ลำนำรักเทพบรรพกาล (ภาค มหาเทวีผู้สร้าง) : Angels and Devils. #บทที่๑๓ #(ดาวและเดือน..ล้วนเป็นของเจ้า.)

ตลอดห้าวันที่ผ่านมา..สรษดาผ่านผู้คนหลายกลุ่ม หลายชาติพันธ์ กำลังหนีตายจากภัยสงครามอย่างไร้ทิศทาง บางคนบาดเจ็บหรืออ่อนแอก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เสบียงที่มีก็ถูกช่วงชิงปล่อยให้อดตายอย่างน่าอนาถ แม้ว่าเขาจะนึกสงสาร แต่ก็มิอาจช่วยอะไรได้ คิดจะแบ่งปันเสบียง แต่นางเฒ่าห้ามไว้ เพราะเสบียงที่มีนั้นจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนผู้อพยพที่มีหลายร้อยชีวิต หากเขาให้ไปหนึ่งคน คนที่เหลือก็ต้องการเช่นกัน และเมื่อไม่ได้ ความโกลาหลย่อมเกิดขึ้นตามมา แล้วมันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมจนทำให้เขารู้สึกผิด
“คนเหล่านั้นล้วนมีเส้นชะตา..ปล่อยให้พวกเขาเดินไปตามเส้นนั้นเถิด เจ้าจงอยู่อย่างสงบ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย” 

แม้ว่าสรษดาจะทำตามที่นางเฒ่าบอก..ทว่า ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งได้ทำตัวเป็นโจร คอยปล้นทรัพย์และเสบียงของผู้อพยพด้วยกัน และเมื่อคนพวกนั้นเห็นว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มมากับหญิงชราพร้อมเกวียนที่บรรทุกข้าวของ จึงคิดช่วงชิง 

แต่ทันทีที่ลงมือ กลับถูกเด็กหนุ่มที่ดวงตาข้างหนึ่งสีแดงเพลิง มีพละกำลังมหาศาลจับมัดด้วยเชือกป่าน ก่อนโยนร่างของพวกเขาแขวนบนต้นไม้ ได้แต่ตะโกนอ้อนวอน ขอให้เด็กหนุ่มปล่อยพวกเขาลงไป
“พวกข้าขอโทษ ต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว..ได้โปรดปล่อยพวกข้าลงไปเถอะ พ่อหนุ่ม”

สรษดาเพียงแค่ยิ้มเยาะ..ปล่อยให้เจ้าพวกนั้นห้อยต่องแต่งท้าแดดฝน สุดแท้แต่บุญแต่กรรมกันไปก็แล้วกัน แล้วก็เดินทางต่อไป

กลางดึกคืนนั้น..

ขณะที่กำลังนอนพักแรม นางเฒ่างูดินเริ่มกระสับกระส่ายเจ็บตามเนื้อตัวจนต้องผุดลุกขึ้นนั่ง เหงื่อกาฬผุดไหลเต็มใบหน้า ดวงตาเบิกโพลงกับอาการเจ็บแปลบราวถูกของมีคมรุมฟันทั่วร่าง สุดท้ายเสียบแทงเข้ากลางอกจนนางหายใจแทบไม่ออก..น้ำตาแห่งความอาดูรไหลพราก ปากพร่ำออกมาราวเสียสติ

“สิ้นแล้ว..เจ้าเมืองน้อยสิ้นแล้ว..เขาจากข้าไปแล้ว..” และร้องไห้จนตัวโยน

สรษดาตกใจตื่นรีบเข้าจับต้นแขนพร้อมเขย่าเพื่อเรียกสติ
“ยายเฒ่า! ท่านเป็นอะไร”

เสียงอันดังของหลานชาย ช่วยเรียกสติที่เตลิดไปไกลให้กลับคืน รีบสูดสะอื้นบอกเขาอย่างร้อนรน
“พวกเราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้..ข้าไม่มีเวลาแล้ว”

เด็กหนุ่มมองด้วยความฉงน
“หมายความว่าอย่างไร”

“อย่าเพิ่งถามอะไรข้าตอนนี้เลย พอไปถึงที่พักของท่านหมอแล้ว เจ้าก็จะรู้เอง..แต่ตอนนี้ข้าต้องขอร้องให้เจ้าใช้พลังแห่งเทพช่วยย่นระยะทางให้หน่อยเถอะ”

“ได้สิ..มากกว่านี้ข้าก็ทำให้ท่านได้” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างไม่ลังเล รู้สึกประหวั่นใจกับท่าทางตื่นตระหนกของนางเฒ่า และยิ่งใจหายวาบ เมื่อสัมผัสผิวกายเย็นเฉียบของร่างผอมบางที่ตนกำลังแบกขึ้นหลัง

“จงสร้างเกราะป้องกันยามใช้พลัง และอย่าให้เท้าสัมผัสผิวดินนะ..ไม่เช่นนั้น พลังของเจ้าจะถูกพลังเบญจธาตุกลืนกินโดยง่าย” นางภูตบอกด้วยแรงที่อ่อนล้าลงเรื่อยๆ พยายามเค้นเสียงบอกเส้นทางก่อนซบหน้าลงบนบ่า 

สรษดาทำตามที่นางเฒ่าบอก กระโดดเหยียบบนยอดไม้พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าสุดกำลัง และเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า เหตุใดนางเฒ่าถึงให้เขาสร้างเกราะป้องกัน เพราะยามที่ทะยานพุ่งไปในอากาศ เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งสายลมนั้นประดุจคมมีดปะทะฟาดฟันเกราะกำบังด้วยพลังมหาศาลจนสะท้านสะเทือนเข้ามาถึงแก่นวิญญาณ รวมถึงอากาศรอบกายทั้งอึดอัดและร้อนระอุ ยิ่งเขาใช้พลังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทรมานกับความเจ็บปวดทวีความรุนแรงแผ่ซ่านไปทุกอณู แต่กระนั้น ยังพยายามฝืนทนจนกระทั่งมาถึงชายป่าไผ่ 

เด็กหนุ่มคลายเกราะป้องกันยามหยัดยืนบนพื้นดินด้วยสภาพเหนื่อยหอบแทบขาดใจ ไม่สามารถเค้นพลังออกมาใช้ได้อีก จำต้องก้าวเดินด้วยสองขา
“นางเฒ่า..ถึงป่าไผ่แล้ว อดทนอีกหน่อยนะ” สรษดาบอกร่างที่แบกอยู่บนหลัง แต่ไม่ได้รับเสียงตอบกลับมา นอกจากลมหายใจรวยรินที่เป่ารดต้นคอ เขาจึงกัดฟันออกแรงวิ่งสู่ใจกลางป่าไผ่ ด้วยหวังว่า หมอยาที่อุตส่าห์บากบั่นมาหาด้วยความยากลำบาก จะสามารถช่วยชีวิตของนางเฒ่าได้

แต่กระนั้น ก็ยังมิวายพร่ำบ่นในใจ
‘สมกับเป็นเจ้าหมอวิปลาสจริงๆ..คนสติดีที่ไหน จะถ่อสังขารมาอยู่ไกลผู้ไกลคนเสียจนสุดขอบโลกเช่นนี้’

ยามนี้..ดวงจิตของนางภูตงูดินใกล้แตกดับ พลังภูตที่ใช้ห่อหุ้มปกปิดกลิ่นกายแห่งเทพสูญสลาย ทำให้เหล่าปิศาจน้อยใหญ่ ภูตและเทวาที่อยู่ใกล้ต่างมารวมตัว สายตาหลากหลายความคิดจับจ้องไปยังร่างเด็กหนุ่มแปลกหน้าเป็นจุดเดียว บ้างก็มองด้วยความสนใจใคร่รู้..บ้างก็อยากลิ้มลองพลังต้นกำเนิดอันแปลกประหลาดที่ผสมผสานระหว่างเทพและมารอย่างกลมกลืน ภูตหลายตนแอบมองอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะไม่รู้ว่าบุคคลแปลกหน้าผู้นี้จะเป็นอันตรายหรือไม่ ในขณะที่เทวาบางองค์มาจากชั้นดาวดึงส์ต่างฉงน เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นหอมของดอกอาสพตีเจืออยู่กับพลังของแก่นวิญญาณ ซึ่งเป็นกลิ่นจำเพาะของโอรสสวรรค์แห่งชั้นดาวดึงส์เท่านั้น

แล้วเหตุใด..เจ้าหนุ่มผู้นี้ถึงมีกลิ่นวิญญาณเช่นเดียวกับโอรสสวรรค์ผู้นั้น

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างสนใจ จู่ๆ ปิศาจกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าจู่โจมเด็กหนุ่ม ด้วยหวังกลืนกินพลังวิญญาณ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเอง แต่กลับกระเด็นกระดอนไม่เป็นท่า เมื่อมีพลังเย็นเยือกอันมหาศาลพุ่งปะทะจนทำให้ร่างของพวกปิศาจกลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา และแตกกระจายเป็นเสี่ยงยามตกกระทบพื้น เหลือเพียงดวงวิญญาณลอยล่อง ท่ามกลางสายตาหลายคู่ ที่กำลังจ้องมองด้วยความตกตะลึง พลัน ! สะดุ้งเฮือกกับเสียงอันเกรี้ยวกราดดังกึกก้องทั่วป่าไผ่

“อย่าบังอาจมาแตะต้องคนของข้า!”

สิ้นสุดเสียงนั้น สายลมหมุนรอบร่างของเด็กหนุ่มแปลกหน้าพาหายไปในพริบตา หลงเหลือเพียงไอเย็นของสายหมอกที่เจือด้วยพลังอาฆาตมาดร้ายแผ่ปกคลุมทั่วป่า สร้างความตื่นกลัวให้บรรดาพวกที่เหลือพากันแตกฮือรีบกลับที่ทางของตนเองโดยเร็ว ซึ่งทั้งหมดจำได้อย่างแม่นยำว่า เสียงอันน่าเกรงขามเมื่อครู่ เป็นเสียงของหมอยาหนุ่ม ผู้เป็นเจ้าของป่าไผ่แห่งนี้
 

สรษดากระพริบตามองเรือนไม้สองชั้นแปลกตาที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ เพราะเมื่อครู่เขายังอยู่กลางป่าไผ่ แล้วเพียงพริบตาเดียว เขามายืนตรงนี้ได้อย่างไร? และขณะที่กำลังงุนงง..ร่างของหมอยาหนุ่มก็เดินออกมายืนบนนอกชาน และบอกเขา

“พานางขึ้นมาสิ”

เด็กหนุ่มสลัดความสงสัยทั้งปวงรีบแบกร่างของนางเฒ่าขึ้นเรือนไปวางบนตั่งไม้ตามที่เจ้าของเรือนบอก และรีบถามหมอยาหนุ่มอย่างมีหวัง 
“ท่านสามารถช่วยนางได้ใช่ไหม”

หมอยาหนุ่มยอบตัวลงนั่งเคียงข้าง จับเรียวแขนอันเหี่ยวย่นเย็นชืด พลางตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แค่นางอดทนมาถึงที่นี่ได้ ก็นับว่าฝืนชะตาเต็มทนแล้ว” และลูบเรือนผมสีดอกเลานั้น แว่วเสียงอ่อนระโหยของนางภูตมาตามกระแสจิตที่ยังหลงเหลืออยู่อึดใจ ก็เอ่ยตอบกลับด้วยความเอ็นดูที่เคยมีแต่หนหลัง

“ขอบใจ ที่เจ้ารักษาสัจจะที่ให้ไว้กับข้า..บัดนี้ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว จงไปเถิด..สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาของข้า”

สิ้นคำ..กายหยาบของนางเฒ่าแปรเปลี่ยนเป็นงูดินซึ่งเป็นร่างต้นกำเนิด และค่อยๆสูญสลาย หลงเหลือเพียงดวงจิตสุกใสลอยมาวนเวียนรอบร่างของหลานชายอยู่อึดใจ ก่อนจะเลือนหายไป

สรษดานิ่งขึง ไม่อาจทำใจยอมรับการจากไปโดยไร้คำล่ำลาของบุคคลที่เปรียบเสมือนญาติสนิทเพียงคนเดียวได้  ภาพความทรงจำต่างๆหลั่งไหลตั้งแต่ยามพบหน้ากันครั้งแรกจนกระทั่งถึงรอยยิ้มสุดท้ายของนาง ก่อเกิดความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้นให้ทรมาน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขารังเกียจที่สุด

ครั้งหนึ่ง..ความเจ็บปวดกับการถูกมารดาทรยศกับความรักที่เขามีให้ มันก็หนักหนาสาหัสเกินทนแล้ว

ในครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่เจ็บปวดเท่า แต่กระนั้น เขาก็ต้องทรมานกับความโศกเศร้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และเขาไม่ปรารถนาจะยอมรับมัน

เด็กหนุ่มข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้หลั่งริน หันหลังกลับด้วยความกรุ่นโกรธกับโชคชะตาที่ชักพาความทุกข์ระทมมาสู่ชีวิตของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และพาลพาโลไม่สนใจในคำพูดที่เคยให้ไว้กับนางเฒ่า ว่าจะอยู่ภายใต้การดูแลของหมอยาหนุ่ม..ยามนี้ เขามุ่งหวังออกไปเผชิญโลกกว้างตามลำพังเสียมากกว่า หมายจะลดความคิดถึงที่มีต่อนางเฒ่า

แต่ขายังก้าวไม่ทันพ้นธรณีประตู ร่างกายเหมือนถูกเชือกรัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด ตามด้วยเสียงเอ่ยถามของหมอยาหนุ่ม
“เจ้าจะไปไหน”

สรษดาหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเรือนที่กำลังนั่งเท้าคางมองราวกับเขาเป็นเด็กน้อย..นั่นยิ่งทำให้หงุดหงิด
“ข้าจะไปที่ใดก็ได้ ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก”

“กับสิ่งอื่น ข้าไม่ใส่ใจ แต่สำหรับเจ้า..ข้าไม่ใส่ใจไม่ได้” และเพียงกระดิกปลายนิ้ว ร่างของสรษดาก็ลอยหวือมาล้มตัวนอนบนตัก เด็กหนุ่มพยายามดิ้นรน แต่ก็ไปไหนไม่รอด ได้แต่โวยวาย
“ปล่อยข้านะ..ท่านไม่ได้เป็นอะไรกับข้าเสียหน่อย เหตุใดจะต้องมาวุ่นวายกับชีวิตของข้านัก”

ปรวาณในร่างของหมอยาหนุ่มยังคงเท้าคาง สีหน้าครุ่นคิด 
“นั่นสิ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะความรู้สึกที่มีต่อเจ้านั้นมันช่างประหลาดนัก..ตั้งแต่พบเจ้าครั้งแรก ข้าก็อยากจะนำเจ้ากลับมาเลี้ยงดูด้วยตนเองเสียด้วยซ้ำ อยากเห็นเจ้าเติบโตอยู่ภายใต้สายตาของข้า และในทุกๆวัน อยากให้เจ้ามีแต่รอยยิ้ม..ไม่ปรารถนาให้เจ้ามีน้ำตา เฉกเช่นวันนี้”

และก้มสบตากับเด็กหนุ่ม ที่กำลังมองเขาตาค้าง ร่างกายที่ดิ้นขลุกขลักเมื่อครู่นิ่งขึง ด้วยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และแม้ว่าขณะนี้ หัวใจกำลังเต้นรัวกับความอุ่นวาบที่บังเกิดขึ้นภายในใจ..แต่เพราะความเจ็บช้ำจากโชคชะตา ทำให้เข็ดขยาดกับการผูกพัน จนไม่อยากทนทรมานกับความสูญเสียอีกแล้ว

สรษดาสะบัดหน้าหนีจากการจดจ้องนั้น พูดเสียงขรึม
“ปล่อยข้าไปเถอะ..ท่านไม่ต้องเก็บข้าไว้เป็นภาระหรอก ข้าอยากอยู่เพียงลำพัง”

“ข้าอยากจะตามใจเจ้านะ..แต่ว่า คำขอนี้..ข้าให้เจ้าไม่ได้ และเจ้าก็ไม่ใช่ภาระของข้า” หมอยาหนุ่มตอบ พลางลุกขึ้น พร้อมอุ้มร่างของสรษดาขึ้นมาด้วย ก้าวสู่ห้องนอน “วันนี้เจ้าเหนื่อยมากพอแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยเถอะ”

“ไม่..ปล่อยข้า!!” สรษดาโวยวายอีกครั้ง แต่เพียงอึดใจก็ถูกมนตร์ของอีกฝ่ายครอบงำจนผล็อยหลับ

หมอยาบรรจงวางร่างของเด็กหนุ่มลงบนเตียง พลางยอบตัวลงนั่งกับพื้นข้างเตียง เท้าคางมองใบหน้าอ่อนเยาว์ยามหลับของอีกฝ่าย และเมื่อเห็นเรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นแม้ยามหลับ จึงใช้ปลายนิ้วนวดคลึงให้เบาๆจนเรียวคิ้วนั้นค่อยผ่อนคลาย

ชายหนุ่มยังคงทอดมองใบหน้าของผู้ที่กำลังหลับใหล พลางจิ้มแก้มอีกฝ่ายเล่นอย่างเอ็นดู
“ฝันดีนะ..เจ้าก้อนนุ่มนิ่มของข้า”
 
(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่