นิยายรักหวานเรื่องแรกของ ล. วิลิศมาหรา "เสียงแห่งรักแท้"

กระทู้สนทนา
เสียงแห่งรักแท้



ตอนที่ 1

โดย... ล. วิลิศมาหรา



“เอี้ยดดดด”

“ว้ายยยย”

    เสียงล้อรถยนต์บดเสียดกับท้องถนนดังสนั่น พร้อมเสียงหวีดร้องของสตรีอีกฟากถนน รถเก๋งคันต้นเสียงคนขับคงเหยียบเบรกจนตัวโก่ง หวุดหวิดจะชนร่างหญิงสาววัยรุ่นในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนสอนคนหูหนวกมีชื่อแห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างถนนใหญ่ฟากนี้  โชคดีที่ผู้ชายตัวสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีเข้มซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง ปราดเข้าคว้าร่างของสาวน้อยเอาไว้ได้ทัน เขากระชากตัวเธอให้พ้นรัศมีการชนของรถคันดังกล่าว

    หญิงสาวคนขับรีบเปิดประตูรถลงมาด้วยสีหน้าซีดเผือด ร่างอรชรในชุดแซกสั้น เรียบแต่หรูกระวีกระวาดตรงมาที่ชายหญิงซึ่งยังยืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่บนฟุตปาธ

“ไม่เป็นอะไรกันใช่ไหมคะอาร์ต”

ชายร่างสูงหน้าตาคมเข้มคลายร่างเด็กสาวในวงแขนออก เธอยังมีท่าทีตกใจ ยืนตัวสั่นน้อย ๆ เบิกตาโตอยู่กับที่ ร่างเล็กเซไปข้างหลัง ชายหนุ่มจึงต้องรวบร่างนั้นมาประคองไว้อีกครั้ง

“เกือบไปแล้วนะแพรว ขับรถระวังคนข้ามถนนด้วยสิ ตรงนี้ทางม้าลายนะ แพรวน่าจะชะลอรถลงหน่อย”

ใบหน้าแต่งเอาไว้เนียนสวยของคนขับหญิงที่ชื่อแพรว หรือรุจิรา เลิศภักดีงอง้ำลงเมื่อได้ยินคำตำหนิของชายหนุ่ม ก็เพราะเธอเห็นอาร์ตหรืออรรถพล อภิวงศ์แฟนหนุ่มยืนอยู่ข้างฟุตปาธ จึงรีบเปลี่ยนเลนเพื่อจอดเทียบโดยไม่ทันได้คำนึงถึงความปลอดภัยของคนเดินถนน เพียงหวังจะถามไถ่ที่เขาหายหน้าไปหลายวัน พอโทรศัพท์ถามจากเพื่อนสนิทของเขาถึงได้รู้ว่า อรรถพลมาเกร่แปะป้ายรับสอนดนตรีและสอนวาดภาพอยู่หน้าโรงเรียนแห่งนี้

“แพรวมัวมองพี่อาร์ตสิคะ แต่เด็กไม่เป็นไรนี่ ใช่ไหมจ๊ะหนู”

“หนูนิด เป็นยังไงมั่งลูก เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

สตรีสูงวัยคนหนึ่งวิ่งข้ามถนนตรงมาหาพลางละล่ำละลักถาม ทันทีที่หล่อนมาถึงตัว เด็กสาวก็รีบผละออกจากวงแขนของผู้ชายตัวสูงโผเข้าหามารดา ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักส่ายหวือ ๆ ปฏิเสธ พลางทำมือเป็นภาษามือบอกว่า

“หนูไม่เป็นไรค่ะ แค่ตกใจนิดหน่อย”

“แพรวขอโทษค่ะ พอดีจะรีบเอารถเข้าจอดเทียบข้างฟุตปาธ...ไม่ทันระวัง แต่แพรวกดแตรนะคะ น้องก็ยังเดินลงมาอยู่อีก”

สาวสวยแสดงท่าทีเสียใจ ถึงเธอกล่าวขอโทษแต่ยังไม่วายบ่นอีกฝ่าย ราวจะบอกในทีว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดฝ่ายเดียว สุวรรณีหญิงวัยห้าสิบตระกองกอดบุตรสาว ลูบหน้าลูบผมเรียกขวัญอยู่ไปมา

“ขวัญเอ้ยขวัญมา...แกไม่ได้ยินหรอกค่ะ ยายหนูนิดแกเป็นใบ้ พิการหูมาตั้งแต่กำเนิด ขอบคุณพ่อหนุ่มคนนี้มากนะคะ ที่ช่วยดึงตัวแกไว้ทัน”

สุวรรณีหันไปบอกสองหนุ่มสาวและเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มน้ำใจงาม อรรถพลพอได้ยินถึงกับยืนอึ้งเขาเหลือบมองเด็กสาวหน้าตาดีน่ารักที่เขาพึ่งช่วยเอาไว้จากการถูกรถเก๋งของแฟนสาวพุ่งชนเมื่อสักครู่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตากลมโตใสแจ๋วมองตอบเขาอย่างไร้เดียงสา แม่สาวน้อยคนนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง
รุจิราเมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่เป็นอะไรก็ไม่อยากใส่ใจคู่กรณีให้มากไปกว่านี้ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนบอกว่า

“เรื่องเมื่อกี้แพรวขอโทษอีกทีนะคะ เอ้อ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว แพรวขอตัวก่อน พี่อาร์ตจะกลับพร้อมกันกับแพรวหรือเปล่า พี่ทำธุระเสร็จหรือยังคะ”

“เชิญเถอะค่ะ ไปลูก...จะออกมาทำไมนะ แม่มาช้านิดเดียวเอง รถเราจอดอยู่ทางโน้นแน่ะ”

สุวรรณี สิริศุภโชค โอบไหล่บุตรสาวชวนเดินห่างสองหนุ่มสาวออกมา แว่วเสียงรุจิราบ่นลูกสาวของเธอตามหลังแต่สตรีสูงวัยไม่สนใจ แค่ยายหนูนิดของเธอไม่เป็นอะไรก็ดีนักแล้ว ส่วนแม่สาวขับรถไม่ดูคน สักวันหล่อนคงถึงคราวซวย

สุวรรณีเป็นหญิงม่ายวัยห้าสิบปี เธออาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ย่านชานเมืองตามลำพังกับณิชชา สิริศุภโชค หรือที่เธอเรียกอย่างเอ็นดูว่า “ยายหนูนิด”ลูกสาวคนเดียวของเธอ สุวรรณีมีฐานะดีพอสมควร เพราะสามีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ด่วนเสียชีวิตไปได้ทิ้งมรดกและหุ้นในบริษัทรับเหมาก่อสร้างไว้ให้ภรรยามากพอดู กับทรัพย์สินเดิมอีกพอประมาณ และเธอยังมีเงินเบี้ยหวัดบำนาญของข้าราชการครูที่ชิงลาออกก่อนเกษียณเนื่องจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพอีกทางหนึ่ง สองแม่ลูกจึงพอมีเงินทองใช้จ่ายได้อย่างไม่ฝืดเคือง

เมื่ออยู่ตามลำพังกับแฟนหนุ่ม หลังบ่นสองแม่ลูกจนพอใจแล้ว รุจิราจึงหันมาเอ่ยอย่างแง่งอนใส่เขา

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์แพรวคะ โกรธแพรวเรื่องไม่ไปฟังเพลงใหม่ที่พี่แต่งเมื่ออาทิตย์ก่อนใช่ไหม”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก แพรวยุ่งซ้อมเต้นอยู่ พี่เข้าใจ เผอิญพี่ก็ยุ่งเหมือนกัน”

ใบหน้าคมสันหมองลง เขาปฏิเสธแฟนสาวอย่างพยายามรักษาน้ำใจ ชายหนุ่มไม่อยากบอกคนรักว่าเขารู้สึกแย่ที่พักนี้งานแต่งเพลงน้อยลง เขาติดขัดอารมณ์ละมุนละไมอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่อาจแต่งเพลงออกมาให้ดีได้ดังใจ ภาพเขียนก็ยังขายไม่ได้

สถาบันรับสอนศิลปะ”เลิฟอาร์ต”ที่พึ่งก่อตั้งขึ้นของเขาไม่มีเด็กเพิ่ม เด็กคนสุดท้ายพึ่งสอนเล่นเปียโนจบหลักสูตรไปเรียบร้อยแล้วเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้เขาไม่มีรายได้เข้ามาเลย และจำเป็นต้องขอร้องให้ทางบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดส่งเงินมาให้ใช้จ่าย โชคดีที่ฐานะทางบ้านมีอันจะกิน เพราะคุณพ่อเป็นเจ้าของกิจการส่งออกสินค้าทางการเกษตรรายใหญ่ บิดามารดาของอรรถพลเข้าใจในตัวลูกชายคนเดียวดี จึงสนับสนุนให้กำลังใจตลอดมา ซึ่งเขานึกรักท่านทั้งสองจริง ๆ

อรรถพลมีความฝันอยากเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชั้นนำของเมืองไทย แต่หนทางไปสู่ฝันนั้นช่างยากลำบาก หลังเรียนจบศิลปากร ชายหนุ่มพยายามตามหาความฝันมาตลอด ทั้งแต่งเพลงส่งตามค่ายเพลงต่าง ๆ ทั้งเข้าประกวดร้องเพลงตามโครงการเฟ้นหาดวงดาวประดับวงการบันเทิง และเขายังวาดภาพขายไปด้วย รวมทั้งเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ แต่ทั้งหมดที่ลงมือลงแรงทำก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จที่น่าพอใจ จนล่วงเข้าสู่ปีที่สามมานี่แล้ว
หนุ่มอารมณ์ศิลป์จากบ้านมาไกลเพื่อสิ่งนี้พร้อมรุจิรา สาวรุ่นน้องเขาสองปีคนบ้านเดียวกัน ที่ดูเหมือนเธอกำลังไปได้ดีกับอาชีพครูสอนท่าเต้นให้กับแดนเซอร์วงดนตรีต่าง ๆ รุจิรางานชุกจนแทบไม่มีเวลาได้มาเจอกัน แต่พอได้พบกัน เธอก็เอาแต่ถามถึงความก้าวหน้าของการตามล่าฝันจากแฟนหนุ่มอยู่นั่นแล้ว ซึ่งมันทำให้อรรถพลรู้สึกเครียด

เมื่อเห็นสาวคนรักคาดหวังเรื่องนี้ไว้มาก อรรถพลก็แสนลำบากใจ เขาจะตอบเธอได้อย่างไรว่า ตอนนี้เขาแค่อยากมีรายได้พอใช้จ่าย โดยไม่ต้องรบกวนทางบ้านบ่อย ๆ เสียก่อน นี่ก็ปริ้นแผ่นกระดาษ A4 ซึ่งมีข้อความรับสอนพิเศษวาดรูปและสอนดนตรีตามบ้านให้คนที่สนใจ แล้วนำไปไล่ติดไว้แถวหน้าโรงเรียนชื่อดังต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาแม้แต่รายเดียว ที่เขาหลบหน้าเธอก็เพราะไม่อยากตอบคำถามซ้ำ ๆ เรื่องการไปเป็นศิลปินให้ค่ายเพลงชื่อดัง ซึ่งเขายังทำไม่ได้

“พี่กำลังหาทางสอนดนตรีเด็กตามบ้าน อยากหาเด็กเพิ่ม เด็กที่โรงเรียนสอนจบคอร์สไปหมดแล้ว”

อรรถพลก้าวขึ้นรถเก๋งของแฟนสาว รู้สึกอึดอัดที่ต้องคอยอาศัยรถยนต์ของเธอมาตลอด ส่วนรถเก๋งของเขาจอดทิ้งไว้ที่โรงเรียนสอนดนตรีของตัวเองเพื่อประหยัดรายจ่าย ครูสอนศิลปะหนุ่มชอบไปไหนมาไหนด้วยรถเมล์ ซึ่งพอรุจิรารู้ก็มักต่อว่าแฟนหนุ่มที่ทำตัวซอมซ่อเกินไป และอาสาพาเขาไปส่งถึงที่เสียเองหากเธอมีเวลามากพอ

“มัวแต่หาสอนเด็ก”

รุจิราสตาร์ทเครื่องก่อนพารถเคลื่อนมุ่งหน้ากลับทาวน์เฮ้าส์ของอรรถพล ที่ชั้นล่างเปิดเป็นโรงเรียนสอนดนตรีและวาดภาพ

“แต่งเพลงอีกสิคะ แล้วร้องให้แพรวฟังใหม่ พี่อาร์ตลองฮึดดูอีกที ส่งค่ายบลูสตาร์ก็ได้ ค่ายนี้เขาไม่ได้ขายตัวศิลปินแต่เน้นงานเพลงคุณภาพ คราวนี้แพรวจะไม่ผิดนัดอีกแล้ว สัญญาค่ะ”

ใบหน้าสวยคมของรุจิราส่งยิ้มหวานมาให้ อรรถพลยิ้มน้อย ๆ ตอบแฟนสาว เขาเบือนหน้ามองไปข้างนอกหน้าต่างรถ ก่อนลอบถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจ



อรรถพลมาหยุดยืน อยู่หน้าประตูรั้วบ้านเดี่ยวทรงยุโรปหลังใหญ่ในเช้าวันหยุดถัดมา ชายหนุ่มกดกริ่งหน้าบ้านสองครั้ง สักพัก หญิงสาวคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากข้างในตัวบ้าน ตรงมาเปิดประตูรั้วเหล็กดัดให้ หล่อนยกมือไหว้เขาก่อนเอ่ยเชิญ

“คุณนายกับคุณหนูนิดกำลังรอคุณอยู่ค่ะ เชิญข้างในเลยค่ะ”

อรรถพลรับไหว้ เขายิ้มให้หญิงรับใช้ก่อนสาวเท้าตามเธอเข้าไปในบ้านหลังงาม ภายในห้องรับแขกหรูหรา สุวรรณีนั่งรออยู่ที่โต๊ะรับแขกพร้อมกับณิชชาบุตรสาว เธอส่งยิ้มทักทายให้ชายหนุ่ม ครูสอนศิลปะถึงกับชะงักเมื่อพบหน้าคนที่โทรศัพท์ไปจ้างเขาให้มาสอนวาดภาพและสอนเล่นเปียโนให้ลูกสาวที่บ้าน  

“ที่แท้พ่อหนุ่มใจดีคนนี้นี่เองที่หนูนิดเลือกมาสอนศิลปะ”

“อ้อคุณป้านั่นเอง ผมจำได้แล้ว คงเป็นคุณหนูนิดสินะครับที่ติดต่อไปทางอีเมลในแผ่นปิดประกาศรับสอนดนตรีของผม”

ชายหนุ่มไหว้สวัสดีมารดาของณิชชา และหันมารับไหว้จากสาวน้อย ก่อนทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าหญิงทั้งสอง

“หนูนิดแกแกะแผ่นปิดติดมือมาด้วยจ้ะ นวล หาน้ำหาท่ามาเสิร์ฟคุณครูอาร์ตเขาที”

เจ้าของบ้านหลังงามรับคำก่อนสั่งสาวใช้ให้ไปยกน้ำดื่มมารับรองแขก หล่อนเรียกชื่อเล่นของชายหนุ่มอย่างสนิทสนม เป็นเพราะณิชชาเล่าด้วยภาษามือให้เธอฟังก่อนหน้าว่า ต้องการเรียนวาดภาพและเล่นเปียโนกับครูอรรถพลหรือครูอาร์ตจากโรงเรียนสอนศิลปะเลิฟอาร์ต ที่เธอพบในแผ่นปิดหน้าโรงเรียนสอนภาษามือคนหูหนวกที่ตัวเองสอนอยู่ เด็กสาวต้องการเรียนวาดภาพและเล่นเปียโนที่บ้านในตอนเย็น ณิชชาลงมือติดต่อไปทางอีเมลและขอให้มารดาเป็นคนโทรศัพท์นัดหมาย

เมื่อทักทายและดื่มน้ำเย็น ๆ แก้กระหายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สุวรรณีก็ถามถึงเรื่องการเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้นทันที ซึ่งทีแรกอรรถพลรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เมื่อรู้ว่าจะต้องสอนวาดภาพและเล่นดนตรีให้ลูกศิษย์ที่พิการหูหนวก

ขณะชายหนุ่มกำลังชั่งใจ พลันสายตาก็ประสบเข้ากับดวงตากลมโตแจ่มใสของเด็กสาว ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายชื่นชมครูสอนดนตรีหนุ่มอย่างเห็นได้ชัด สาวน้อยคลี่ยิ้มน่ารัก ทำมือบอกว่า “ดีใจจังที่คุณมา”

“แกบอกว่าดีใจที่คุณรับสอนแกจ้ะ เราอยู่กันสองคนแม่ลูกกับแม่บ้านชื่อนวล พ่อแกเสียไปนานแล้ว หนูนิดแกขอบคุณ คุณครูอาร์ตที่ช่วยเหลือแกวันนั้น”

สุวรรณีอธิบาย อรรถพลซึ่งทีแรกอึดอัดใจและกำลังครุ่นคิดถึงความยากลำบากในภายภาคหน้า หากต้องได้สอนทั้งวาดภาพและดนตรีให้คนพิการทางหูขึ้นมาจริง ๆ...ก็แล้วจะสื่อสารกันอย่างไรดีล่ะนี่

ยิ่งเห็นเด็กสาวทำมือทำไม้ ชายหนุ่มก็ทำหน้าเหรอเพราะอ่านภาษามือไม่ออก แต่ครั้นพอได้ยินความรู้สึกของสาวน้อยตรงหน้าและเรื่องราวของสองแม่ลูกจากปากมารดาเธอ อรรถพลก็อดรู้สึกสงสารหญิงสาวพิการขึ้นมาไม่ได้

“เอ้อ เห็นทีอันดับแรกผมคงต้องเรียนรู้ภาษามือเสียก่อนแล้วล่ะครับ ถึงค่อยลงมือสอนศิลปะให้คุณหนูนิดอีกที”

ครูสอนวาดภาพและสอนดนตรีพยายามเรียบเรียงคำพูดไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจของมารดาลูกศิษย์อาภัพ ซึ่งดูเหมือนสุวรรณีจะเข้าใจดี หญิงสูงวัยจึงพูดอย่างปรานี

“เรียกแกว่าหนูนิดเถอะจ้ะ เรียกป้าว่าป้านีก็ได้ หนูนิดอายุยี่สิบสี่ปี แกเป็นคนฉลาดและมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะโดยเฉพาะเล่นเปียโน ถึงจะหูหนวกแต่แกสัมผัสความไพเราะของเสียงดนตรีได้ด้วยหัวใจแกจ้ะ อีกอย่าง หนูนิดเป็นครูสอนภาษามือให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนสอนคนหูหนวก ครูอาร์ตไม่ต้องไปเรียนภาษามือที่ไหนหรอก เดี๋ยวเปลี่ยนกันสอนก็ได้”

สุวรรณีพูดพร้อมหัวเราะขำ อรรถพลพลอยหัวเราะตาม ชายหนุ่มรู้สึกชื่นชมมารดาของเด็กสาวพิการ สตรีผู้นี้ไม่ย่อท้อในการเลี้ยงดูบุตรสาว ถึงแม้ลูกสาวของเธอจะผิดปกติ หญิงม่ายก็ยังพยายามเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้


(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่