นายฮ้อยทมิฬตะลุยดงโหงพราย






นายฮ้อยทมิฬตะลุยดงโหงพราย

ล. วิลิศมาหรา

กลับมาถึงกองคาราวาน หลังจัดการกับฝูงควายและเร่งรัดเวรยามเพื่อดูแลความปลอดภัย จนเป็นที่มั่นใจมากพอแล้ว ขามก็ยังไม่ได้หลับนอนพักผ่อนแต่ประการใด เนื่องจากยังมีความกังวลใจเกี่ยวกับพวกโจรปล้นควาย ที่มักบังเกิดขึ้นกับกองคาราวานโคกระบืออยู่เนือง ๆ และยิ่งใกล้ดงพญาไฟเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะอุปสรรคของการเดินทาง นอกจากต้องระวังพวกโจรไพรแล้ว ก็ยังมีทั้งไข้ป่าและอาถรรพ์ของป่านานาประการให้ต้องระวังตัว

สิ่งหนึ่งที่จะป้องกันกองคาราวานให้อยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้ก็คือ เหล่าชายฉกรรจ์คุมทัพควายทุกคน จะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี มีข้าวปลาน้ำท่าดื่มกินตลอดระยะเวลาการเดินทาง เขาขี่ม้าเหยาะย่างตรวจตราไปรอบ ๆ กองเกวียน ก่อนมาหยุดยืนม้าจ้องดูอยู่ที่ริมหนองน้ำ มองไปยังกลางหนองที่ดูเหมือนจะมีความลึกมากอยู่ แสงจันทร์ส่องกระทบผืนน้ำสะท้อนเป็นประกายแวววาวระยิบระยับ เขาเห็นพรายน้ำผุดขึ้นมาใกล้กับตลิ่งปุด ๆ ฟองน้ำกระเซ็นต้องแสงจันทร์ ก่อนจะมีหมอกควันลอยอ้อยอิ่งปกคลุมอยู่บริเวณนั้น

“พี่เขม”

เสียงแว่วของหญิงสาวดังแผ่วขึ้น พร้อมกับเรือนร่างโปร่งใส มองทะลุร่างเธอไปได้ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาท่ามกลางฟองน้ำเหล่านั้น

ผีพรายน้ำ...ขามอุทานในใจ เขาเหลียวไปมองทางกองคาราวาน กองไฟถูกก่อขึ้นหลายจุด ผู้คนเดินไปมา แต่ไม่มีใครมองมาทางเขาเลยสักคน เขาผินหน้ากลับไปมองทางร่างโปร่งใสใหม่ รับรู้ด้วยฌานพิเศษของตัวเองว่า นางพรายตนนี้ไม่มีความประสงค์ร้ายต่อตน แต่คล้ายนางอยากจะสื่อสารกับตนเท่านั้น เขาบริกรรมคาถาแก้มนตร์บังตา เป่าลงบนฝ่ามือ แล้วยกมือขึ้นปาดผ่านดวงตาทั้งคู่

พลันนางพรายกลางผืนน้ำที่บัดนี้ได้ผุดขึ้นมาจากน้ำจนเต็มร่าง ซึ่งทีแรกเห็นเพียงสลัวรางอยู่กลางแสงจันทร์ ก็เห็นได้สว่างชัดเจนขึ้น เธอก้าวเดินบนแผ่นน้ำตรงมาหา ขณะนี้รูปร่างหน้าตาเธอเห็นเป็นกายหยาบของมนุษย์ ใบหน้าผ่องผุดดูนวลละมุน อ่อนหวานตามธรรมชาติของหญิงสาวแรกรุ่นชาวล้านช้าง แต่งกายคล้ายสาวภูไท นุ่งผ้าซิ่นดำ สวมเสื้อแขนกระบอกขลิบชายเสื้อด้วยผ้าแดง มวยผมไว้กลางศีรษะ

“ในที่สุดพี่ก็กลับมา สมกับที่ข้าเฝ้ารอคอย ไม่ยอมไปไหนเลย”

ขามทำหน้างง เขาไม่เข้าใจสิ่งที่นางผีพรายพูด นางผีตนนี้เป็นใครกัน

“เจ้ารอข้าเหรอ รอทำไม”

สายตาของนางภูตสาวเศร้าสร้อยลง เอ่ยเสียงอ่อนว่า

“เพราะข้ากับพี่เมื่อก่อนเราเป็นผัวเมียกัน พี่ชื่อเขม ข้าชื่อคำแพง พี่เป็นนายฮ้อยคุมควายลงไปไทยเมื่อเดือนสาม สัญญากับข้าว่าจะกลับมาในเดือนห้า ข้ารอพี่จนถึงเดือนหก พี่ก็ไม่กลับมา จากนั้นที่บ้านเราก็เกิดมีโรคห่าระบาด มีคนตายทุกวัน ผู้ใหญ่บ้านเลยจะพาชาวบ้านย้ายไปตั้งบ้านกันที่อื่น แต่ข้าห่วงพี่จะกลับมาไม่เจอตัวข้า ก็เลยไม่ยอมย้ายไป พวกผู้ใหญ่บ้านจะมาพาข้าไป ข้าไม่ยอม แกก็จะใช้กำลังมาบังคับเอาตัวไป แถมยังจะเอาข้าไปทำเมีย ข้าเลยเดินลงน้ำตาย เพื่อเป็นผีรอพี่อยู่ที่นี่”

เธอเล่าพลางร้องไห้สะอื้นขึ้นเบา ๆ ขามถึงกับสะอึก จ้องมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาแสดงความสงสารเห็นใจ แม้ตนจะจำสิ่งที่เธอเล่าไม่ได้ แต่ก็เชื่อในสิ่งที่เธอเล่ามา เสียงพูดแผ่วเบาสั่นเครือของเธอดังขึ้นอีกว่า

“ข้าไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะกลัวจะจำพี่อีกไม่ได้ พอเห็นพี่กลับมาข้าดีใจมาก เฝ้ารอให้ถึงเวลากลางคืน จะได้ออกมาพบพี่ แต่มีพวกโหงพรายมันวนเวียนมาคอยรังควานขบวนคาราวานของพี่เสียก่อน พี่ก็ยังเก่งเหมือนเคย ไล่พวกมันจนหนีกระเจิงไป”

“แล้วทำไมข้า...เอ้อ ทำไมพี่ถึงไม่ได้กลับมาหาเจ้าล่ะ”

เพราะความสงสารที่ผุดขึ้นมาในใจ ทำให้ขามยอมคล้อยตามสรรพนามเรียกขานเขาของเธอ

“ข้าเองก็ไม่รู้ อาจเพราะพี่ได้รับอันตรายจนถึงตายที่ดงพญาภัยนั่นแล้วก็ได้ ก่อนหน้านั้นมักมีข่าวว่า นายฮ้อยเป็นไข้ป่าตายที่นั่นกันหลายคน แต่ถึงยังไงพี่ก็กลับมาถึงบ้านเราแล้ว กลับมาหาข้าตามสัญญา แม้ว่ามันออกจะนานไปหน่อยก็ตาม ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยพาข้าขึ้นจากหนองน้ำทีเถอะ ข้าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว”

ขณะนั้นเองก็มีเสียงเรียกชื่อขามดังขึ้นด้านหลัง ร่างของนางผีพรายหายวับไปทันที ขามหันกลับมาดู เห็นลุงคำผายกำลังยืนมองมาอยู่ แกทำท่าสงสัยว่านายฮ้อยของตนกำลังพูดจาอยู่กับใคร

“นายฮ้อยกำลังคุยกับใคร” แกถามพลางเดินเข้ามาหา

“อ้อ ไม่มีอะไร ข้ามายืนดูปลาในหนองนี้น่ะ พรุ่งนี้ข้าจะให้พวกไอ้พันลงไปจับปลามาไว้เป็นเสบียง ยามเราต้องเข้าป่าไปสีคิ้วกัน”

“หาปลามาไว้เป็นเสบียงมันก็ดีอยู่หรอก แต่กลัวพวกไอ้พันมันจะไม่กล้าลงไปจับปลาน่ะสิ หนองน้ำตรงนี้มันมีประวัติไม่ค่อยดี พวกนายฮ้อยเขามาพักแถวนี้กัน แต่ไม่เคยมีใครกล้าลงจับปลา เพราะลือกันว่าผีในหนองน้ำมันเฮี้ยน ใครลงจับปลามักจะถูกผีหลอก เมื่อก่อนที่ตรงนี้เคยมีหมู่บ้านตั้งอยู่ เป็นหมู่บ้านใหญ่เชียวล่ะ แต่เกิดมีโรคระบาด ผู้คนก็เลยย้ายไปอยู่ที่อื่น เหลือเป็นทุ่งร้างมาจนทุกวันนี้”

“ไม่เป็นไรหรอกลุง พรุ่งนี้ข้าจะทำพิธีถอนดวงวิญญาณของผีพรายขึ้นจากน้ำ แล้วเราก็ลงจับปลากันได้ นางผีพรายเขาไม่ว่าอะไรหรอก คงได้ปลามาทำเป็นปลา- ทำส้มปลา เอาปลาตากแห้งไว้กินได้หลายวัน”

ขามบอกกับลุงคำผายยิ้ม ๆ เขาลงจากหลังม้าเดินไปหยิบไม้ไผ่ปล้องสั้น ๆ แถวนั้น เอามีดพกแกะสลักทำเป็นรูปคน ลุงคำผายเข้าใจได้ในทันทีว่า นายฮ้อยหนุ่มกำลังจะทำหุ่นพยนต์

“ได้...เดี๋ยวลุงจะไปบอกพวกไอ้พันมันให้” ลุงคำผายรับคำ แกผละไปทางเกวียนของคำพัน ซึ่งคอยดูแลขบวนย่อยในกองคาราวาน

ดึกสงัดของคืนนั้น ขามนอนในมุ้งใต้ชานเกวียนที่ใช้ไม้ค้ำยัน พอนอนหลับสนิท เขาก็เริ่มฝัน ในความฝันเขาเห็นคำแพงเดินขึ้นมาจากหนองน้ำ เธอเดินมาที่มุ้ง ตลบชายมุ้งขึ้น มุดเข้ามานอนด้วย แขนเรียวของเธอข้ามมากอดตัวเขา ซุกหน้านวลลงกับแผ่นอกกว้าง ลูบไล้แผ่นอกหนาแผ่วเบา ความรู้สึกของขามในความฝัน เขามีทั้งความสงสารทั้งวาบหวามใจ ไปกับสัมผัสของมือเธอ และเนื้อตัวอันนุ่มนิ่ม กับกลิ่นกายที่หอมกรุ่นของคำแพง อดเอียงหน้าไปหอมเส้นผมดำขลับของเธอไม่ได้ ใบหน้านวลเงยขึ้นบอกเขาว่า

“ข้าคิดถึงพี่เหลือเกิน ต่อไปข้าจะอยู่กับพี่ จะติดตามพี่ไปทุกหนทุกแห่ง คอยช่วยคุ้มครองขบวนทัพควายให้ไปขายจนตลอดรอดฝั่ง”

“ไม่อยากไปเกิดใหม่บ้างหรือเจ้า” เขาถามพลางโอบกอดเธอตอบ

“ยังไม่ไปหรอกจ้ะ ถ้าไปแล้ว ข้าจะจดจำอะไรไม่ได้อีกเลย ข้าพอใจที่จะอยู่แบบนี้”

ขามถอนหายใจออกมา ไม่รู้จะบอกกับเธอว่าอย่างไรดี เพราะไม่ค่อยรู้วิธีพูดกับหญิงสาว ด้วยไม่เคยสนใจจะจีบสาวคนไหนเป็นแฟนมาก่อน คำแพงมองหน้าคมเข้มของชายหนุ่มอย่างแสนรัก ลูบเคราที่ขึ้นเขียวครึ้มสองข้างกรามรูปสี่เหลี่ยม 

“พี่นอนหลับพักผ่อนให้สบายเถอะจ้ะ หากมีภัยอันตรายใด ๆ ข้าจะรีบมาบอกพี่เอง”

ขามพยักหน้ารับ พริ้มเปลือกตาลง จมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว โดยสำนึกรู้อยู่เสมอแม้จะหลับไปแล้วว่า ข้างกายเขามีร่างน้อยนอนแนบชิดอยู่ตลอดเวลา

วิถีนายฮ้อย วิถีลูกผู้ชายพื้นที่ราบสูงอีสาน คุมคาราวานค้าขาววัว ควาย เมื่อหลายสิบปีก่อน 
เรื่องราวระหว่างทางมีทั้งบู๊มีทั้งรัก และเศร้าโศกกินใจ
ดงสมิงในป่าอาถรรพ์ไม่ได้มีแค่เสือสมิงเท่านั้น

ติดตามนายฮ้อยขามไปขายควายได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ  https://youtu.be/0tN4KbFc3IY
ส่วนดงสมิงดุเป้นเรื่องของยูทูปเบอร์ท่องป่าที่ไปเจออาถรรพ์ป่าบางอย่างเข้า ลองฟังดูนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่