับได้ว่าแพรวแอบขโมยเงินตั้งหมื่นที่ตัวเองเก็บเล็กผสมน้อยใส่บัญชีเงินฝากมาให้เธอใช้ เธอนี่ เก่งจริงๆนะ ปีสองปีนี้ฉันรู้สึกว่าแพรวแข็งกระด้างขึ้นทุกวัน ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าเพราะมารู้จักเธอนะเปล่า ฉันรู้แต่ว่าพักหลังนี่เธอพูดเป่าหูอะไรลูกสาวฉันก็เชื่อไปหมด ไม่รู้เธอพูดอีท่าไหน ลูกสาวฉันถึงกับเอาเงินเป็นหมื่นมาประเคนให้ ยอมไปยืนเป็นเป้ากระสุนให้เธอ ยอมให้โจรบุกมาถึงบ้านเพราะเธอ แล้วก็ยอมโดนคนตบหน้าเพราะเธอ.....
ฉันยังไม่เคยเห็นว่าแพรวจะดีกับพ่อแม่ตัวเองมากถึงขนาดนี้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่มากพอที่จะทำให้เธอ
รู้ว่าควรจะกักเพื่อนคนนี้เอาไว้ต่อไป.....”
“แม่แววคะ แม่แววเข้าใจผิดหมดเลย....”
“อย่าว่าฉันเข้าใจผิดเลย พฤติกรรมมันเห็นๆกันอยู่ ตั้งแต่ลูกสาวฉันรู้จักกับเธอชีวิตก็มีแต่ตกต่ำมากขึ้นทุกวัน อาทิตย์ที่แล้วลูกสาวฉันพาใครมาที่บ้านนะ อ้ายเด็กผู้ชายกุ๊ยที่ไหนก็ไม่รู้ บอกว่าเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ฉันควรจะรู้ก่อนหน้านี้ว่าโรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนของพวกไม่มีระดับ อาจจะมีชื่อเสียงเรื่องมีเด็กนักเรียนเรียนเก่งอยู่เยอะ แต่นักเรียนส่วนใหญ่มันคงเป็นพวกไม่มีสกุลรุนชาติ มาจากบ้านที่จนๆ อ้ายเด็กกุ๊ยนั่นมาทำเป็นคลอเคลียลูกสาวฉัน ฉันเห็นแล้วอกจะแตกตาย แม่มันเป็นแค่สาวห้าง พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า มันช่วยลุงทำงานร้านอาหารตามสั่ง เหอะ.....
“แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น แม้แต่อ้ายกุ๊ยยังชมเธอนักชมเธอหนา ว่าเป็นเพื่อนที่ดียังงั้นดียังงี้ แม้แต่อ้ายเด็กกุ๊ยยังดิ้นรนหาเงินเป็นหมื่นมาให้เธอใช้ มันรับกับฉันเองนะนี่ ตอนที่ฉันว่าลูกสาวว่าทำไมเอาเงินมาให้เธอใช้ มันเห็นดีเห็นงามกับลูกสาวฉัน มันบอกมันยังเอาเงินมาให้เธอเลย.....
ถามจริงๆเถอะ เธอไปยั่วยวนอะไรมันหรือไปทำอะไรกันมา เด็กหนุ่มๆถึงยอมยื่นเงินให้เธอเป็นหมื่น แค่นั้นยังไม่น่าแปลกใจ ใครๆก็คงพอจะเดาได้อย่างที่ฉันก็จะเดาไปในทางนั้น ที่แปลกใจคือลูกสาวฉันก็เป็นยังงั้นไปอีกคน เธอนี่ ต้องมีดีอะไรอยู่แน่ๆ ทั้งผู้ชายผู้หญิงหลงคารมกันหัวปักหัวปำ โดนปั่นหัวกันจนโงหัวไม่ขึ้น....
อะไร....อ๋อ ร้องไห้เรอะ ร้องทำไมล่ะ เอาละนะ อย่าให้ฉันพูดมากไปกว่านี้เลย เรียกยัยแพรวมารับสายแม่ซะดีๆ ก่อนที่แม่จะโกรธมากกว่านี้”
“แพรวไม่ได้อยู่ที่บ้านหนูจริงๆค่ะ”
“เอ๊ะ ยัยเด็กกาลกิณี อย่ายั่วโมโหฉันมากไปกว่านี้เลยนะ”
“แม่แววคะ หนูขอโทษ ที่ทำให้ครอบครัวของแม่แววเดือดร้อน หนูเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้แพรวกับแม่แววไม่เข้าใจกัน หนูเข้าใจสิ่งที่แม่แววพูดค่ะ แต่หนูไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ หนูไม่เคย.....”
“พอ พอ พอแล้ว ฉันไม่อยากจะฟังเรื่องพรรณนี้หรอก บอกมาลูกสาวฉันอยู่ไหน”
“หนูไม่ทราบจริงๆค่ะ แม่แวว แม่แววต้องเชื่อหนูนะคะ....”
“ดี งั้นเราได้เห็นดีกัน”
สิ้นเสียงแม่แวววางหูโทรศัพท์ดังกึก ทรายยังถือหูโทรศัพท์ค้างด้วยอาการซึมเศร้า เธอมึนตึ๊บ มืดแปดด้าน ทั้งตาและหัวใจมีแต่น้ำใสๆไหลริน
สิ่งแรกที่เธอคิดได้ตอนนี้คือ ออกตามหาแจ็ค เผื่อว่าแจ็คจะรู้ว่าแพรวไปอยู่ที่ไหน เธอไปที่ร้านอาหารของลุงที่แจ็คไปทำงาน ที่ร้านบอกว่าแจ็คไม่ได้เข้ามาตั้งแต่เมื่อวาน ทรายจึงตรงไปที่วัดพบกับหลวงน้า
“หลวงน้าไม่เห็นอ้ายแจ็คเลย สองสามวันนี้ โยมทรายแวะไปดูที่บ้านบ้างแล้วยังหล่ะ”
“ไปดูแล้วเจ้าค่ะ ที่บ้านปิดเงียบ ไม่มีใครอยู่”
“หลวงน้าก็ไม่รู้จะแนะนำยังไง จะลองถามคนแถวนี้ดู ถ้ามีใครเห็น หลวงน้าจะโทรไปบอกโยมแล้วกันนะ”
“ค่ะ”
ทรายกราบลาแล้วเดินทางกลับมาที่บ้าน ตอนนั้นเย็นมากแล้ว แม่อรคงกลับมาจากทำงาน พอมาถึงบ้านทรายได้ยินเสียงทะเลาะกันดังโล้งเล้งไปหมด
“แม่แวว”
ทรายอุทานเมื่อเห็นแม่แววยืนอยู่หน้าประตูบ้านหน้าดำคร่ำเครียด แม่แววหันมาเห็นทรายก็ร้องเรียกทันทีอย่างฉุดเฉียว
“เป็นไงยะ แม่ตัวดี พาลูกสาวฉันไปซ่อนหรือไง”
แม่อรเดินออกมาจากบ้าน ปากเปิกสั่น หน้าตาเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ทราย แม่ของแพรวเขามายืนด่าแม่ถึงในบ้านนี่นานหลายนาทีแล้ว จะเอายังไงกันดีเนี่ย”
“แม่แวว เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“หนอย ยังมาทำไขสือ ลูกสาวฉันหายไปทั้งคน เธอเอาไปซ่อนไว้ไหน”
“คุณ ฉันก็บอกแล้ว ว่าแพรวไม่ได้มาที่นี่ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อ...”
แม่อรพูดด้วยปากอันสั่นด้วยความโมโห
“คุณมายืนว่าฉันถึงหน้าบ้านต่างๆนานา เลี้ยงลูกไม่เป็นบ้างล่ะ อบรมลูกยังไงให้เที่ยวมาล่อลวงลูกคนอื่นให้หนีออกจากบ้านมั่งละ มันมากเกินไป ฉันเห็นลูกสาวคุณเป็นเพื่อนลูกสาวฉัน เห็นกันมาตั้งสี่ห้าปี คุณมาว่าปาวๆอย่างนี้ อย่าให้ฉันหมดความอดทนนะ”
“จริงๆค่ะ ทรายบอกแม่แววตั้งแต่เช้าแล้ว ว่าแพรวไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ทรายก็ไม่รู้ว่าแพรวอยู่ไหน...”
“ฉันไม่เชื่อ ก็แค่คืนลูกสาวฉันมา ฉันก็จะไปแล้ว ไม่อยากมาหรอกที่นี่น่ะ”
แม่แววพูดพลางเดินเข้ามากระชากตัวทราย คราวนี้แม่อรที่ดูหงอๆ ยอมยืนให้คนด่าอยู่ได้ตั้งนานหลายนาที พอเห็นแม่แววปรี่เขาดึงแขนทรายเท่านั้น วิญญาณแม่เสือเข้าสิงทันที
เธอปรี่เข้าไปขวางแม่แววกับทรายทำหน้าถทึงจนแม่แววถึงกับชะงัก เกิดกลัวขึ้นมาถึงกับเดินถอยออกไป แต่ยังไม่ไว้ลาย พูดขู่ด้วยเสียงอันดัง
“แกจะทำอะไรฉัน อย่านะ อย่าเข้ามานะ ฉันแจ้งความจับจริงๆด้วย”
“ก็ลองดูสิ คุณเข้ามาจับตัวลูกฉันทำไม นี่ก็บ้านฉัน ฉันปล่อยให้คุณเข้ามายืนด่าตั้งนานสองนาน ไม่ได้โต้ตอบอะไร นี่คุณจะเข้ามาทำร้ายลูกฉัน ฉันบอกแล้วว่าลูกสาวคุณน่ะไม่ได้อยู่ที่นี่ เด็กๆมันเป็นเพื่อนกันคุณอย่าทำกับเราขนาดนี้เลย เราก็โตๆเป็นผู้ใหญ่กันทั้งคู่....
ส่วนเรื่องลูกสาวคุณจะไปไหน ไปกับใครฉันก็ไม่รู้เรื่อง ลูกสาวฉันก็บอกแล้วว่าไม่รู้เรื่อง...”
“อะไรกันน่ะ”
พอดีวินกลับมาถึงบ้านจากที่ทำงานพอดี ก็ร้องถามด้วยความแปลกใจที่ทุกคนยืนเถียงกันอยู่หน้าดำคร่ำเครียด
“แพรวเขาหายไปทั้งคืน ฉันเป็นห่วงลูก ลูกฉันไม่เคยไปค้างคืนที่ไหน นอกจากบ้านนี้ ฉันรู้จักลูกฉันดี เพราะฉันดูแลประคบประหงม ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกจะไปไหนจะทำอะไรฉันก็คอยสอดส่องดูแลทุกฝีก้าว คราวก่อน ถ้าไม่มีเพื่อนของลูกสาวคนนี้ ลูกสาวฉันคงไม่กล้าหนีออกจากบ้าน คุณสามคนพ่อแม่ลูกอย่าช่วยกันปิดบังเลย แม่ลูกเขาจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ปล่อยลูกสาวฉันมาเถอะ”
“ลูกคุณหายไปทั้งคืนคุณก็ไปตามหาที่อื่นสิ ลูกสาวคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อคืนก็ไม่มีใครมา ผมก็ไม่ได้เห็นลูกสาวคุณมาเที่ยวเล่นที่บ้านนานแล้ว แล้วเจ้าทรายล่ะ นังทราย ลูกสาวเขาอยู่ไหน บอกให้แม่เขาไปตามหาที่อื่นไป”
“หนูก็ไม่ทราบค่ะ วันนี้พอรู้ข่าวว่าแพรวหนีออกจากบ้าน หนูก็ออกจากบ้านไปตามหาที่ๆคิดว่าแพรวจะไปแต่ก็ไม่เห็นเลย หนูก็ร้อนใจ หนูก็เป็นห่วง...”
“เห็นมั้ย ไม่มีใครเขาเห็นลูกสาวคุณ แล้วอ้ายที่คุณบอกว่าถ้าไม่มีเพื่อนของลูกสาวคนนี้ ลูกสาวคุณคงไม่กล้าหนีออกจากบ้าน อันนี้พูดอย่างเป็นกลางๆนะ คนมันจะหนีออกจากบ้านหรือไม่ อยู่ที่ตัวมันเอง อยู่ที่พ่อแม่มัน ว่าพ่อแม่มันเลี้ยงลูกยังไง กดดันบีบคั้นมากขนาดไหน...
ความประพฤติส่วนตัวของยัยทรายก็คงไม่ถึงขั้นเป็นเด็กเกเรเหลือขอละมั้ง ลูกสาวคุณอาจจะเครียด อาจจะน้อยใจหรือถูกพ่อแม่บังคับกดดันบีบคั้น เด็กมันไม่มีทางออก มันก็หนีออกจากบ้าน นี่ดีนะที่คราวก่อนลุกสาวคุณหนีมาบ้านนี้ ถ้ามันหนีเตลิดไปที่อื่นน่ะคุณจะลำบาก บ้านเราก็ช่วยปลอบช่วยดูแล ให้ข้าวให้น้ำ เด็กมันสบายใจแล้วก็กลับบ้านไป...
เรื่องเด็กหนีออกจากบ้านนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายๆบ้านเขาก็เป็นอย่างนี้กัน แต่ก่อนที่พ่อแม่จะเที่ยวว่าใครต่อใครน่ะ ดูตัวเองซะก่อน คุณมายืนโล้งเล้งตะโกนด่าปาวๆ ผมได้ยินตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงบ้าน ก็เพราะพฤติกรรมเป็นยังงี้นะสิ ลูกมันถึงอยู่บ้านไม่ได้”
“คุณ...”
แม่อรยืนนิ่ง ทำสีหน้าตำหนิวิน
“อร ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว จะปล่อยให้คนนอกบ้านมายืนด่าคนในด้านปาวๆได้ยังไง...
อรเขาเป็นคนดีนะ เขาคงไม่กล้าทะเลาะกับคุณหรอก แต่ผมคงต้องยอมทะเลาะกับคุณด้วย เพราะผมเป็นสามีเขา ตัวผมเองยังไม่เคยเห็นเมียยืนปากสั่นหน้าซีดเพราะโดนคนด่ายังงี้มาก่อนเลย”
แม่แววอ้ำอึ้ง รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ทั้งด้านเหตุผลและกำลังคน เธอรู้สึกว่าการยืนอยู่คนเดียวแล้วเถียงกับคนอีกสามคนในบ้านของเขาคงไม่เป็นการดีแน่ แทนที่จะรู้สึกเสียใจที่ตามหาลูกไม่พบ แม่แววกับรู้สึกเสียหน้าที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเวทีนี้
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันยังหาลูกไม่เจอ ฉันเป็นห่วงลูกนะ”
“คุณก็ไปตามหาลูกคุณสิ ก็เราบอกแล้วว่าลูกคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าคุณมาดีๆเราอาจจะอยากช่วยตามหาให้ มาแบบนี้นี่ คราวหน้าอย่ามาอีกเลย คุณกลับไปเถิด อย่าให้ผมต้องทำอะไรมากไปกว่านี้”
แม่แววถึงกับเลิกลั่ก เธอรู้สึกแพ้เต็มรูป หันหลังเดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ขณะกำลังปิดประตูรถยังมีเสียงแว่วออกมา
“อ้ายคนขับรถนี่ก็เป็นแต่ขับรถจริงๆนะแก เห็นฉันยืนทะเลาะกับคนอื่นปาวๆ มันจะออกมาช่วยกันสักนิดก็ไม่มี หลายหนแล้วนะ ที่แกปล่อยให้ฉันยืนทะเลาะกบคนอื่นโดยไม่ได้ออกมาช่วยฉันทะเลาะสักหน...”
รถหรูคันนั้นวิ่งลับไปแล้ว วินทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะเดินขึ้นไปห้องของตัวเอง แต่ไม่วายพูดลอยๆขึ้นมา
“ดูมันสิยัยคุณนายนั่น ยังมีหน้าไปด่าคนขับรถว่าปล่อยให้ไปยืนทะเลาะกับใครต่อใครหลายหนแล้ว นี่แปลว่าแกต้องมีปัญหาทางจิตแน่ๆ เที่ยวทะเลาะกับใครต่อใครซะทั่ว”
“พี่วิน...”
แม่อรหันมายิ้มให้กับสามี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่วินแสดงท่าทีปกป้อง
สาวน้อยพลังจิต บทที่ 12 เพื่อนชัง
บทที่ 12 เพื่อนชัง
ปิดเทอมได้หลายวันแล้ว ทรายไม่มีโอกาสได้พบใครเลย ทั้งแพรว แจ็คหรือหมวดปราบ เธอคิดว่าการอยู่คนเดียวคงดีที่สุดสำหรับตอนนี้ แม้จิตใจจะร่ำร้อง ให้เธอโหนรถเมล์ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่บ้านเหมือนอย่างที่เคยทำมานานหลายปี หรือที่ร่ำร้อง อยากให้ตัวเองมีโอกาสพบกับหมวดปราบ เธอคิดว่าสู้ตัดใจเสียดีกว่า
สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ของทรายก็คือ เก็บตัวฝึกสมาธิทำจิตใจให้สงบ เพราะหลายวันที่ผ่านมาถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งไม่ได้รับการฝึกจิตมาดีพอ เธออาจจะฟุ้งซ่านและเลยไปถึงอาการคลุ้มคลั่งแล้วก็ได้
เช้าวันนั้นหลังจากตากเสื้อผ้าแล้ว ทรายนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เธออยู่ที่บ้านคนเดียว เพราะทั้งวินและแม่อรออกไปทำงาน จะกลับอีกทีก็คงค่ำๆ เสียงโทรศัพท์ดังมาจากห้องดูทีวี ทรายวิ่งไปรับ
“ฮัลโหลนี่ใครรับสายนะ”
“ทรายเองค่ะ”
“ทราย นี่ฉันแม่แววนะ เรียกแพรวมารับสายหน่อยซิ”
“แพรวไม่ได้มาที่นี่นี่คะ”
“อย่าทำให้ฉันเสียเวลาเลยน่ะ เรียกแพรวมารับสายซะไวๆ ฉันมีงานต้องรีบไปทำ”
“แม่แววคะ แพรวไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ”
“อย่าโกหกหน่อยเลย ฉันมีธุระด่วนต้องรีบคุยกับลูกสาว”
“แพรวเขาบอกหรือคะ ว่าจะมาหาทรายที่บ้าน”
แม่แววเงียบไปสักพัก แล้วตอบกลับมาว่า
“นี่เธอไม่รู้จริงๆหรือว่าแพรวไปไหน แพรวออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนเย็น ฉันกลับมาก็ดึกแล้ว คิดว่าคงมาหาเธอที่บ้าน ถ้าไม่ได้มานี่แล้วแพรวจะไปที่ไหนอีก”
“แพรวหนีออกจากบ้านหรือคะ”
“อย่าให้ฉันตอบได้มั้ย คือ ถ้าแพรวออกจากบ้านไป เขาจะไปที่ไหนอีกที่ไม่ใช่บ้านเธอ ฉันไม่เห็นว่าแพรวจะกล้าไปนอนค้างที่บ้านใครนอกจากบ้านเธอ อย่าช่วยกันปิดได้มั้ย เรียกลูกสาวฉันมารับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้”
“หนูพูดความจริงค่ะ ว่าแพรวไม่ได้มาหาหนูที่บ้าน ความจริง เราไม่ได้คุยกันมาหลายอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่...”
ทรายเงียบไปครู่หนึ่ง
“ตั้งแต่ ตั้งแต่อะไร”
“ตั้งแต่....ตอนที่แม่แววบอกกับแพรวว่าจะส่งแพรวไปเรียนนิวซีแลนด์ หนูบอกกับแพรวว่าเป็นการดีแล้ว ที่แพรวจะได้ไม่ต้องพบหนูอีก เพราะเท่านี้เธอก็เดือดร้อนมากพอแล้ว ควรจะไปนิวซีแลนด์อย่างที่แม่แววอยากให้ไป เธอคงจะพบสิ่งดีๆหลายอย่างเมื่อไปถึงนิวซีแลนด์นะคะ”
“อ๋อแน่นอนแหละย่ะ คงเจออะไรที่ดีๆกว่าอยู่ที่เมืองไทยนี่แน่ ฉันก็ขอบใจนะ ที่ไม่พูดเป่าหูให้ลูกสาวฉันกระด้างกระเดื่อง แต่หนูบอกต่อหน้าฉันอย่างนึง ลับหลังอาจจะบอกอีกอย่างนึงก็ได้ เพราะพักหลังนี้แพรวดื้อมากขึ้นทุกวัน หลายวันก่อนก็ว่าพ่อว่าแม่ว่าปล่อยปละละเลยลูกสาว.....
พูดตรงๆ ฉันไม่ค่อยเชื่อนักหรอกว่าแพรวไม่ได้อยู่กับเธอ เธออาจจะพูดปลุกปั่นให้ลูกสาวฉันหนีออกจากบ้านก็ได้”
“แม่แววคะ ทรายจะทำอย่างนั้นไปทำไม แพรวเป็นเพื่อนรักของหนูนะคะ”
“เพื่อนรักเหรอ ก็ใช่นะซิ เพื่อนรักแบบนี้จะหาได้อีกที่ไหน เร็วๆนี้ฉันเพิ่งจับได้ว่าแพรวแอบขโมยเงินตั้งหมื่นที่ตัวเองเก็บเล็กผสมน้อยใส่บัญชีเงินฝากมาให้เธอใช้ เธอนี่ เก่งจริงๆนะ ปีสองปีนี้ฉันรู้สึกว่าแพรวแข็งกระด้างขึ้นทุกวัน ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าเพราะมารู้จักเธอนะเปล่า ฉันรู้แต่ว่าพักหลังนี่เธอพูดเป่าหูอะไรลูกสาวฉันก็เชื่อไปหมด ไม่รู้เธอพูดอีท่าไหน ลูกสาวฉันถึงกับเอาเงินเป็นหมื่นมาประเคนให้ ยอมไปยืนเป็นเป้ากระสุนให้เธอ ยอมให้โจรบุกมาถึงบ้านเพราะเธอ แล้วก็ยอมโดนคนตบหน้าเพราะเธอ.....
ฉันยังไม่เคยเห็นว่าแพรวจะดีกับพ่อแม่ตัวเองมากถึงขนาดนี้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่มากพอที่จะทำให้เธอ
รู้ว่าควรจะกักเพื่อนคนนี้เอาไว้ต่อไป.....”
“แม่แววคะ แม่แววเข้าใจผิดหมดเลย....”
“อย่าว่าฉันเข้าใจผิดเลย พฤติกรรมมันเห็นๆกันอยู่ ตั้งแต่ลูกสาวฉันรู้จักกับเธอชีวิตก็มีแต่ตกต่ำมากขึ้นทุกวัน อาทิตย์ที่แล้วลูกสาวฉันพาใครมาที่บ้านนะ อ้ายเด็กผู้ชายกุ๊ยที่ไหนก็ไม่รู้ บอกว่าเรียนอยู่ห้องเดียวกัน ฉันควรจะรู้ก่อนหน้านี้ว่าโรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนของพวกไม่มีระดับ อาจจะมีชื่อเสียงเรื่องมีเด็กนักเรียนเรียนเก่งอยู่เยอะ แต่นักเรียนส่วนใหญ่มันคงเป็นพวกไม่มีสกุลรุนชาติ มาจากบ้านที่จนๆ อ้ายเด็กกุ๊ยนั่นมาทำเป็นคลอเคลียลูกสาวฉัน ฉันเห็นแล้วอกจะแตกตาย แม่มันเป็นแค่สาวห้าง พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า มันช่วยลุงทำงานร้านอาหารตามสั่ง เหอะ.....
“แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น แม้แต่อ้ายกุ๊ยยังชมเธอนักชมเธอหนา ว่าเป็นเพื่อนที่ดียังงั้นดียังงี้ แม้แต่อ้ายเด็กกุ๊ยยังดิ้นรนหาเงินเป็นหมื่นมาให้เธอใช้ มันรับกับฉันเองนะนี่ ตอนที่ฉันว่าลูกสาวว่าทำไมเอาเงินมาให้เธอใช้ มันเห็นดีเห็นงามกับลูกสาวฉัน มันบอกมันยังเอาเงินมาให้เธอเลย.....
ถามจริงๆเถอะ เธอไปยั่วยวนอะไรมันหรือไปทำอะไรกันมา เด็กหนุ่มๆถึงยอมยื่นเงินให้เธอเป็นหมื่น แค่นั้นยังไม่น่าแปลกใจ ใครๆก็คงพอจะเดาได้อย่างที่ฉันก็จะเดาไปในทางนั้น ที่แปลกใจคือลูกสาวฉันก็เป็นยังงั้นไปอีกคน เธอนี่ ต้องมีดีอะไรอยู่แน่ๆ ทั้งผู้ชายผู้หญิงหลงคารมกันหัวปักหัวปำ โดนปั่นหัวกันจนโงหัวไม่ขึ้น....
อะไร....อ๋อ ร้องไห้เรอะ ร้องทำไมล่ะ เอาละนะ อย่าให้ฉันพูดมากไปกว่านี้เลย เรียกยัยแพรวมารับสายแม่ซะดีๆ ก่อนที่แม่จะโกรธมากกว่านี้”
“แพรวไม่ได้อยู่ที่บ้านหนูจริงๆค่ะ”
“เอ๊ะ ยัยเด็กกาลกิณี อย่ายั่วโมโหฉันมากไปกว่านี้เลยนะ”
“แม่แววคะ หนูขอโทษ ที่ทำให้ครอบครัวของแม่แววเดือดร้อน หนูเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้แพรวกับแม่แววไม่เข้าใจกัน หนูเข้าใจสิ่งที่แม่แววพูดค่ะ แต่หนูไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นจริงๆ หนูไม่เคย.....”
“พอ พอ พอแล้ว ฉันไม่อยากจะฟังเรื่องพรรณนี้หรอก บอกมาลูกสาวฉันอยู่ไหน”
“หนูไม่ทราบจริงๆค่ะ แม่แวว แม่แววต้องเชื่อหนูนะคะ....”
“ดี งั้นเราได้เห็นดีกัน”
สิ้นเสียงแม่แวววางหูโทรศัพท์ดังกึก ทรายยังถือหูโทรศัพท์ค้างด้วยอาการซึมเศร้า เธอมึนตึ๊บ มืดแปดด้าน ทั้งตาและหัวใจมีแต่น้ำใสๆไหลริน
สิ่งแรกที่เธอคิดได้ตอนนี้คือ ออกตามหาแจ็ค เผื่อว่าแจ็คจะรู้ว่าแพรวไปอยู่ที่ไหน เธอไปที่ร้านอาหารของลุงที่แจ็คไปทำงาน ที่ร้านบอกว่าแจ็คไม่ได้เข้ามาตั้งแต่เมื่อวาน ทรายจึงตรงไปที่วัดพบกับหลวงน้า
“หลวงน้าไม่เห็นอ้ายแจ็คเลย สองสามวันนี้ โยมทรายแวะไปดูที่บ้านบ้างแล้วยังหล่ะ”
“ไปดูแล้วเจ้าค่ะ ที่บ้านปิดเงียบ ไม่มีใครอยู่”
“หลวงน้าก็ไม่รู้จะแนะนำยังไง จะลองถามคนแถวนี้ดู ถ้ามีใครเห็น หลวงน้าจะโทรไปบอกโยมแล้วกันนะ”
“ค่ะ”
ทรายกราบลาแล้วเดินทางกลับมาที่บ้าน ตอนนั้นเย็นมากแล้ว แม่อรคงกลับมาจากทำงาน พอมาถึงบ้านทรายได้ยินเสียงทะเลาะกันดังโล้งเล้งไปหมด
“แม่แวว”
ทรายอุทานเมื่อเห็นแม่แววยืนอยู่หน้าประตูบ้านหน้าดำคร่ำเครียด แม่แววหันมาเห็นทรายก็ร้องเรียกทันทีอย่างฉุดเฉียว
“เป็นไงยะ แม่ตัวดี พาลูกสาวฉันไปซ่อนหรือไง”
แม่อรเดินออกมาจากบ้าน ปากเปิกสั่น หน้าตาเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ทราย แม่ของแพรวเขามายืนด่าแม่ถึงในบ้านนี่นานหลายนาทีแล้ว จะเอายังไงกันดีเนี่ย”
“แม่แวว เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
“หนอย ยังมาทำไขสือ ลูกสาวฉันหายไปทั้งคน เธอเอาไปซ่อนไว้ไหน”
“คุณ ฉันก็บอกแล้ว ว่าแพรวไม่ได้มาที่นี่ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อ...”
แม่อรพูดด้วยปากอันสั่นด้วยความโมโห
“คุณมายืนว่าฉันถึงหน้าบ้านต่างๆนานา เลี้ยงลูกไม่เป็นบ้างล่ะ อบรมลูกยังไงให้เที่ยวมาล่อลวงลูกคนอื่นให้หนีออกจากบ้านมั่งละ มันมากเกินไป ฉันเห็นลูกสาวคุณเป็นเพื่อนลูกสาวฉัน เห็นกันมาตั้งสี่ห้าปี คุณมาว่าปาวๆอย่างนี้ อย่าให้ฉันหมดความอดทนนะ”
“จริงๆค่ะ ทรายบอกแม่แววตั้งแต่เช้าแล้ว ว่าแพรวไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ทรายก็ไม่รู้ว่าแพรวอยู่ไหน...”
“ฉันไม่เชื่อ ก็แค่คืนลูกสาวฉันมา ฉันก็จะไปแล้ว ไม่อยากมาหรอกที่นี่น่ะ”
แม่แววพูดพลางเดินเข้ามากระชากตัวทราย คราวนี้แม่อรที่ดูหงอๆ ยอมยืนให้คนด่าอยู่ได้ตั้งนานหลายนาที พอเห็นแม่แววปรี่เขาดึงแขนทรายเท่านั้น วิญญาณแม่เสือเข้าสิงทันที
เธอปรี่เข้าไปขวางแม่แววกับทรายทำหน้าถทึงจนแม่แววถึงกับชะงัก เกิดกลัวขึ้นมาถึงกับเดินถอยออกไป แต่ยังไม่ไว้ลาย พูดขู่ด้วยเสียงอันดัง
“แกจะทำอะไรฉัน อย่านะ อย่าเข้ามานะ ฉันแจ้งความจับจริงๆด้วย”
“ก็ลองดูสิ คุณเข้ามาจับตัวลูกฉันทำไม นี่ก็บ้านฉัน ฉันปล่อยให้คุณเข้ามายืนด่าตั้งนานสองนาน ไม่ได้โต้ตอบอะไร นี่คุณจะเข้ามาทำร้ายลูกฉัน ฉันบอกแล้วว่าลูกสาวคุณน่ะไม่ได้อยู่ที่นี่ เด็กๆมันเป็นเพื่อนกันคุณอย่าทำกับเราขนาดนี้เลย เราก็โตๆเป็นผู้ใหญ่กันทั้งคู่....
ส่วนเรื่องลูกสาวคุณจะไปไหน ไปกับใครฉันก็ไม่รู้เรื่อง ลูกสาวฉันก็บอกแล้วว่าไม่รู้เรื่อง...”
“อะไรกันน่ะ”
พอดีวินกลับมาถึงบ้านจากที่ทำงานพอดี ก็ร้องถามด้วยความแปลกใจที่ทุกคนยืนเถียงกันอยู่หน้าดำคร่ำเครียด
“แพรวเขาหายไปทั้งคืน ฉันเป็นห่วงลูก ลูกฉันไม่เคยไปค้างคืนที่ไหน นอกจากบ้านนี้ ฉันรู้จักลูกฉันดี เพราะฉันดูแลประคบประหงม ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ลูกจะไปไหนจะทำอะไรฉันก็คอยสอดส่องดูแลทุกฝีก้าว คราวก่อน ถ้าไม่มีเพื่อนของลูกสาวคนนี้ ลูกสาวฉันคงไม่กล้าหนีออกจากบ้าน คุณสามคนพ่อแม่ลูกอย่าช่วยกันปิดบังเลย แม่ลูกเขาจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ปล่อยลูกสาวฉันมาเถอะ”
“ลูกคุณหายไปทั้งคืนคุณก็ไปตามหาที่อื่นสิ ลูกสาวคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อคืนก็ไม่มีใครมา ผมก็ไม่ได้เห็นลูกสาวคุณมาเที่ยวเล่นที่บ้านนานแล้ว แล้วเจ้าทรายล่ะ นังทราย ลูกสาวเขาอยู่ไหน บอกให้แม่เขาไปตามหาที่อื่นไป”
“หนูก็ไม่ทราบค่ะ วันนี้พอรู้ข่าวว่าแพรวหนีออกจากบ้าน หนูก็ออกจากบ้านไปตามหาที่ๆคิดว่าแพรวจะไปแต่ก็ไม่เห็นเลย หนูก็ร้อนใจ หนูก็เป็นห่วง...”
“เห็นมั้ย ไม่มีใครเขาเห็นลูกสาวคุณ แล้วอ้ายที่คุณบอกว่าถ้าไม่มีเพื่อนของลูกสาวคนนี้ ลูกสาวคุณคงไม่กล้าหนีออกจากบ้าน อันนี้พูดอย่างเป็นกลางๆนะ คนมันจะหนีออกจากบ้านหรือไม่ อยู่ที่ตัวมันเอง อยู่ที่พ่อแม่มัน ว่าพ่อแม่มันเลี้ยงลูกยังไง กดดันบีบคั้นมากขนาดไหน...
ความประพฤติส่วนตัวของยัยทรายก็คงไม่ถึงขั้นเป็นเด็กเกเรเหลือขอละมั้ง ลูกสาวคุณอาจจะเครียด อาจจะน้อยใจหรือถูกพ่อแม่บังคับกดดันบีบคั้น เด็กมันไม่มีทางออก มันก็หนีออกจากบ้าน นี่ดีนะที่คราวก่อนลุกสาวคุณหนีมาบ้านนี้ ถ้ามันหนีเตลิดไปที่อื่นน่ะคุณจะลำบาก บ้านเราก็ช่วยปลอบช่วยดูแล ให้ข้าวให้น้ำ เด็กมันสบายใจแล้วก็กลับบ้านไป...
เรื่องเด็กหนีออกจากบ้านนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายๆบ้านเขาก็เป็นอย่างนี้กัน แต่ก่อนที่พ่อแม่จะเที่ยวว่าใครต่อใครน่ะ ดูตัวเองซะก่อน คุณมายืนโล้งเล้งตะโกนด่าปาวๆ ผมได้ยินตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงบ้าน ก็เพราะพฤติกรรมเป็นยังงี้นะสิ ลูกมันถึงอยู่บ้านไม่ได้”
“คุณ...”
แม่อรยืนนิ่ง ทำสีหน้าตำหนิวิน
“อร ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว จะปล่อยให้คนนอกบ้านมายืนด่าคนในด้านปาวๆได้ยังไง...
อรเขาเป็นคนดีนะ เขาคงไม่กล้าทะเลาะกับคุณหรอก แต่ผมคงต้องยอมทะเลาะกับคุณด้วย เพราะผมเป็นสามีเขา ตัวผมเองยังไม่เคยเห็นเมียยืนปากสั่นหน้าซีดเพราะโดนคนด่ายังงี้มาก่อนเลย”
แม่แววอ้ำอึ้ง รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ทั้งด้านเหตุผลและกำลังคน เธอรู้สึกว่าการยืนอยู่คนเดียวแล้วเถียงกับคนอีกสามคนในบ้านของเขาคงไม่เป็นการดีแน่ แทนที่จะรู้สึกเสียใจที่ตามหาลูกไม่พบ แม่แววกับรู้สึกเสียหน้าที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเวทีนี้
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันยังหาลูกไม่เจอ ฉันเป็นห่วงลูกนะ”
“คุณก็ไปตามหาลูกคุณสิ ก็เราบอกแล้วว่าลูกคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าคุณมาดีๆเราอาจจะอยากช่วยตามหาให้ มาแบบนี้นี่ คราวหน้าอย่ามาอีกเลย คุณกลับไปเถิด อย่าให้ผมต้องทำอะไรมากไปกว่านี้”
แม่แววถึงกับเลิกลั่ก เธอรู้สึกแพ้เต็มรูป หันหลังเดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ ขณะกำลังปิดประตูรถยังมีเสียงแว่วออกมา
“อ้ายคนขับรถนี่ก็เป็นแต่ขับรถจริงๆนะแก เห็นฉันยืนทะเลาะกับคนอื่นปาวๆ มันจะออกมาช่วยกันสักนิดก็ไม่มี หลายหนแล้วนะ ที่แกปล่อยให้ฉันยืนทะเลาะกบคนอื่นโดยไม่ได้ออกมาช่วยฉันทะเลาะสักหน...”
รถหรูคันนั้นวิ่งลับไปแล้ว วินทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะเดินขึ้นไปห้องของตัวเอง แต่ไม่วายพูดลอยๆขึ้นมา
“ดูมันสิยัยคุณนายนั่น ยังมีหน้าไปด่าคนขับรถว่าปล่อยให้ไปยืนทะเลาะกับใครต่อใครหลายหนแล้ว นี่แปลว่าแกต้องมีปัญหาทางจิตแน่ๆ เที่ยวทะเลาะกับใครต่อใครซะทั่ว”
“พี่วิน...”
แม่อรหันมายิ้มให้กับสามี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่วินแสดงท่าทีปกป้อง