ก่อนออกเดินทาง พระมเหสีมณฑานำโอสถถ้วยหนึ่งให้สรษดา
“คืออะไรเหรอเสด็จแม่”
“เป็นโอสถช่วยในการผ่อนคลาย..แม่คิดว่าเจ้าคงกังวลใจที่ต้องไปอยู่ยังดินแดนห่างไกลเพียงลำพัง โอสถขนานนี้คงจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว..ดื่มเสียสิ”
พระนางยื่นให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เด็กน้อยรับมาดื่มจนหมด แม้รสชาติของมันจะแสบร้อนยามไหลลงไปตามลำคอจนถึงช่องท้อง
“หืม..เป็นยาที่รสชาติแย่ที่สุดเท่าที่ลูกเคยกินมาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
พระนางมองลูก ความอาวรณ์บังเกิดขึ้นภายในใจ จนหลั่งน้ำตาออกมา
“เจ้าต้องอดทนพยายามเล่าเรียน แล้วรีบกลับมาหาแม่นะ”
สรษดามองผู้ให้กำเนิด และพยักหน้ารับด้วยความกระตือรือร้น เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นของมือคู่นี้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ลูกสัญญาว่าจะรีบกลับมา เสด็จแม่ตั้งตารอได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
สองแม่ลูกสวมกอดด้วยความรัก
เมื่อถึงเวลาเดินทาง มเหสีมณฑายืนมองบุตรชายจนลับตาก็กลับเข้ามาสะอื้นไห้ด้วยความคิดถึง พระนางมาทรีเห็นอาการนั้นจึงรับรู้ว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา บุตรสาวไม่ได้ดื่มโอสถที่ตนมอบให้ จึงรีบนำมาให้
“สรษดายังไม่ทันถึงป่าหิมพานต์ เจ้าก็ร้องไห้เสียยกใหญ่..ช่างน่าขันนัก” นางวางถ้วยโอสถลงบนตั่งประทับ
“ขอประทานอภัยเพคะเสด็จแม่ ลูกกับสรษดาไม่เคยจากกันไกลถึงเพียงนี้ ลูกก็เลยอดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้”
“เจ้าไม่ต้องเสียน้ำตามากมายนักหรอก..ยามนี้ลูกของเจ้ายังเยาว์ ย่อมออดอ้อนให้ดูแล แต่หากเมื่อเติบใหญ่ เจ้าก็หมดประโยชน์ให้เขาใส่ใจ แล้วเมื่อนั้น..ธาตุแท้ก็จะเปิดเผย เฉกเช่นบุรุษทั่วไป”
“สรษดาจะไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพคะ เพราะเขาสัญญาว่าจะดูแลลูกตลอดไป ถึงแม้ว่าเขาจะมีคนรัก เขาก็จะไม่ทอดทิ้งลูก”
พระนางมาทรีแค่นยิ้มเย้ยหยัน..ช่วงชีวิตที่ผ่านมา บุรุษมากหน้าหลายตาต่างพร่ำบอกว่าจะดูแลนาง..สุดท้ายก็เป็นเพียงคำลวงฉุดดึงให้ชีวิตจมปลักอยู่ในความอัปยศอันแสนมืดมน หากต้องการหลุดพ้น จำต้องไขว่คว้าหาอำนาจด้วยตนเอง แล้วเมื่อนั้น ชีวิตจะถูกปลดเปลื้องสู่แสงสว่างอันงดงาม เฉกเช่นทุกวันนี้
นางหยิบโอสถส่งให้ลูก
“เจ้าดื่มเสียเถอะ จะได้มีเรี่ยวแรงรอวันที่สรษดากลับมา”
รอจนโอสถถ้วยนั้นถูกดื่มจนหมด จึงเอ่ยถาม
“แล้วเจ้าได้ให้สรษดาดื่มโอสถที่แม่ให้มาหรือเปล่า”
“เพคะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนใบหน้า พลางลูบเรือนผมของลูกอย่างอ่อนโยน
“นับจากนี้ ชีวิตของข้าและเจ้าก็จะพบเจอแต่สิ่งอันเป็นประเสริฐ ไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้อีก..เจ้าจงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและเชื่อฟังแม่นะ”
“เพคะ..ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง” พระมเหสีตอบรับอย่างเลื่อนลอย
...
สรษดารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของวงล้อที่กำลังวิ่งบนเส้นทางขรุขระ เขาพยายามเปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้ง
แล้วเหตุใด เนื้อตัวเขาถึงได้เปียกโชกและอ่อนเปลี้ยเช่นนี้ !?
เพราะจำได้เลาๆว่ากำลังมองกลุ่มเมฆขาวสะอาดขณะที่ราชรถเคลื่อนผ่าน จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย พลางขยับกายจะลุกขึ้นก็พบว่าตนเองนั้นถูกเชือกลงอาคมมัดมือไพล่หลังอย่างแน่นหนา และรอบกายเต็มไปด้วยภูต พราย และปิศาจถูกมัดไม่ต่างกับตน ทั้งหมดนี้นั่งรวมกันอยู่ในกรงขังที่กำกับด้วยอักขระอาคมแข็งแกร่งบนรถเทียมวัวตัวเขื่องสองตัว กำลังมุ่งสู่ภูเขาทะมึนตรงหน้า โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์ควบคุมขบวน บ้างขี่ม้า บ้างขี่ควาย แต่ผู้เป็นหัวหน้าจะมีพาหนะเป็นสัตว์เทพ แสดงถึงผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าจนสามารถควบคุมสัตว์เทพได้
“มันเกิดอะไรขึ้น ที่นี่ไม่ใช่ป่าหิมพานต์ แล้วมันเป็นที่ใดกัน เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
คำถามต่างๆพรั่งพรู ทั้งสับสนและตื่นกลัว ยามมองไปรอบกายที่เต็มไปด้วยป่าทึบและดวงอาทิตย์กำลังลาลับหลังทิวไม้ใหญ่
ปิศาจงูในร่างเด็กหนุ่มที่นั่งใกล้สุดรู้สึกหงุดหงิด
“เจ้าหยุดพล่ามเสียทีได้ไหม สถานที่แห่งนี้คือโลกมนุษย์ ไม่ใช่ป่าหิมพานต์อย่างที่เจ้าพร่ำอยู่นั่นหรอก”
“โลกมนุษย์เรอะ แล้วเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“อุวะ!? ข้าจะไปรู้เจ้าเรอะ..ตกลงว่าเจ้าโง่หรือบ้ากันแน่” เด็กหนุ่มตะคอกกลับอย่างหัวเสีย หากไม่ติดว่าถูกมัด จะถีบอีกฝ่ายสักที
สรษดาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ คำถามต่างๆ ความรู้สึกหลากหลายพลุ่งพล่านปนเปจนไม่อาจสงบใจ หันไปทางคนคุมที่อยู่นอกกรง
“ปล่อยข้านะ..ปล่อยข้าออกไป”
คนเหล่านั้นพากันหัวเราะ และหนึ่งในนั้นก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ลูกพี่ ไอ้เด็กนี่ตาอีกข้างเป็นสีแดงขอรับ”
ทั้งหมดจึงเพ่งมองอย่างสนใจ
“จริงด้วย เมื่อกี้เจ้านี่สลบอยู่เลยไม่เห็น” แล้วหันไปหาผู้เป็นหัวหน้า “ลูกพี่ พวกเราได้ของดีมาแล้ว แบบนี้ขายได้ราคาดีแน่"
ใบหน้าคร้ามแกร่งมองสบเด็กน้อยอย่างพินิจ
“นั่นสิ”
แม้ใบหน้าด้านซ้ายจะมีริ้วรอยบาดแผล ทว่า ดวงตาสีทองประกายแดงเพลิงนั้นกลับงดงามจับใจ กรอปกับเครื่องหน้าและผิวพรรณเกลี้ยงเกลาเปล่งปลั่งราวมีรัศมีรอบกาย ทำให้สินค้าที่ได้มาโดยบังเอิญนี้ล้ำค่ามากทีเดียว แล้วหันไปตะโกนบอกลูกน้องให้เร่งฝีเท้ากลับค่าย
สรษดามองอย่างโกรธจัด ที่คนเหล่านั้นไม่สนใจฟังเขาสักนิด จึงบันดาลโทสะ พุ่งพลังหมายทำลายกรงขัง ทว่า พลังแห่งฤทธาที่เค้นออกมาได้ไม่ต่างอะไรกับภูตชั้นต่ำ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”
ปิศาจงูจึงสงเคราะห์ชี้ความกระจ่างให้
“ไร้ประโยชน์น่า..พลังของพวกเราน่ะถูกผู้ใช้เวทย์ของพวกมนุษย์สะกดไว้ เจ้าก็คงโดนสะกดพลังไว้เหมือนกันนั่นล่ะ” พลางกวาดสายตาสำรวจ “เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่” และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำจมูกฟุดฟิดเพียงครู่ ก็ผงะอย่างตื่นตะลึง
“เผ่าเทวาเรอะ!”
นักโทษร่วมกรงขังต่างหันมองเป็นตาเดียว แล้วเริ่มสูดดมหากลิ่นไอที่แท้จริงจากร่างเด็กน้อย เพียงครู่ก็มีอาการไม่ต่างจากปิศาจงู
“เป็นไปไม่ได้..มนุษย์ไม่สามารถสะกดเผ่าเทวาได้!”
“เจ้าเป็นตัวอะไรกัน!?” ทั้งหมดกังขาในตัวตนที่แท้จริงของเด็กน้อยตรงหน้า ในขณะที่สรษดาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยมาโลกมนุษย์ และครั้งนี้จับพลัดจับผลูมาโผล่ยังดินแดนนี้ด้วยความมึนงง แต่ก็พอจะรู้เรื่องราวต่างๆมากมายจากตำรับตำราที่เล่าเรียน และจำได้ว่า คาถาอาคมของมนุษย์ไม่สามารถทำอันตรายเทวาและมารได้ และการถูกสะกดพลังต้นกำเนิดนั้น จะสร้างความเจ็บปวดในระดับหนึ่ง ผู้ถูกสะกดจะต่อต้านเต็มกำลัง ถ้าอิทธิฤทธิ์ผู้สะกดด้อยกว่า จะไม่สามารถสะกดพลังอีกฝ่ายได้ และอาจพลาดท่าถูกแย่งชิงดวงจิตไปกลืนกินแทน
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะถูกเทวดาองค์อื่นมาสะกดโดยไม่รู้ตัว
เด็กน้อยเร่งครุ่นคิดถึงสาเหตุ ตั้งแต่ออกจากวิมานก็หลับมาโดยตลอด ไม่ได้แวะที่ไหน
พลัน! สะดุดความคิดลงอย่างตื่นตระหนก เมื่อนึกถึงโอสถถ้วยนั้นที่มันอาจจะเป็นต้นเหตุทำให้หลับลึกจนถูกผู้อื่นทำร้ายได้
“..ไม่จริง!! เสด็จแม่ไม่มีมีทางทำร้ายข้าแน่..ไม่จริง” เด็กน้อยพึมพำ ไม่ยอมรับในคำตอบที่ผุดขึ้นมาและรีบสลัดทิ้งออกจากหัว หันมาตะโกนลั่นพร้อมทุ่มตัวกระแทกกรงขังอย่างคลุ้มคลั่ง กรงขังที่ล้อมด้วยอาคมสั่นสะเทือนเสียงดังสนั่น ฝูงม้าพากันแตกตื่น วัวลากพากันวิ่งเตลิดออกนอกเส้นทางจนคนคุมบังเหียนบังคับไม่อยู่ สร้างความโกลาหลอยู่ยกใหญ่กว่าจะสงบ
เหล่ากองโจรหันมาจ้องตัวต้นเรื่องอย่างโกรธเคือง หนึ่งในนั้นตะโกนอย่างเดือดดาล
“ไอ้เด็กเวร! อยากเจอดีรึไง”
แต่สรษดาแสยะยิ้ม พลางยักคิ้วท้าทายยั่วโทสะจนอีกฝ่ายตรงปรี่เข้ามาพร้อมกระบองยาวในมือหมายกระทุ้งร่างเจ้าเด็กตัวแสบที่กลิ้งหลบไปมา เหล่าผองเพื่อนส่งเสียงเชียร์ดังลั่น ไม่มีใครคิดห้ามปราม จนเกิดความโกลาหลอีกครั้ง
ขณะนั้น ชายคนหนึ่งขี่วัวเข้ามาดูเขาถูกทำร้ายใกล้กรงขัง โอรสสวรรค์ฉวยโอกาสนี้ใช้พลังที่ยังพอมีกระชากวัวตัวนั้นให้ลอยลิ่วจนผู้ขี่กระเด็นร่วงหล่นพื้นเสียงดังตุบใหญ่ ส่วนร่างหนาหนักของวัวเคราะห์ร้ายพุ่งกระแทกกรงเต็มแรงจนคอหักกระดูกทิ่มทะลุเนื้อออกมา เลือดกระเซ็นจนบดบังอักขระที่เขียนกำกับจนคาถาเสื่อมถอย สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ที่อยู่รายรอบ
หัวหน้ากองโจรรีบกระโจนเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ยังช้ากว่าสรษดาที่ถีบลูกกรงบริเวณที่เปรอะเลือดเต็มแรง จนซี่ไม้หักสะบั้น
ร่างเล็กพุ่งผ่านช่องไม้ที่หักออกมาพลางหลบหลีกการไล่ตะครุบกันอย่างอุตลุดได้อย่างว่องไว ทั้งๆที่มือทั้งสองข้างยังถูกพันธนาการ จนพวกโจรพากันงุนงง
“มันไม่ได้ถูกสะกดหรือไงวะ!?”
“เฮ้ย ๆ”
พวกโจรพากันตะโกนลั่น เมื่อเห็นว่าสินค้าอันมาค่ากำลังกระโดดราวเหาะได้หนีไปต่อหน้า
หัวหน้าโจรรีบทะยานตามติดพลางใช้อาคมเรียกบ่วงนาคราช ซึ่งเป็นของวิเศษที่อาจารย์มอบให้ พุ่งฉิวตรงเข้ารัดร่างของเด็กน้อยจนดิ้นไม่หลุด พลางกระตุกชายเชือกให้ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างแรง
บรรดาลูกน้องส่วนหนึ่งที่ไล่ตามมาต่างเข้ารุมทำร้ายร่างเล็กๆไม่ยั้ง
สรษดากระอักไอทั้งจุก ทั้งเจ็บ และเมื่อครู่เขาได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีไปแล้ว กรอปกับได้รับบาดเจ็บ เมื่อถูกทำร้ายอย่างไร้ความปราณี สติจึงดับวูบ
“เฮ้ย พอแล้วๆ!” หัวหน้ารีบเข้ามาห้าม “เดี๋ยวมันก็ตายพอดี อุตส่าห์ลงไปงมขึ้นมาจากก้นแม่น้ำ หรือพวกเอ็งอยากเสียแรงเปล่ากันเรอะ”
ทั้งหมดจึงยอมรามืออย่างเสียไม่ได้ พลางนึกถึงระหว่างทางกลับค่าย ที่บังเอิญแอบเห็นชายสองคนซึ่งแต่งกายงดงามดุจชาววังนำร่างเด็กชายที่ถูกสะกดพลังแล้วผูกกับหินก้อนใหญ่โยนลงแม่น้ำ ก่อนจะรีบขับราชรถเหาะขึ้นฟ้าและหายวับไปกับตา พวกเขาจึงเดาว่าชายสองคนนั้นอาจจะเป็นชาวสวรรค์ และบังเกิดความสงสัยว่า ผู้ที่ถูกถ่วงน้ำนั้นเป็นใคร จึงพากันลงไปงมเอาร่างนั้นขึ้นมา และเมื่อพบว่ายังมีลมหายใจ จึงแน่ใจว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ อาจจะเป็นภูตหรือปิศาจอะไรสักอย่าง และคงไปกวนประสาทเทวดาเข้า จึงถูกลงโทษเช่นนี้
ผู้เป็นหัวหน้าสำรวจจนแน่ใจว่าเด็กน้อยผู้นี้ถูกสะกดพลังต้นกำเนิดไว้แล้วโดยที่เขาไม่ต้องเปลืองแรง จึงใช้เชือกอาคมมัดเฉกเช่นกับทาสตนอื่น โดยไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยที่ถูกสะกดไว้จะยังมีพลังถึงขนาดนี้ ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเขาก็เห็นพวกอมุษย์มาก็มาก แต่ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลย
“เอ็งเป็นตัวอะไรแน่วะ!?”
และจากที่ศึกษาในคัมภีร์ มีหลายเรื่องที่บันทึกเกี่ยวกับเผ่าเทวาตามคำเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็ยังไม่มีข้อไหนสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะทั้งมารและเทวดานั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยากจะพบเห็นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ชายหนุ่มหันเรียกสัตว์เทพของตนให้เข้ามาใกล้เพื่อพิสูจน์
บรรดาลูกสมุนรีบเปิดทางราวดอกแหนถูกแหวก เมื่อเห็นเจ้าสัตว์เทพตัวเขื่องเดินหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะทั้งเหนื่อยทั้งหิว..ทว่า ยังไม่ทันถึงจุดที่ผู้เป็นนายยืนอยู่ มันรีบยอบตัวลงนอนหมอบราบแทบพื้นอย่างเรียบร้อย เมื่อได้กลิ่นไอเทพจากร่างเล็กๆตรงหน้า ต่อให้ผู้เป็นนายเรียกแค่ไหน มันก็นอนนิ่งไม่ขยับตามคำสั่ง
หัวหน้าโจรจึงมั่นใจแล้วว่า เด็กน้อยตรงหน้าเป็นเผ่าเทวา และคงสูงศักดิ์พอสมควร สัตว์เทพของเขาถึงไปนอนหมอบไกลเสียขนาดนั้น
“อืม ถือว่าเป็นของล้ำค่าที่แสนอันตรายจริงๆ”
ลูกน้องคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาถาม
“แล้วทีนี้จะเอาอย่างไรดีล่ะลูกพี่ จะปล่อยไปไหมขอรับ” เพราะเมื่อรู้ว่าเป็นเทวดา พวกเขาก็รู้สึกเกรงกลัว แต่ลูกพี่หันมาตวาดลั่น
“เอ็งมันเขลานัก ของดีเช่นนี้จะปล่อยไปได้เยี่ยงไร”
“ตะ..แต่เจ้าเด็กนี่เป็นเทวดานะขอรับ..ขืนทำอะไรลงไป พวกเทวดารู้เข้าแล้วกลับมาแก้แค้น พวกเราจะลำบากนะขอรับ"
“ถึงจะเป็นเทวดา แต่คงทำผิดมหันต์ ถึงได้ถูกหมายเอาชีวิตเยี่ยงนี้..เพราะในคัมภีร์ที่ข้าร่ำเรียนมาได้บันทึกไว้ว่า เทวดาจะมีอายุบนโลกได้แค่สองร้อยปีเท่านั้น หากไม่กลับขึ้นสวรรค์ก็จะตาย..และที่เจ้าเด็กนี่ถูกมัดติดกับหินให้จมอยู่ใต้น้ำอย่างนั้นก็หวังไม่ให้มีใครเห็น แล้วพอผ่านไปครบสองร้อยปี ไอ้เด็กนี้ก็จะตายไปเอง..เพียงแต่เราโชคดีไปเจอเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเสียดายแย่เลย”
“โชคดีหรือขอรับ”
“ใช่..เพราะอีกข้อที่ข้าจดจำได้แม่นยำคือ เลือดเนื้อของเทวดานั้น หากผู้ใดได้กลืนกินก็จะอยู่ยงคงกระพัน เสริมสร้างพลังชีวิตให้ยืนยาวหลายร้อยปีโดยไม่แก่ชรา ดังนั้น..ข้าจึงคิดที่จะนำเจ้าเด็กเทพนี่ไปบดทำยาวิเศษ..แล้วเมื่อนั้น แม้แต่พระราชาก็ต้องก้มหัวให้ข้า”
หัวหน้าโจรหัวเราะร่า เมื่อนึกถึงเงินทองจำนวนมหาศาลที่กำลังจะได้มา บรรดาลูกน้องได้ฟังดังนั้นก็ตาโตร่วมหัวเราะกันอย่างครื้นเครง ก่อนหิ้วร่างที่หมดสติกลับเข้ากรง
(ต่อค่ะ)
ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๖ #
“คืออะไรเหรอเสด็จแม่”
“เป็นโอสถช่วยในการผ่อนคลาย..แม่คิดว่าเจ้าคงกังวลใจที่ต้องไปอยู่ยังดินแดนห่างไกลเพียงลำพัง โอสถขนานนี้คงจะช่วยเจ้าได้มากทีเดียว..ดื่มเสียสิ”
พระนางยื่นให้พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เด็กน้อยรับมาดื่มจนหมด แม้รสชาติของมันจะแสบร้อนยามไหลลงไปตามลำคอจนถึงช่องท้อง
“หืม..เป็นยาที่รสชาติแย่ที่สุดเท่าที่ลูกเคยกินมาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
พระนางมองลูก ความอาวรณ์บังเกิดขึ้นภายในใจ จนหลั่งน้ำตาออกมา
“เจ้าต้องอดทนพยายามเล่าเรียน แล้วรีบกลับมาหาแม่นะ”
สรษดามองผู้ให้กำเนิด และพยักหน้ารับด้วยความกระตือรือร้น เมื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นของมือคู่นี้กลับคืนมาอีกครั้ง
“ลูกสัญญาว่าจะรีบกลับมา เสด็จแม่ตั้งตารอได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
สองแม่ลูกสวมกอดด้วยความรัก
เมื่อถึงเวลาเดินทาง มเหสีมณฑายืนมองบุตรชายจนลับตาก็กลับเข้ามาสะอื้นไห้ด้วยความคิดถึง พระนางมาทรีเห็นอาการนั้นจึงรับรู้ว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา บุตรสาวไม่ได้ดื่มโอสถที่ตนมอบให้ จึงรีบนำมาให้
“สรษดายังไม่ทันถึงป่าหิมพานต์ เจ้าก็ร้องไห้เสียยกใหญ่..ช่างน่าขันนัก” นางวางถ้วยโอสถลงบนตั่งประทับ
“ขอประทานอภัยเพคะเสด็จแม่ ลูกกับสรษดาไม่เคยจากกันไกลถึงเพียงนี้ ลูกก็เลยอดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้”
“เจ้าไม่ต้องเสียน้ำตามากมายนักหรอก..ยามนี้ลูกของเจ้ายังเยาว์ ย่อมออดอ้อนให้ดูแล แต่หากเมื่อเติบใหญ่ เจ้าก็หมดประโยชน์ให้เขาใส่ใจ แล้วเมื่อนั้น..ธาตุแท้ก็จะเปิดเผย เฉกเช่นบุรุษทั่วไป”
“สรษดาจะไม่เป็นเช่นนั้นหรอกเพคะ เพราะเขาสัญญาว่าจะดูแลลูกตลอดไป ถึงแม้ว่าเขาจะมีคนรัก เขาก็จะไม่ทอดทิ้งลูก”
พระนางมาทรีแค่นยิ้มเย้ยหยัน..ช่วงชีวิตที่ผ่านมา บุรุษมากหน้าหลายตาต่างพร่ำบอกว่าจะดูแลนาง..สุดท้ายก็เป็นเพียงคำลวงฉุดดึงให้ชีวิตจมปลักอยู่ในความอัปยศอันแสนมืดมน หากต้องการหลุดพ้น จำต้องไขว่คว้าหาอำนาจด้วยตนเอง แล้วเมื่อนั้น ชีวิตจะถูกปลดเปลื้องสู่แสงสว่างอันงดงาม เฉกเช่นทุกวันนี้
นางหยิบโอสถส่งให้ลูก
“เจ้าดื่มเสียเถอะ จะได้มีเรี่ยวแรงรอวันที่สรษดากลับมา”
รอจนโอสถถ้วยนั้นถูกดื่มจนหมด จึงเอ่ยถาม
“แล้วเจ้าได้ให้สรษดาดื่มโอสถที่แม่ให้มาหรือเปล่า”
“เพคะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น รอยยิ้มพึงใจปรากฏบนใบหน้า พลางลูบเรือนผมของลูกอย่างอ่อนโยน
“นับจากนี้ ชีวิตของข้าและเจ้าก็จะพบเจอแต่สิ่งอันเป็นประเสริฐ ไม่มีอุปสรรคใดมาขวางได้อีก..เจ้าจงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและเชื่อฟังแม่นะ”
“เพคะ..ลูกจะเชื่อฟังเสด็จแม่ทุกอย่าง” พระมเหสีตอบรับอย่างเลื่อนลอย
...
สรษดารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของวงล้อที่กำลังวิ่งบนเส้นทางขรุขระ เขาพยายามเปิดเปลือกตาอันแสนหนักอึ้ง
แล้วเหตุใด เนื้อตัวเขาถึงได้เปียกโชกและอ่อนเปลี้ยเช่นนี้ !?
เพราะจำได้เลาๆว่ากำลังมองกลุ่มเมฆขาวสะอาดขณะที่ราชรถเคลื่อนผ่าน จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย พลางขยับกายจะลุกขึ้นก็พบว่าตนเองนั้นถูกเชือกลงอาคมมัดมือไพล่หลังอย่างแน่นหนา และรอบกายเต็มไปด้วยภูต พราย และปิศาจถูกมัดไม่ต่างกับตน ทั้งหมดนี้นั่งรวมกันอยู่ในกรงขังที่กำกับด้วยอักขระอาคมแข็งแกร่งบนรถเทียมวัวตัวเขื่องสองตัว กำลังมุ่งสู่ภูเขาทะมึนตรงหน้า โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์ควบคุมขบวน บ้างขี่ม้า บ้างขี่ควาย แต่ผู้เป็นหัวหน้าจะมีพาหนะเป็นสัตว์เทพ แสดงถึงผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าจนสามารถควบคุมสัตว์เทพได้
“มันเกิดอะไรขึ้น ที่นี่ไม่ใช่ป่าหิมพานต์ แล้วมันเป็นที่ใดกัน เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
คำถามต่างๆพรั่งพรู ทั้งสับสนและตื่นกลัว ยามมองไปรอบกายที่เต็มไปด้วยป่าทึบและดวงอาทิตย์กำลังลาลับหลังทิวไม้ใหญ่
ปิศาจงูในร่างเด็กหนุ่มที่นั่งใกล้สุดรู้สึกหงุดหงิด
“เจ้าหยุดพล่ามเสียทีได้ไหม สถานที่แห่งนี้คือโลกมนุษย์ ไม่ใช่ป่าหิมพานต์อย่างที่เจ้าพร่ำอยู่นั่นหรอก”
“โลกมนุษย์เรอะ แล้วเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“อุวะ!? ข้าจะไปรู้เจ้าเรอะ..ตกลงว่าเจ้าโง่หรือบ้ากันแน่” เด็กหนุ่มตะคอกกลับอย่างหัวเสีย หากไม่ติดว่าถูกมัด จะถีบอีกฝ่ายสักที
สรษดาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ คำถามต่างๆ ความรู้สึกหลากหลายพลุ่งพล่านปนเปจนไม่อาจสงบใจ หันไปทางคนคุมที่อยู่นอกกรง
“ปล่อยข้านะ..ปล่อยข้าออกไป”
คนเหล่านั้นพากันหัวเราะ และหนึ่งในนั้นก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ลูกพี่ ไอ้เด็กนี่ตาอีกข้างเป็นสีแดงขอรับ”
ทั้งหมดจึงเพ่งมองอย่างสนใจ
“จริงด้วย เมื่อกี้เจ้านี่สลบอยู่เลยไม่เห็น” แล้วหันไปหาผู้เป็นหัวหน้า “ลูกพี่ พวกเราได้ของดีมาแล้ว แบบนี้ขายได้ราคาดีแน่"
ใบหน้าคร้ามแกร่งมองสบเด็กน้อยอย่างพินิจ
“นั่นสิ”
แม้ใบหน้าด้านซ้ายจะมีริ้วรอยบาดแผล ทว่า ดวงตาสีทองประกายแดงเพลิงนั้นกลับงดงามจับใจ กรอปกับเครื่องหน้าและผิวพรรณเกลี้ยงเกลาเปล่งปลั่งราวมีรัศมีรอบกาย ทำให้สินค้าที่ได้มาโดยบังเอิญนี้ล้ำค่ามากทีเดียว แล้วหันไปตะโกนบอกลูกน้องให้เร่งฝีเท้ากลับค่าย
สรษดามองอย่างโกรธจัด ที่คนเหล่านั้นไม่สนใจฟังเขาสักนิด จึงบันดาลโทสะ พุ่งพลังหมายทำลายกรงขัง ทว่า พลังแห่งฤทธาที่เค้นออกมาได้ไม่ต่างอะไรกับภูตชั้นต่ำ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?”
ปิศาจงูจึงสงเคราะห์ชี้ความกระจ่างให้
“ไร้ประโยชน์น่า..พลังของพวกเราน่ะถูกผู้ใช้เวทย์ของพวกมนุษย์สะกดไว้ เจ้าก็คงโดนสะกดพลังไว้เหมือนกันนั่นล่ะ” พลางกวาดสายตาสำรวจ “เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่” และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำจมูกฟุดฟิดเพียงครู่ ก็ผงะอย่างตื่นตะลึง
“เผ่าเทวาเรอะ!”
นักโทษร่วมกรงขังต่างหันมองเป็นตาเดียว แล้วเริ่มสูดดมหากลิ่นไอที่แท้จริงจากร่างเด็กน้อย เพียงครู่ก็มีอาการไม่ต่างจากปิศาจงู
“เป็นไปไม่ได้..มนุษย์ไม่สามารถสะกดเผ่าเทวาได้!”
“เจ้าเป็นตัวอะไรกัน!?” ทั้งหมดกังขาในตัวตนที่แท้จริงของเด็กน้อยตรงหน้า ในขณะที่สรษดาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยมาโลกมนุษย์ และครั้งนี้จับพลัดจับผลูมาโผล่ยังดินแดนนี้ด้วยความมึนงง แต่ก็พอจะรู้เรื่องราวต่างๆมากมายจากตำรับตำราที่เล่าเรียน และจำได้ว่า คาถาอาคมของมนุษย์ไม่สามารถทำอันตรายเทวาและมารได้ และการถูกสะกดพลังต้นกำเนิดนั้น จะสร้างความเจ็บปวดในระดับหนึ่ง ผู้ถูกสะกดจะต่อต้านเต็มกำลัง ถ้าอิทธิฤทธิ์ผู้สะกดด้อยกว่า จะไม่สามารถสะกดพลังอีกฝ่ายได้ และอาจพลาดท่าถูกแย่งชิงดวงจิตไปกลืนกินแทน
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะถูกเทวดาองค์อื่นมาสะกดโดยไม่รู้ตัว
เด็กน้อยเร่งครุ่นคิดถึงสาเหตุ ตั้งแต่ออกจากวิมานก็หลับมาโดยตลอด ไม่ได้แวะที่ไหน
พลัน! สะดุดความคิดลงอย่างตื่นตระหนก เมื่อนึกถึงโอสถถ้วยนั้นที่มันอาจจะเป็นต้นเหตุทำให้หลับลึกจนถูกผู้อื่นทำร้ายได้
“..ไม่จริง!! เสด็จแม่ไม่มีมีทางทำร้ายข้าแน่..ไม่จริง” เด็กน้อยพึมพำ ไม่ยอมรับในคำตอบที่ผุดขึ้นมาและรีบสลัดทิ้งออกจากหัว หันมาตะโกนลั่นพร้อมทุ่มตัวกระแทกกรงขังอย่างคลุ้มคลั่ง กรงขังที่ล้อมด้วยอาคมสั่นสะเทือนเสียงดังสนั่น ฝูงม้าพากันแตกตื่น วัวลากพากันวิ่งเตลิดออกนอกเส้นทางจนคนคุมบังเหียนบังคับไม่อยู่ สร้างความโกลาหลอยู่ยกใหญ่กว่าจะสงบ
เหล่ากองโจรหันมาจ้องตัวต้นเรื่องอย่างโกรธเคือง หนึ่งในนั้นตะโกนอย่างเดือดดาล
“ไอ้เด็กเวร! อยากเจอดีรึไง”
แต่สรษดาแสยะยิ้ม พลางยักคิ้วท้าทายยั่วโทสะจนอีกฝ่ายตรงปรี่เข้ามาพร้อมกระบองยาวในมือหมายกระทุ้งร่างเจ้าเด็กตัวแสบที่กลิ้งหลบไปมา เหล่าผองเพื่อนส่งเสียงเชียร์ดังลั่น ไม่มีใครคิดห้ามปราม จนเกิดความโกลาหลอีกครั้ง
ขณะนั้น ชายคนหนึ่งขี่วัวเข้ามาดูเขาถูกทำร้ายใกล้กรงขัง โอรสสวรรค์ฉวยโอกาสนี้ใช้พลังที่ยังพอมีกระชากวัวตัวนั้นให้ลอยลิ่วจนผู้ขี่กระเด็นร่วงหล่นพื้นเสียงดังตุบใหญ่ ส่วนร่างหนาหนักของวัวเคราะห์ร้ายพุ่งกระแทกกรงเต็มแรงจนคอหักกระดูกทิ่มทะลุเนื้อออกมา เลือดกระเซ็นจนบดบังอักขระที่เขียนกำกับจนคาถาเสื่อมถอย สร้างความตกตะลึงให้กับผู้ที่อยู่รายรอบ
หัวหน้ากองโจรรีบกระโจนเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ยังช้ากว่าสรษดาที่ถีบลูกกรงบริเวณที่เปรอะเลือดเต็มแรง จนซี่ไม้หักสะบั้น
ร่างเล็กพุ่งผ่านช่องไม้ที่หักออกมาพลางหลบหลีกการไล่ตะครุบกันอย่างอุตลุดได้อย่างว่องไว ทั้งๆที่มือทั้งสองข้างยังถูกพันธนาการ จนพวกโจรพากันงุนงง
“มันไม่ได้ถูกสะกดหรือไงวะ!?”
“เฮ้ย ๆ”
พวกโจรพากันตะโกนลั่น เมื่อเห็นว่าสินค้าอันมาค่ากำลังกระโดดราวเหาะได้หนีไปต่อหน้า
หัวหน้าโจรรีบทะยานตามติดพลางใช้อาคมเรียกบ่วงนาคราช ซึ่งเป็นของวิเศษที่อาจารย์มอบให้ พุ่งฉิวตรงเข้ารัดร่างของเด็กน้อยจนดิ้นไม่หลุด พลางกระตุกชายเชือกให้ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างแรง
บรรดาลูกน้องส่วนหนึ่งที่ไล่ตามมาต่างเข้ารุมทำร้ายร่างเล็กๆไม่ยั้ง
สรษดากระอักไอทั้งจุก ทั้งเจ็บ และเมื่อครู่เขาได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีไปแล้ว กรอปกับได้รับบาดเจ็บ เมื่อถูกทำร้ายอย่างไร้ความปราณี สติจึงดับวูบ
“เฮ้ย พอแล้วๆ!” หัวหน้ารีบเข้ามาห้าม “เดี๋ยวมันก็ตายพอดี อุตส่าห์ลงไปงมขึ้นมาจากก้นแม่น้ำ หรือพวกเอ็งอยากเสียแรงเปล่ากันเรอะ”
ทั้งหมดจึงยอมรามืออย่างเสียไม่ได้ พลางนึกถึงระหว่างทางกลับค่าย ที่บังเอิญแอบเห็นชายสองคนซึ่งแต่งกายงดงามดุจชาววังนำร่างเด็กชายที่ถูกสะกดพลังแล้วผูกกับหินก้อนใหญ่โยนลงแม่น้ำ ก่อนจะรีบขับราชรถเหาะขึ้นฟ้าและหายวับไปกับตา พวกเขาจึงเดาว่าชายสองคนนั้นอาจจะเป็นชาวสวรรค์ และบังเกิดความสงสัยว่า ผู้ที่ถูกถ่วงน้ำนั้นเป็นใคร จึงพากันลงไปงมเอาร่างนั้นขึ้นมา และเมื่อพบว่ายังมีลมหายใจ จึงแน่ใจว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ อาจจะเป็นภูตหรือปิศาจอะไรสักอย่าง และคงไปกวนประสาทเทวดาเข้า จึงถูกลงโทษเช่นนี้
ผู้เป็นหัวหน้าสำรวจจนแน่ใจว่าเด็กน้อยผู้นี้ถูกสะกดพลังต้นกำเนิดไว้แล้วโดยที่เขาไม่ต้องเปลืองแรง จึงใช้เชือกอาคมมัดเฉกเช่นกับทาสตนอื่น โดยไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยที่ถูกสะกดไว้จะยังมีพลังถึงขนาดนี้ ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเขาก็เห็นพวกอมุษย์มาก็มาก แต่ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลย
“เอ็งเป็นตัวอะไรแน่วะ!?”
และจากที่ศึกษาในคัมภีร์ มีหลายเรื่องที่บันทึกเกี่ยวกับเผ่าเทวาตามคำเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น แต่ก็ยังไม่มีข้อไหนสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะทั้งมารและเทวดานั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยากจะพบเห็นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ชายหนุ่มหันเรียกสัตว์เทพของตนให้เข้ามาใกล้เพื่อพิสูจน์
บรรดาลูกสมุนรีบเปิดทางราวดอกแหนถูกแหวก เมื่อเห็นเจ้าสัตว์เทพตัวเขื่องเดินหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะทั้งเหนื่อยทั้งหิว..ทว่า ยังไม่ทันถึงจุดที่ผู้เป็นนายยืนอยู่ มันรีบยอบตัวลงนอนหมอบราบแทบพื้นอย่างเรียบร้อย เมื่อได้กลิ่นไอเทพจากร่างเล็กๆตรงหน้า ต่อให้ผู้เป็นนายเรียกแค่ไหน มันก็นอนนิ่งไม่ขยับตามคำสั่ง
หัวหน้าโจรจึงมั่นใจแล้วว่า เด็กน้อยตรงหน้าเป็นเผ่าเทวา และคงสูงศักดิ์พอสมควร สัตว์เทพของเขาถึงไปนอนหมอบไกลเสียขนาดนั้น
“อืม ถือว่าเป็นของล้ำค่าที่แสนอันตรายจริงๆ”
ลูกน้องคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาถาม
“แล้วทีนี้จะเอาอย่างไรดีล่ะลูกพี่ จะปล่อยไปไหมขอรับ” เพราะเมื่อรู้ว่าเป็นเทวดา พวกเขาก็รู้สึกเกรงกลัว แต่ลูกพี่หันมาตวาดลั่น
“เอ็งมันเขลานัก ของดีเช่นนี้จะปล่อยไปได้เยี่ยงไร”
“ตะ..แต่เจ้าเด็กนี่เป็นเทวดานะขอรับ..ขืนทำอะไรลงไป พวกเทวดารู้เข้าแล้วกลับมาแก้แค้น พวกเราจะลำบากนะขอรับ"
“ถึงจะเป็นเทวดา แต่คงทำผิดมหันต์ ถึงได้ถูกหมายเอาชีวิตเยี่ยงนี้..เพราะในคัมภีร์ที่ข้าร่ำเรียนมาได้บันทึกไว้ว่า เทวดาจะมีอายุบนโลกได้แค่สองร้อยปีเท่านั้น หากไม่กลับขึ้นสวรรค์ก็จะตาย..และที่เจ้าเด็กนี่ถูกมัดติดกับหินให้จมอยู่ใต้น้ำอย่างนั้นก็หวังไม่ให้มีใครเห็น แล้วพอผ่านไปครบสองร้อยปี ไอ้เด็กนี้ก็จะตายไปเอง..เพียงแต่เราโชคดีไปเจอเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเสียดายแย่เลย”
“โชคดีหรือขอรับ”
“ใช่..เพราะอีกข้อที่ข้าจดจำได้แม่นยำคือ เลือดเนื้อของเทวดานั้น หากผู้ใดได้กลืนกินก็จะอยู่ยงคงกระพัน เสริมสร้างพลังชีวิตให้ยืนยาวหลายร้อยปีโดยไม่แก่ชรา ดังนั้น..ข้าจึงคิดที่จะนำเจ้าเด็กเทพนี่ไปบดทำยาวิเศษ..แล้วเมื่อนั้น แม้แต่พระราชาก็ต้องก้มหัวให้ข้า”
หัวหน้าโจรหัวเราะร่า เมื่อนึกถึงเงินทองจำนวนมหาศาลที่กำลังจะได้มา บรรดาลูกน้องได้ฟังดังนั้นก็ตาโตร่วมหัวเราะกันอย่างครื้นเครง ก่อนหิ้วร่างที่หมดสติกลับเข้ากรง
(ต่อค่ะ)