นายฮ้อยฝ่าดงพญาไฟ (นายฮ้อยตอนจบ)




ยังเขียนไม่จบดีนะคะ เอามาลงให้อ่านครึ่งหนึ่งก่อน เพราะดองไว้นานมาก เกรงใจคนอ่านจริง ๆ ต้องขอโทษด้วยค่ะ
ลิขอฝากช่องเรื่องเล่าใหม่ชื่อช่อง 'ซ่อนสาง' ช่วยติดตามด้วยนะคะ มีคลิปท้ายกระทู้ค่ะ



นายฮ้อยฝ่าดงพญาไฟ (นายฮ้อยตอนจบ)

ล. วิลิศมาหรา

เช้าวันใหม่ของการเดินทาง ขบวนคาราวานค้าควายของนายฮ้อยขาม ก็ล่วงเข้าสู่เส้นทางสายดงพญาไฟ พื้นที่ส่วนนี้เป็นเทือกเขาที่มีภูเขาน้อยใหญ่ขึ้นสลับซับซ้อน มีป่าอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าชุกชุม รวมทั้งมีไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียเป็นทูตมรณะประจำป่าอย่างหนึ่ง การเดินทางไม่สามารถใช้เกวียนได้ ทั้งคนและควายต้องเดินเท้าเอาเท่านั้น เมื่อผ่านป่าที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่นรกไปถึงจังหวัดสระบุรีได้แล้ว จึงจะจบสิ้นการเดินทางของทัพควายที่ตลาดค้าควายในตัวจังหวัด หรือที่เมืองล่างบางกอก ซึ่งเหล่าบรรดานายฮ้อยมักจะเรียกกันว่า เป็นการลงไปขายควายที่ไทย 

วันนี้อากาศดี ฟ้าสีครามโปร่งใส แสงอาทิตย์ส่องต้องยอดไม้เป็นมันระยับ เสียงนกป่าร้องระงมไม่ขาดระยะ เสียงไก่ป่าขันแว่วมาให้ได้ยินอยู่ไกล ๆ นายฮ้อยขามกับมินอ่องพาทัพควายเดินทางมาตามไหล่เขาอันสูงชันด้วยความยากลำบาก ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เกือบพลาดตกเขาไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ในที่สุดก็สามารถนำทัพควายผ่านมาได้อย่างปลอดภัยกันทุกคน จนมาถึงบริเวณที่ราบริมลำห้วยสายใหญ่แห่งหนึ่ง จึงสั่งให้หยุดพักลง เพื่อหุงหาอาหารกินกัน และพักให้น้ำแก่ฝูงควาย 

ป่าในบริเวณนี้เป็นป่าตะเคียน สลับกับต้นยางสูงใหญ่ขึ้นเบียดเสียดกันหนาทึบ ดงไม้ในป่านี้หนาแน่นจนแสงอาทิตย์แทบจะส่องลงมายังผิวดินไม่ถึง ทุกคนในทัพควายจึงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันหนาวเย็นของป่า ถัดจากลำห้วยไปอีกฝั่งหนึ่ง เห็นเป็นป่าใหญ่ ที่มองดูมืดครึ้มอยู่เบื้องหน้า พ้นป่านั้นไปแล้วจึงจะทะลุไปยังภาคกลางหรือเมืองล่าง ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของทัพควาย 

มินอ่องมองเห็นรอยขี้ช้างบนพื้นหญ้า เห็นรอยมันยังใหม่อยู่ เขาจึงออกเดินสำรวจตรวจตราไปโดยรอบบริเวณ กลัวช้างป่าจะแอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ แล้วออกมาไล่ทำร้ายฝูงควายให้แตกตื่นชุลมุน จนยากต่อการควบคุมดูแล เขากับคำพันได้ช่วยกันออกตรวจไปไกลจากสถานที่จะหยุดพัก กระทั่งแน่ใจว่าช้างป่าได้เดินผ่านทางเส้นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมารายงานให้ขามรู้ ขามจึงสั่งให้ก่อกองไฟขึ้น และนำฝูงควายมารวมกัน

“อีกแค่ไม่เท่าไหร่เราก็จะได้ขายควายกันแล้ว พอขายควายเสร็จข้าก็จะมีเงินเต็มปี๊บ แล้วจะนั่งรถไฟกลับไปบ้านเราละนะ” 

หลังจัดการกับฝูงควายเรียบร้อยแล้ว ลุงคำผายได้เดินมาหานายฮ้อยของตน แกนั่งลงแล้วพูดยิ้ม ๆ อย่างอารมณ์ดี

“ไม่ขึ้นรถไฟไปเที่ยวบางกอกก่อนเหรอลุง”

แหวงซึ่งกำลังนั่งนึ่งข้าวเหนียวอยู่ พูดหยอกล้อเล่นกับผู้สูงวัยกว่า คำพันที่นั่งย่างเนื้อห่างออกไปเล็กน้อย ร้องบอกขึ้นแทนว่า

“ลุงแกไม่ไปหรอก แกจะรีบกลับบ้านเอาเงินไปให้เมียแก ป้าเฮืองแกนับควายเอาไว้แล้ว เงินในปี๊บห้ามขาดแม้แต่บาทเดียว”

ลุงคำผายขว้างดุ้นฟืนเข้าใส่ไอ้คนปากมาก คำพันรีบเบี่ยงตัวหลบไปทันที แล้วหัวเราะลงลูกคอเอิ้กอ้าก ก่อนจะกลับมาย่างเนื้อต่อ ลุงคำผายทำปากขมุบขมิบด่า

“ขายควายแล้วพวกเราก็คงกลับรถไฟกันทั้งหมดนั่นแหละ ยกเว้นมินอ่อง ท่าทางเอ็งคงจะไปร้อยเอ็ดมากกว่า ใช่ไหมล่ะ” ขามเอ่ยถามผู้ช่วยชาวกุลา ที่เห็นนั่งเงียบฟังอย่างเดียว

“พวกของข้าขายควายกันแล้ว ก็จะเอาเงินไปซื้อของเพื่อตระเวนขายของไปตามทางกลับไปมะละแหม่ง แต่ตัวข้าว่าจะไปหาบัวงามก่อน จะไปเจรจาสู่ขอบัวงามกับพ่อผู้ใหญ่เขาน่ะจ้ะ” 

มินอ่องยิ้มเขินเล็กน้อย เขาอธิบายด้วยดวงตาเป็นประกายยามเมื่อเอ่ยถึงบัวงามสาวคนรักของตน มองไปทางพรรคพวกที่กำลังช่วยกันก่อกองไฟให้แก่ฝูงควายอย่างขะมักเขม้น ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่คนอีสานว่า เหล่าชาวกุลาพวกนี้มีความขยันขันแข็ง และมีความทรหดอดทนเป็นที่หนึ่ง จนเป็นที่มาของคำว่า ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ซึ่งหมายถึงชาวกุลามีความอดทนต่อความยากลำบากในการใช้ชีวิตกลางท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ที่มีแต่ความแห้งแล้ง ความแร้นแค้นของมัน แม้แต่ชาวกุลาผู้มีน้ำอดน้ำทนมากที่สุด ยังถึงกับต้องหลั่งน้ำตาให้

“เดี๋ยวกินข้าวกันแล้ว แหวงไปจัดเวรยามให้เฝ้ายามเป็นสามชุด ชุดละสามพลัด อยู่ยามให้ครบทุกทิศ ป่าดงพญาไฟไม่ได้มีแค่สัตว์ร้ายและไข้ป่า ยังมีพวกผีป่า พวกเสือสาง ที่สำคัญคือพวกสางดง มันเป็นสัตว์ที่ถูกวิญญาณผีตายโหงเข้าสิง บางทีก็เป็นพวกที่เล่นอาคมแล้วถูกของเข้าตัวจนเกิดเสียสติกลายเป็นบ้า อยู่กับชาวบ้านเขาไม่ได้ ต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในป่า พอของขึ้นก็กลายร่างเป็นสัตว์ที่ดุร้ายได้หลายชนิด”

ขามออกคำสั่งแก่แหวง ซึ่งทำอาหารเสร็จพอดี แหวงรับคำ นำอาหารมาวางเรียง แล้วทั้งหมดจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวกัน จนอิ่มหนำสำราญดี อาหารมื้อนั้นก็คือปลาร้าสับกินกับผักสดที่หาเอาในป่า และมีประเภทเนื้อปลาตากแห้งกับเนื้อเค็มย่างที่ได้เก็บไว้เป็นเสบียงมาตั้งแต่หนองน้ำนางพรายโน่นแล้ว หลังกินข้าวกันเสร็จ ทุกคนก็ออกไปทำหน้าที่ดูแลฝูงควายและรักษาความปลอดภัยให้แก่กองคาราวาน กองไฟถูกก่อขึ้นหลายกอง ใช้ควันของมันไล่พวกแมลงต่าง ๆ ที่บินมารบกวน เหล่าคนของทัพควายกระจายกันอยู่เวรยามอย่างเข้มงวด พวกเขาจะต้องทำแบบนี้ไปตลอดหลายวัน กว่าจะผ่านพ้นป่าดงพญาไฟไป

ในคืนแรกของดงป่าใหญ่แห่งนี้ นางพรายสาวสัมผัสได้ถึงอันตรายในผืนป่า เธอจึงมากระซิบเตือนแก่คนรัก ขณะที่เขานอนพักผ่อนอยู่ข้างกองไฟ

“พี่เขมต้องระวังตัวให้ดีนะจ๊ะ คำแพงได้กลิ่นสาบของเจ้าสางมันแถวนี้ มันน่าจะป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกลที่นี่มากนัก”

ขามหันมามองร่างคำแพงที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง ซึ่งร่างของเธอไม่มีผู้ใดจะมองเห็นได้

“มันเป็นใครกัน คำแพงเห็นตัวมันหรือเปล่า” ขามผุดลุกขึ้นนั่ง ส่งกระแสจิตถามนางพราย

“ข้ามองไม่เห็นตัวมันจ้ะ เหมือนกับมันมีบางอย่างที่พรางตัวไว้ ทำให้ข้าไม่สามารถมองเห็นมันได้ว่าเป็นใคร คำแพงขอให้พี่คอยสังเกตดู พี่ต้องระวังคนแปลกหน้าทุกคนไว้ให้ดีนะจ๊ะ อย่าไปไว้ใจใคร เพราะไอ้สางดงพวกนี้มันมีฤทธิ์ที่แก่กล้ามาก ถึงขั้นแฝงตัวอยู่ในร่างของคนหรือสัตว์ได้ไม่จำกัดเวลา ไม่เหมือนดวงวิญญาณอย่างคำแพงที่จะออกมาได้ยามไร้แสงตะวันไปแล้วเท่านั้น”

“ขอบใจคำแพงมาก พี่จะระวังตัวจ้ะ”

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่