นิยายเรื่อง เดชหมัดเทวดา

กระทู้สนทนา
อรัมภบท
 
ครั้งสมัยตั้งแต่ยังไม่มีสยามประเทศ การศึกสงครามเพื่อรุกราน ยึดบ้านกินเมืองผู้อื่นนั้น นับเป็นเรื่องของการขยายอณาจักร และประกาศแสนยาณุภาพ อันเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปตามประวัติศาสตร์ของโลก
กรุงศรีอยุทธยาก็เป็นเช่นนั้น ในการศึกสงครามประกอบยุทธทุกครา เหล่าทหารหาญในการศึกก็ย่อมมีฝีมือเป็นเอกในแต่ละคนแต่ละเหล่าไป มวยไทยคือศาสตร์วิชาหลักในการสู้ประชิดของเหล่าขุนศึกนักสู้ผู้กล้า และด้วยความที่มวยไทยสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้นโบราณนานเนิ่น ศาสตร์วิชาการต่อสู้นี้จึงมีที่มาและจุดเริ่มต้นอยู่หลากหลายทาง
เพลงวิชามวยเทวาศาสตราคือศาสตร์มวยไทยอีกทางหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ได้เรียนจะต้องเป็นผู้ปรากฏด้วยลักขณา วาสนาบุญญาธิการเท่านั้น จึงจะสามารถได้ร่ำเรียนถึงถ่องแท้จนสำเร็จได้ ผู้สำเร็จมวยแขนงเทวาศาสตราวิชานี้ จึงมักได้รับให้ดำรงบรรดาศักดิ์ เป็นนายกองทัพหน้าเพื่อปกป้อง คุ้มกันภัยแก่ จอมทัพกษัตริย์ศึกยามยาตราทำศึกสงคราม โดยแบ่งแยกทำหน้าที่พิทักษ์ เป็นจตุรเทวาพิทักษ์ตามทิศ คือ 
หมัดเทวาพิทักษ์ ณ.ทิศาอุดร
หมัดเทวาพิทักษ์ ณ.ทิศาทักษิณ
หมัดเทวาพิทักษ์ ณ.ทิศาบูรพา
หมัดเทวาพิทักษ์ ณ.ทิศาปะจิม 
จากเวลานั้นจนล่วงผ่านกาลสมัยมา แม้นศึกสงครามได้สงบลง บ้านเมืองอยู่ในภาวะร่มเย็นเป็นสุข ทว่าศาสตร์วิชาการต่อสู้นี้ กลับมิได้สูญหายสลายไป คงมีผู้สืบทอดต่อรุ่นตามสมัย สืบต่อยอด มอบผ่านกันมาจวบจนปัจจุบันกาล....
 
 

บทแรก
 
ย้อนไปเมื่อประมาณสี่สิบปีกว่าที่แล้ว...
ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งติดชายแดนแถบภาคเหนือของประเทศไทย 
หรีดหริ่งร้องระงมท่ามกลางพงป่าอันอุดมในคืนที่มืดมิดเช่นนี้มีเพียงแสงดาวนับล้านกับอีกหนึ่งแสงจากเสี้ยวจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสงอย่างเป็นเอกอันเป็นหน้าที่ตามธรรมชาติ คนในบ้านบ้านที่ซึ่งปลูกไว้ห่างๆกัน ต่างขยี้ไต้ดับตะเกียงเข้านอนเพื่อถนอมแรงเอาไว้ใช้ยามเมื่อตะวันขึ้น นานๆจึงจะมีเสียงดังจากบรรดาวัวควายทั้งหลายซึ่งได้ถูกเลี้ยงไว้ในคอกอันสร้างไว้อย่างเรียบง่ายที่ใต้ถุนบ้าน ถึงจะเป็นเวลาเพียงแค่หัวค่ำแต่บ้านเกือบทุกหลังต่างก็ล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว
เงามืดของคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากดงท้ายหมู่บ้าน แล้วตัดเข้าสู่ด่านทางเกวียนที่แบ่งเนื้อที่ของบ้านแต่ละหลังนั้น ต่างก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายโดยลัดเลาะไปตามพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น แม้นในการเดินของแต่ละคนจะไม่เป็นระเบียบอย่างต่างคนต่างเดิน แต่ทิศทางที่คืบย่างไปนั้นล้วนไปในทิศเดียวกัน
ไม่นานนักพวกเขาเหล่านั้นจึงได้มารวมกันที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้เรือนไม้บ้านหลังหนึ่ง เรือนบ้านหลังนี้ดูต่างจากบ้านอื่นๆเพราะด้วยขนาดของบ้านที่ใหญ่ กับลักษณะการปลูกสร้างเรือนที่ดูบรรจงปราณีต ดูแล้วเข้าใจได้โดยทันทีถึงฐานะเจ้าของบ้าน ใต้ถุนบ้านหลังนี้ไม่มีสัตว์เลี้ยงเช่นวัวควายอยู่ใต้ถุน หากแต่มีคอกล้อมแยกออกมาจากตัวบ้านต่างหาก ควายจำนวนมากยืนหลับอยู่ที่คอกแห่งนั้น
โดยไม่พูดอะไร ใครคนหนึ่งในกลุ่มยกมือขึ้นให้สัญญาณอันหมายถึงให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า สิ้นสัญญาณมือพวกมันก็วิ่งขึ้นเรือนนั้นไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็บังเกิดเสียงต่อสู้โกลาหลวุ่นวายราวว่าเกิดการต่อสู้ตลุมบอนเกิดขึ้น จากนั้นทุกอย่างจึงเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ไม่นานปรากฏคนกลุ่มเดิมพากันวิ่งลงมาจากเรือน ส่วนใหญ่ของพวกมันมุ่งหน้าไปที่คอกควาย แล้วควายทั้งหลายก็ถูกต้อนออกไปหมดอย่างเงียบเชียบมุ่งสู่ดงท้ายหมู่บ้าน ที่ลานด้านหน้ามีเหลือพวกมันสองคนที่ยังล้าหลังอยู่ 
ขณะนั้นเองแท่งไต้ที่มันทั้งสองถืออยู่ก็ได้ถูกจุดไฟขึ้น พวกมันพากันใช้แท่งไต้ทั้งสองจี้เผาไปตามตำแหน่งต่างๆของบ้านที่เคราะห์ร้ายหลังนั้น บัดนี้พระเพลิงกองใหญ่ได้ถูกปลุกโหมขึ้นอบ่างแดงฉาน สร้างความพินาศบรรลัยให้กับเรือนหลังนี้แล้ว สุดท้ายมันทั้งคู่จึงขว้างแท่งไต้อันเป็นต้นเพลิงนั้น ขึ้นไปบนหลังคาแล้วก็วิ่งจากไปในทิศทางเดียวกับที่เข้ามา
ข่าวโจรปล้นฆ่าล้างบ้านกำนันกระพือสะพัดอย่างรวดเร็ว การกระทำอันอุกอาจปราศจากการกลัวเกรงอาญาแผ่นดินนี้ เหมือนตั้งใจประกาศตนเหนือกฏหมาย กระทรวงมหาดไทยไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงมีคำสั่งให้ส่งข้าราชการระดับปกครองเข้าไปจัดการและเป็นหัวหอกในการจปราบล้างบางโจรร้ายกลุ่มนี้ให้สิ้น
แต่ด้วยความที่หมู่บ้านนั้นห่างไกล การส่งกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ากวาดล้างนั้นจึงทำได้อย่างยากลำบาก อีกทั้งทรัพยากรของหลวงที่มีอย่างจำกัดในเวลานั้น บุคลากรก็ไม่ได้เพียงพอเพียบพร้อม แผนนโยบายการกวาดล้างนี้จึงเป็นดั่งแค่เสียงทุบโต๊ะที่ปราศจากสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน
ปลัดฯหนุ่ม นคร เดชสุวรรณ ซึ่งเวลานั้นมีอายุ 33 ปี สมัครเข้าแผนนโยบายนี้และขอย้ายตัวเองเข้าสู่พื้นที่เหตุสีแดงโดยทันที อย่างไม่ต้องรอความพร้อมหรืองบสนับสนุนใดๆจากรัฐ โดยให้เหตุผลว่าหากปล่อยให้เนิ่นนานไป อาจเกิดเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นอีก และหากเป็นเช่นนั้นกระทรวงมหาดไทยก็จะยิ่งเสียชื่อเสียงมากขึ้น
ดังนั้นคำสั่งด่วนพิเศษเพื่อส่งตัวปลัดฯนคร ข้าสู่พื้นที่สีแดง(หมายถึงพื้นที่เกิดเหตุระดับรุนแรง)จึงถูกอนุมัติทันที โดยมีคำสั่งเพียงให้เขาเข้าไปเพื่อสืบข่าวหาเบาะแสระหว่างรอกำลังเสริมที่จะจัดหาและส่งตามไปในภายหลังเท่านั้น หลังจากได้รับคำสั่งปลัดฯนครก็เข้าถึงพื้นที่ในเวลาถัดมาเพียงสามวัน ในทันทีที่ถึงหมู่บ้าน เขาเข้าไปพบกับผู้ใหญ่บ้านเพื่อขอทราบข้อมูลโดยทันที 
“มันมากันกี่คนก็ไม่รู้ครับปลัดฯ เพราะตอนนั้นคนที่นี่หลับกันหมด บ้านกำนันแกก็ปลูกห่างจากที่คนอื่นเหลือเกิน ตอนเกิดเหตุเลยไม่มีใครรู้ เวรกรรมเหลือเกิน”  ชายสูงวัยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน อายุประมาณหกสิบปีเศษแต่ยังดูแข็งแรง รูปร่างออกท้วมกล่าวอย่างเศร้าๆ
“ผู้ใหญ่พอจะรู้ไหมว่าโจรพวกนี้มันเป็นใคร?”
“ไม่รู้หรอกครับปลัดฯ แต่จากร่องรอยที่พวกมันทิ้งไว้ น่าจะมีสมาชิกอยู่ประมาณ 7-8 คน”
“แล้วผู้ใหญ่รู้ได้อย่างไร ว่าพวกมันมีอยู่ 7-8 คน?”
“ก็วันที่พวกมันลงมาปล้นแล้วก็ฆ่ายกครัวพี่กำนัน มันต้อนควายไปหมด ตาทิมพรานของหมู่บ้านแกแกะรอยตามไปจนถึงดงท้ายหมู่บ้าน แต่ผมไม่ให้แกตามต่อ เพราะเดี๋ยวเจอพวกมันดักฆ่าเอา จากที่เห็นแกคิดว่าพวกมันมากัน 7-8 คน”
“แล้วพรานทิมแกอยู่ไหนล่ะตอนนี้? ผมอยากคุยกับแกหน่อย”
“แกเข้าป่าไปตั้งแต่เช้าแล้วครับปลัดฯ เย็นๆนี้แกคงกลับมา”
ปลัดหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แล้วจึงกล่าวต่อไปอีกว่า
“ผู้ใหญ่ช่วยพาผมไปบ้านกำนันที่โดนเผาที ผมอยากดู เผื่อได้หลักฐานอะไรเพิ่มเติม”
“ได้ครับปลัดฯ” กล่าวจบก็ลุกขึ้นบอกสั่งงานคนในบ้าน แล้วทั้งสองก็พากันเดินออกไป
จากบ้านผู้ใหญ่เดินไปที่เกิดเหตุนั้น ต้องอาศัยทางเดินที่เป็นด่านเกวียนในหมู่บ้าน เดินมาสักสิบนาทีผ่านบ้านคนไปได้สองหลังซึ่งแต่ละหลังปลูกไว้อย่างห่างๆกัน ถัดจากบ้านหลังสุดท้าย ใช้เวลาเดินร่วมครึ่งชั่วโมงจึงได้มาถึงที่เกิดเหตุซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งอยู่ด้วยบ้านของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยในตำแหน่งกำนันของหมู่บ้าน บัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่านกับเศษเสี้ยวของบ้านเช่นเสาและบางส่วนของหลังคาที่พระเพลิงเอาไปไม่หมด 
“มันฆ่าแล้วก็เผาคาบ้านเลย 5 ศพ ตอนนี้ศพทั้งหมดอยู่ที่วัด ดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร สวดมาได้สองคืนแล้ว ผมว่าจะสวดอีกคืนแล้วก็จะเผาเลย” ผู้ใหญ่บ้านพูดอย่างเศร้าๆ สายตามองดูซากบ้านอย่างเซื่องซึม
“ตรงนั้นเป็นอะไรครับ?” ปลัดฯหนุ่มถามพลางชี้ไปทางท้ายซากเรือนที่เยื้องไปทางซ้ายประมาณ 30 วา
“อ๋อ.! ตรงนั้นเป็นคอกควายครับปลัดฯ พี่กำนันแกเลี้ยงไว้ตั้ง 20 กว่าตัว พวกมันต้อนไปเกลี้ยง”
แล้วทั้งสองจึงเดินเข้าไปสำรวจดูที่คอกซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า มีเพียงรอยตีนควายที่ย่ำไว้อย่างสับสนเต็มไปหมด
               “ควายตั้ง20กว่าตัว พวกโจรมันคงไปหลบในป่าไม่ได้หรอกครับ ที่ๆพวกมันซ่อนตัว น่าจะเป็นลานที่กว้างพอสมควร สำหรับพักควายฝูงนั้น นอกจากทรัพย์สินของมีค่าที่มันได้ไปแล้ว ควายเหล่านั้นก็คงรอเวลาต้อนไปขายที่อื่นแน่นอน”
               “แล้วปลัดฯจะเอาไงต่อ? ถ้าต้องรอกำลังเพิ่มจากมหาดไทย ผมว่ามันต้อนควายไปขายที่อื่นแล้ว ถึงตอนนั้นจะหาตัวพวกมันเจอหรือปล่าวก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะเกณฑ์เอาคนหนุ่มที่หมู่บ้านไปช่วย พวกนั้นมันก็แค่ชาวบ้านธรรมดาๆ ปืนผาหน้าไม้ก็ไม่มี จะให้ถือจอบจับพร้าไปสู้ไอ้พวกโจรก็จะโดนมันฆ่าทิ้งเอาเสียเปล่า”
               ผู้ใหญ่ออกความเห็นพร้อมสบตาปลัดฯหนุ่มเพื่อยั่งคำตอบ จริงอย่างที่ชายชราบ้านป่าคนนี้พูด ทางการที่สามารถส่งกำลังความช่วยเหลือมาเพียงแค่ 1 คน คือเขาคนนี้เท่านั้น จะสร้างความมั่นใจอันใดได้ 
               “คืนนี้ผมขออนุญาตผู้ใหญ่เป็นตัวแทนกระทรวงฯไปฟังสวดอภิธรรมงานศพกำนันที่วัดนะครับ” นครถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา..
               “ตามสบายครับ ผมก็จะไปเหมือนกัน หลังงานสวดเสร็จคืนนี้ ปลัดฯก็พักที่บ้านผมก่อนก็แล้วกัน”
               “ครับ ผมขอบคุณผู้ใหญ่มากครับ” พร้อมกับพูดเขายกมือไหว้ขอบคุณ อีกฝ่ายยกมือไหว้ตอบอาการปลักปะเหลือก
               “โอย! ปลัดฯมายกมือไหว้ผมทำไมกัน!? ตามตำแหน่งแล้วผมเป็นลูกน้องปลัดฯนะ”
               “อย่าพูดแบบนั้นเลยครับผู้ใหญ่ ผมยังเด็กอยู่เลยแล้วผู้ใหญ่ก็รุ่นพ่อผมแล้ว เราอย่ามากพิธี ทำให้ต้องลำบากใจกันเองเลยครับ”
               “ตามใจปลัดฯก็แล้วกันครับ” ผู้ใหญ่บ้านรุ่นพ่อกล่าวตอบ แต่ก็แอบชื่นชมในใจ ปกติข้าราชการที่มาจากในเมือง มักถือยศจนไม่มองอาวุโส และดูถูกคนบ้านนอกเช่นพวกเขาเสมอ การได้รับการแสดงออกจากปลัดฯนครเช่นนี้ จึงอดที่จะประทับใจไม่ได้
               เสียงพระสวดอภิธรรมท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าโศกในงานอวมงคลของครอบครัวบ้านกำนัน มีคนมาร่วมงานค่อนข้างหนาตา ซึ่งก็ล้วนเป็นคนในหมู่บ้านแทบทั้งสิ้น นอกศาลาปรากฏด้วยกองฟอนขนาดใหญ่ 2 กองกับอีก1 กองที่มีขนาดย่อมลงมา ซึ่งถูกจัดเรียงเตรียมไว้สำหรับฌาปนกิจร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 5 สอบถามจึงได้ทราบว่า กองฟอนกองใหญ่จะใช้เผาร่างกำนันกับเมีย อีกกองหนึ่งสำหรับลูกชายทั้งสอง และกองเล็กสำหรับแม่ยายของกำนันนั่นเอง 
               จบจากงานสวดแขกทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เริ่มทยอยกันกลับ คงมีแค่บางส่วนที่ยังไม่กลับเพราะต้องการทราบว่าจะทำการอย่างไรต่อไปดี บัดนี้ชีวิตและทรัพย์สินของบรรดาชาวบ้านดูจะไม่ปลอดภัยไร้สันติสุขเหมือนที่ผ่านมาเสียแล้ว ผู้ใหญ่บ้านจึงได้ใช้โอกาสนี้แนะนำปลัดฯ นคร ให้บรรดาลูกบ้านที่จับกลุ่มอยู่นั้นได้รู้จัก
               “ปลัดฯ นคร เดช เดขสุวรรณ มหาดไทยส่งท่านมา เพิ่งมาถึงวันนี้เอง”
               “สวัสดีครับ” นครยกมือไหว้ทักทายชาวบ้านที่มายืนออกันอยู่ แล้วกล่าวต่อไปว่า
               “เมื่อทราบข่าวร้ายนี้ หลวงจึงได้รีบส่งผมลงมาก่อน ความช่วยเหลืออื่นๆจะตามมาในภายหลังครับ”
               ชาวบ้านอื้ออึง หันไปส่งเสียงคุยกันพึทพำ แต่สีหน้าเกือบทุกคนยังคงแสดงความวิตกกังวลอยู่
               “เราดีใจที่หลวงไม่นิ่งเฉย แต่ส่งปลัดฯมาคนเดียวจะทำอะไรได้?” ชาวบ้านคนหนึ่งส่งเสียงร้องถาม
               “ทำไมไม่ส่งตำรวจมาก่อนเยอะๆ จะได้ไปจับโจรมาลงโทษ” 
               “ถ้ามันลงมาปล้นอีก จะทำยังไง?”
               คำถามมากมายผุดออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน จนผู้ใหญ่บ้านต้องยกมือปรามเพื่อขอให้สงบเสียงลงก่อน เอาเข้าจริงแล้วผู้ใหญ่บ้านผู้อวุโสก็กำลังวิตกกังวลในเรื่องเหล่านั้นอยู่เช่นกัน 
               “พวกมันมีกันอยู่ 8 คน มันสร้างซุ้มเป็นปางพักอยู่ เลยดงท้ายหมู่บ้านห่างไปราว 6-7 กิโลนี่เอง” เสียงหนึ่งดังขึ้น
               “อ้าว.! ไอ้ทิม เอ็งกลับออกมาจากป่าแล้วรึนี่.?” ผู้ใหญ่บ้านร้องถามกลับไป
               ร่างที่ผอมแต่ดูแข็งแกร่งแบบลูกป่าบ้านนอกที่บ่าขวาสะพายปืนยาวไทยประดิษฐ์แบบลูกกรดขนาด .22  พร้าด้ามยาวสำหรับลุยป่าเหน็บไว้เคียนเอวด้านซ้ายใต้ผ้าขาวม้าเดินเข้ามาในวง พรานทิมผู้นี้ลักษณะบุคลิกท่าทางเป็นคนเงียบขรึม อายุประมาณ50ปีเศษ ผิวออกกร้านคล้ำ เสียงคนอื่นในหมู่บ้านร้องทักกันอื้ออึง
               “ข้าเพิ่งมาถึงนี่แหละพี่ผู้ใหญ่ ตอนแกะรอยตามเก้ง บังเอิญไปเจอรอยพวกมันเลยลองตามดู”
               “เอ็งนี่ก็ไม่ฟังข้าเลย เกิดมันจับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่