สัญญาอมตะ ตอนที่ 16

กระทู้คำถาม
หลังเซธกลับจากต่อสู้กับกูล่าก็หลับเป็นตายทั้งที่กำของต่างหน้าคนรักเอาไว้ เขาตัดสินใจเก็บไว้ในกล่องราวสมบัติล้ำค่าตั้งแต่ท่านผู้นั้นบอกว่าต้องไปจัดการลักซูเรีย หากวันนั้นเขาพกไปคงเสียอย่างไม่มีวันได้คืน
 
            อาจเพราะเหตุนั้นทำให้เขาฝันถึงวันแรกพบกับโซลาน่า ตอนนั้นเซธได้คู่สามีภรรยานักค้าที่ดินกับนักดนตรีมืออาชีพรับไปเลี้ยง เขาอยู่บนคอกสูงสำหรับคนสำคัญหรือผู้กระเป๋าหนัก แม่บุญธรรมอยู่ข้างเวทีกับเหล่านักดนตรีคอยประโคมเพลงสำหรับละครเวทีเรื่องหนึ่ง โรงละครของเมืองช่างน่าตื่นตาด้วยผู้คนและการตกแต่ง ดนตรีอาจเพลินหูแต่ละครนั้นยากไปสำหรับเด็กวัยสิบปี
 
            เด็กชายเมื่อตอนนั้นมองอะไรไปเรื่อยจนก้มไปสบสายตากับผู้ชายในหมู่คนดูข้างล่าง ดูประหลาดหากคน ๆ หนึ่งไม่สนใจละครเวทีแล้วเงยหน้าขึ้นมามองจ้องตากับเด็กน้อย ราวกับเขาคนนั้นพบสิ่งน่าสนใจกว่า
 
            เด็กชายยิ้มตอบคนข้างล่างจนพ่อบุญธรรมเรียกให้ทำความรู้จักขุนนางเก่าซึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่เมืองนี้หมาด ๆ ลูกสาวของชายอ้วนอายุไล่เลี่ยกับเขาและมีดวงตางดงาม ชื่อของนางคือโซลาน่า จากนั้นทั้งอนาทอลและโซลาน่าก็เป็นเพื่อนกัน
 
            เซธยิ้มอย่างเปี่ยมสุขจนข้อบกพร่องในความทรงจำเกิดขึ้นอีกครั้ง ภาพสตรีผมเขียวแทรกขึ้นเหมือนภาพฉายสมัยใหม่ แววตาสีอำพันโศกดั่งปริศนาของจักรวาลมองมาอย่างถวิลหา ผมสีเขียวเข้มไม่ว่ามองกี่ครั้งก็คิดว่ามันดูแปลกสำหรับมนุษย์ธรรมดา 
 
            ผู้เป็นอมตะสะดุ้งตื่นพร้อมเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว! ทันใดนั้นมันก็กลับมา ทัณฑ์ทรมานแห่งคำสาปอันหนาวเย็นเริ่มกล้ำกรายบนผิวหนัง จากนั้นมันก็ดำดิ่งสู่เนื้อและกระดูกเหมือนมีมีดน้ำแข็งนับร้อยพันปักคาไว้ ทั่วสรรพางค์กายถูกถมด้วยความหนาวดุจไอเย็นจากนรก ทั้งเส้นเลือดและเส้นเอ็น อวัยวะภายในและภายนอกต่างถูกย้อมด้วยความเย็นยะเยือกจนแทบกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง แขนขางอหงิกเข้าหากันอย่างน่าเวทนา เสียงร้องของเขาแผดขึ้นและพร่าเลือนเพราะคอจับตัวเป็นก้อน ลมหายใจเข้าออกเหมือนสายโซ่แห่งความปวดร้าวคัดคั่งในปอดตลอดเวลา
 
            ระหว่างการทนทุกข์ดังกล่าวเซธยังรู้ตัวว่ามีคนช่วยนำผ้าห่มหลายผืนมาคลุมให้ ผ้าในมือเหมือนแหล่งกำเนิดความอบอุ่นยามคำสาปทำงานเช่นกัน เมื่อความหนาวเย็นผ่อนคลายลงภาพความทรงจำดั้งเดิมก็ประดังเข้าสู่การรับรู้ทันที เขากับโซลาน่า การตายของนางและสัญญากับเสาค้ำจุนสูงสุด จากนั้นผู้เป็นอมตะก็หลับใหลอย่างเหนื่อยล้าเช่นเดิม...
 
 
            ผลจากการต่อสู้และคำสาปซึ่งแสดงอาการในวันเดียวกันทำให้ผู้เป็นอมตะหลับเป็นตายนานเท่าไรไม่ทราบได้ หัวของเซธมีแต่ฝันไร้สาระอัดแน่นเหมือนนุ่นในฟูก ท้องร้องระงมด้วยความหิว แขนขาไร้เรี่ยวแรงทว่าไม่มีความเจ็บปวดหลงเหลืออีกแล้ว เขารับรู้ว่าเป็นกลางวันเพราะแสงสว่างรอบตัว พอจะลองลุกนั่งคนข้าง ๆ ก็ทักขึ้น
 
            “ใจเย็นอนาทอล ข้าจะโทรศัพท์ให้ใครสักคนหาอะไรมาให้กิน” ท่านผู้นั้นมักเฝ้าอยู่ข้างเตียงเสมอยามเกิดเรื่องคับขัน เซธถามด้วยเสียงแหบ ๆ ว่าเขาหลับไปนานกี่วัน และคนตรงหน้าคือตัวจริงหรือไม่
 
            ท่านผู้นั้นตอบคำถามด้วยการวางมือลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วสร้างหุ่นมังกรจากน้ำแข็งขนาดเล็กขึ้น จากนั้นก็ใช้โทรศัพท์เรียกคนรับใช้ให้หาอาหารมาให้เขากิน
 
            “เจ้าหลับไปสองวันเต็ม ๆ อดห่วงไม่ได้จึงขอกลับมาก่อน ส่วนวันติดค้างข้าจะชำระภายหลังด้วยราคาเท่าตัว” ท่านผู้นั้นบ่นอุบว่าปล่อยเซธทิ้งไว้ไม่ได้ “ข้าดูอยู่ตลอด เจ้านี่เข้าข่ายแกว่งเท้าหาเสี้ยน! เตือนนักเตือนหนาว่ามันไม่สำคัญก็สู้อุตส่าห์ถามให้คิดมากเสียเวลาพักผ่อน พอเห็นคนอื่นมาอยู่แทนก็ทำอะไรตามอำเภอใจจนข้าต้องส่งจดหมายเตือนมาช่วย ตอนสู้กับกุล่าหากเจ้าฟังนางแต่แรกก็จบโดยไม่ต้องเสี่ยงแบบนั้นแล้ว คำสาปของเจ้าไม่มีวันคลายหากเสาค้ำจุนไม่ยอมรับ แต่ถ้าไม่ออกมาจากท้องมังกรก็ต้องอยู่ในนั้นพร้อมทรมานจากคำสาปตลอดกาลเพราะถือว่าหันหลังให้ภารกิจ”
 
            เซธหน้าเสียเพราะโดนอบรมตั้งแต่ลืมตาตื่น เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องว่าท่านผู้นั้นกับ ‘เขา’ เกี่ยวข้องกันด้วยเรื่องใด ท่านผู้นั้นนิ่งแล้วบอกให้เขาไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเสียก่อน
 
            “ข้าจะทำแค่ชี้ทางสู่คำตอบคร่าว ๆ เพราะนั่นคือความเป็นตายของตัวข้าเอง ประเดี๋ยวไปถามไปฟังใครต่อใครจนเป็นปัญหาอีก” ท่านผู้นั้นยืนพิงกรอบประตูห้องน้ำระหว่างรอเซธแปรงฟัน “หนึ่งในเสาค้ำจุนเคยทดลองสร้างนักรบผู้มีพลังอำนาจตั้งแต่เกิดด้วยการผสานศพเด็กในครรภ์แม่กับวิญญาณวีรชน” 
 
            ท่านผู้นั้นย้ำกับเซธว่าเรื่องนี้ซับซ้อนแต่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด
 
            “การทดลองเริ่มจากนำวิญญาณสองดวงใส่ร่างทารกที่ตายอยู่ในท้องแม่เพื่อให้มีชีวิตขึ้นอีกครั้ง วิญญาณดวงหนึ่งจะทำให้ร่างมีชีวิตเหมือนลงมาเกิดใหม่ ส่วนอีกดวงจะทำหน้าที่เป็นต้นทุนความรู้ความสามารถทุกอย่างให้เด็กคนนั้น มันคือการทดลองครั้งแรกพระนางจึงใช้วิญญาณของผู้กล้ากับวีรชน
 
            “มันเกิดปัญหาตั้งแต่ต้นเพราะร่างแม่ถูกคำสาปร้ายต้องใช้เวทต้องห้ามให้เด็กเกิดก่อนกำหนด นั่นทำให้เด็กมีวิญญาณของตัวเองอีกดวงผ่านกระบวนการทางเวทมนตร์ การมีวิญญาณวีรชนในร่างน่าจะทำให้เด็กมีสภาพความคิดและความรู้เหมือนผู้ใหญ่ในเวลาสั้น ๆ กลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะร่างเสถียรแล้วจึงไม่ควบรวมกับวิญญาณวีรชนทั้งสอง นอกจากเด็กคนนั้นจะถูกพ่อทอดทิ้งยังเป็นแค่คนธรรมดาที่แม้แต่เชื่อมโยงธาตุในอากาศยังทำไม่ได้ 
 
            “แถมวิญญาณวีรชนทั้งสองคนก็มาถกกันเรื่องเด็กเจ้าของร่างอีก คนหนึ่งเชื่อในตัวเขาแต่อีกคนอยากทดสอบให้แน่ใจ ถึงขนาดพนันกันว่าเด็กคนนั้นจะทำอย่างไรหากอยู่ดี ๆ ก็มีความสามารถเหนือผู้คนรอบตัว ถ้าผู้กล้าชนะเขาจะยอมเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กคนนั้นจนพร้อมรับตำแหน่งคนที่สองแทนที่จะเป็นฝ่ายออกไปจากร่าง หาก ‘เขา’ ชนะก็จะยึดร่างของเด็กคนนั้นแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้งตามความตั้งใจของตัวเอง”
 
            ท่านผู้นั้นหัวเราะอย่างขมขื่น เซธรู้สึกแย่ที่ความอยากรู้อยากเห็นขุดสิ่งไม่พึงปรารถนาขึ้น ทว่าเขาหยุดเมื่อบ้วนปากแล้วมองกระจก มันไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าทั้งหมด เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกบอกว่าท่านผู้นั้นไม่ได้เชื่อมต่อกับผู้กล้า แต่หาก ‘เขา’ เป็นฝ่ายชนะพนันเหตุใดท่านผู้นั้นจึงเป็นฝ่ายควบคุมร่างล่ะ
 
            “พวกเทพปิศาจรู้แค่ข้าแค่รับถ่ายทอดพลังมากจากวิญญาณของผู้กล้าหรือไม่ก็ ‘เขา’ เท่านั้น คนอื่น ๆ คิดว่าข้าจับเข่าคุยกับสองคนนั้นจนเข้าใจกันได้แต่เปล่าเลย เหล่าศัตรูต่างหวาดเกรงและรู้เฉพาะสิ่งที่ข้าต้องการให้เห็นเท่านั้น ชายหนุ่มอายุยี่สิบเศษยืนตรงหน้าผู้เรียกตนว่าจอมมาร บางคนอาจคิดถึงการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรมแต่ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้คำตอบอยู่แล้ว...ตอนนั้นวิญญาณของผู้กล้ากลับสู่วังวนแห่งชีวิตและความตายโดยไม่ผูกติดกับข้าอีก”
 
            คำตอบผุดขึ้นในหัวของเซธทันที ท่านผู้นั้นทำสัญญากับ ‘เขา’ เพื่อให้ได้ความสามารถและพลังทั้งหมดมา นอกจากนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้วเพราะ ‘เขา’ แสดงอาการเป็นมิตรเกินกว่าจะอยู่ในการควบคุม ทว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนั่นจึงเป็นจุดอ่อนของท่านผู้นั้น
 
            “การทดลองร้ายกาจนั่นทำให้ข้ามีความรู้ทุกอย่างของ ‘เขา’ และ ‘เขา’ กลายเป็นอาจารย์ของข้าตามพันธสัญญาของพวกนั้น ทันทีที่ข้าผ่านประตูเข้าไปก็ได้รับหน้าที่รักษาเก็บคลังความรู้ตั้งแต่สมัยเทพมังกรโน่น หากเจ้าพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้ใช้เวทมนตร์ได้เหมือนคนอื่น ๆ จะทำอย่างไรเมื่ออยู่ใกล้แหล่งความรู้มหาศาลนั่น รู้ตัวอีกทีข้าก็เข้าใกล้เสาค้ำจุนมากที่สุดแล้ว หากฝ่ายตรงข้ามได้ตัว ‘เขา’ ไปก็เท่ากับรู้ทุกอย่างของข้าเพราะพวกเราเชื่อมต่อถึงกัน เจ้าคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเทพปิศาจได้พลังของข้าไว้ใช้งาน”
 
            ท่านผู้นั้นปิดด้วยคำถามที่เซธไม่อยากหาคำตอบ การเป็นวีรชนสมัยก่อนไม่ต่างกับดารานักร้องสมัยนี้ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์รู้เรื่องของพวกเขา คงไม่ยากนักหากค้นหาข้อต่อรองที่เหนือกว่าของท่านผู้นั้นมาทำให้ ‘เขา’ เปลี่ยนฝ่ายได้
 
            “ท่านพี่เฟเรซิสบอกว่าตรรกะและความคิดของข้าบิดเบี้ยวจากคนปกติเพราะการถูกทิ้งในวัยเด็ก แต่ช่างปะไรในเมื่อสามารถบันดาลฝันร้ายให้พวกปากมากได้” ท่านผู้นั้นตอบอย่างไม่แยแสว่าตนเหมือนทั่วไปหรือไม่ “ของกินคงมาแล้ว กินให้มีแรงเดี๋ยวจะพาไปดูอะไรน่าสนใจ”
 
            เสียงเคาะประตูดังขึ้นแสดงว่าคนเอาของมาให้ ท่านผู้นั้นร้องบอกให้อีกฝั่งเปิดประตูเข้ามาได้ทันที ผู้เป็นอมตะรับอาหารมาพร้อมครุ่นคิดเรื่องข้างต้น การทดลองผิดพลาดนำมาซึ่งหายนะไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน การเลี้ยงดูมีผลกับตอนโตมากกว่าที่คิด และหากท่านผู้นั้นไม่ตั้งใจรักษาสัญญา ‘เขา’ คงแปรพักตร์ไปอยู่อีกฝ่ายแทนแล้วเพราะมีอิสระในการย้ายฝั่ง เรื่องที่ท่านผู้นั้นเล่าแฝงแง่คิดไว้เสมอ ผิดกับเรื่องที่เขาทู่ซี้ถามซึ่งไม่มีสาระสำคัญอะไรเลยนอกจากความยึดติด..
 
 
            บ่ายแก่ ๆ เซธกับท่านผู้นั้นใช้มนตร์เคลื่อนย้ายของซาเรียมาอยู่หน้าสวนป่าที่มีรั้วกั้นเป็นสัดส่วน ท่านผู้นั้นยืนสูดอากาศในชุดเสื้อคอปกสีอ่อนดูร่าเริงมากกว่าตอนคุยกับเซธก่อนทานอาหารกลางวัน
 
            “เจ้าอาจจำไม่ได้ ที่นี่คือสถานที่เก็บฝังศพในตอนนั้นซึ่งรวมถึงโซลาน่าของเจ้าด้วย มันคือสุสานเก่าแก่ที่ร่ำลือกันว่าผีดุจนกลายเป็นจุดท่องเที่ยวแม้จะผ่านไปนานกว่าหกร้อยปี ข้าคิดว่ามันเป็นผลตกค้างจากการใช้ผลึกกาลเวลา มันทำให้ความทรงจำของพื้นที่ถูกแสดงออกเหมือนภาพหลอนช่วงสั้น ๆ นั่นล่ะคือผีของทุกคน” 
 
            แทนที่เซธจะรู้สึกโหยหาคิดคำนึงกลับรู้สึกคุ้นตา รั้วหินสีน้ำตาลหม่นทอดยาวกับประตูโครงเหล็กลายแปลก ๆ ผ่านช่วงเวลาหกร้อยปีเขาไม่น่าจำรายละเอียดได้มากขนาดนี้ แถมตอนเขาเริ่มเดินทางมันยังไม่มีรั้วด้วยซ้ำ จนท่านผู้นั้นเรียกให้ดูบางสิ่งทางซ้ายไกลออกไป มันคือยอดสูงของอนุสาวรีย์ทหารข้าง ๆ รัฐสภาที่เขาใช้พักนอนอยู่ทุกวัน!
 
            “เจ้าอวาร์ริเทียช่างเลือกที่อยู่ได้ถูกใจข้าจริง ๆ” ท่านผู้นั้นหัวเราะร่วน “ข้าก็ไม่รู้ตัวกระทั่งโดนสั่งพักงาน ตอนพบกันนางบอกว่าเราเดินวนกลับมาที่เดิม นางเคยอาศัยในเขตนี้จึงมั่นใจว่าเคยเป็นเมืองที่เจ้าอยู่”
 
            “นางหรือฝ่าบาท ใช่แล้ว รวิกานต์เคยบอกว่าเห็นฝ่าบาทเดินในเมืองกับหญิงผมแดง” ราวต่อมอยากรู้อยากเห็นของเซธคืนชีพตั้งแต่คุยกับท่านผู้นั้นตัวปลอม อยู่ ๆ เขาก็อยากรู้เรื่องส่วนตัวของท่านผู้นั้นแม้จะอันตรายมากก็ตาม
 
            “ก็แค่กลับมาดูบ้านที่ใช้ตั้งป้อมสอดส่องเจ้านั่นละ นางอยากมาด้วยก็เลยไม่ขัด” ท่านผู้นั้นยิ้มอย่างอารมณ์ดีผิดปกติ “ไปดูกันไหมว่าข้าอยู่อย่างไรตอนเฝ้าดูเจ้าเติบโต ข้าป้องกันเอาไว้มิดชิดหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีทางเข้าถึงได้ และไม่ฉลาดเลยหากพูดถึงนางในที่โล่งแจ้ง นางอาจส่งอะไรมาก็ได้ถ้าเราพูดไม่เข้าหู พายุฝน ลูกเห็บ หรือสายฟ้า”
 
            เซธเชื่อว่าทุกการกระทำของท่านผู้นั้นมีเป้าหมายรวมถึงการชวนไปดูแหล่งกบดานของตัวเองด้วย คล้ายกับการพักงานทำให้ฝ่าบาทของเขาลดความเคร่งเครียดลง
 
            “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าผ้าคลุมสกปรกวางแผนเล่นงานจุดอ่อน หากตรงนั้นเป็นข้าก็อาจจบชีวิตเพราะโดนล่ามหมดทางหลบหนี อาจเรียกสัตว์ปิศาจได้แต่คงกันไม่ทันและไม่มีใครฝีมือสูงพอไล่เจ้านั่นได้ แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้หากไม่ใช่ข้า มีผู้สามารถเปลี่ยนแปลงทำลายคำสั่งพันธนาการหรือไล่ต้อนเจ้านั่นจนการจับกุมขาดช่วงคอยช่วยอยู่ใกล้เคียง” 
 
 (มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่