ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๘ #

ข้าคือ จอมมารผู้ยิ่งใหญ่
ยามแสงแดดเจิดจ้า นกเอี้ยงโผลงเกาะกิ่งมะขาม ฝูงนกกระจิบส่งเสียงแสบแก้วหูยามโฉบลงแย่งข้าวเปลือกกับแม่ไก่ที่กำลังพาลูกๆคุ้ยเขี่ยหาอาหารบนผืนดิน และต่างบินหนีแตกฮือ กับเสียงดังของขวานเล่มใหญ่สับลงกลางท่อนไม้ แต่ไม่กี่อึดใจ ก็โผกลับลงมาอีกครั้ง เมื่อรับรู้ว่าไม่มีอันตรายใดๆจากเด็กชายผู้นั้น

สรษดายกแขนขึ้นใช้หลังมือของตนปาดเหงื่อบนหน้าผาก พลางมองฟืนกองโตที่เขาลงมือผ่าตั้งแต่รุ่งสาง
“น่าจะพอแล้วล่ะ”

แล้วนำฟืนทั้งหมดไปวางเรียงใต้ถุนเรือน ก่อนล้างมือและใช้ขันกะลาตักน้ำฝนจากตุ่มดินมานั่งดื่มบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมะขามอย่างผ่อนคลาย และคิดจะเอนกายทอดตัวลงนอนรับสายลมเย็น สายตาเหลือบเห็นกลุ่มนกเอี้ยงกำลังมองลงมาจากกิ่งมะขาม เด็กชายจ้องเขม็ง เอ่ยเสียงเย็น

“หากตัวไหนขี้ลงมา ได้กลายเป็นแกงนกสับแน่”

และเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจ ต่างรีบบินหนีไปจากบริเวณนั้น สรษดาแค่นยิ้ม ยังจำได้ถึงครั้งแรกที่เขามานั่งเล่นบนแคร่นี้ และได้รับการต้อนรับด้วยมูลเหลว เจ้านกเอี้ยงเคราะห์ร้ายตัวนั้นจึงกลายเป็นนกย่างในพริบตา

เขานอนมองท้องฟ้าสีครามสด เพ่งมองขึ้นไปถึงสถานที่ๆจากมา แต่ยังไม่อาจกลับไปได้ เพราะพลังยังคงถูกสะกดไว้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะสามารถคลายมนตร์สะกดนี้ไปได้ ทว่า ภายในส่วนลึกนั้นก็ยังไม่คิดกลับไปเช่นกัน เพราะหวาดกลัวที่จะเผชิญความจริงที่ทำให้ปวดร้าวอีกครั้ง จึงยอมอยู่สถานที่แห่งนี้ตามคำเชิญชวนของนางเฒ่างูดินตนนั้น

ไม่สิ! ไม่ใช่การเชิญชวน แต่เป็นเล่ห์มารยาหลอกล่อให้เขาหลวมตัวอยู่ด้วยต่างหากเล่า

สรษดานึกขันกับนางงูดิน ที่เพียรพยายามปั้นแต่งสารพัดวิธีมาเหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาจากไป จนถึงขั้นบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งไม่เข้าใจว่า นางเฒ่าทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร และตัวเขาเองนั้นก็ใจอ่อนกับน้ำตาและถ้อยคำกระเง้ากระงอดนั้นจนลืมตัวเผลอตกปากรับคำออกไป มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ถูกนางเฒ่าเจ้าเล่ห์จูงมือ พาไปหาเจ้าเมืองน้อย เพื่อขออนุญาตให้เขาอยู่ด้วย โดยอ้างว่าเขานั้นเป็นหลานชาย

เพราะสุขภาพของท่านเจ้าเมืองนั้นย่ำแย่มาหลายปี ภาระหน้าที่ทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่บุตรชายเพียงคนเดียว ซึ่งมีอายุร่วมยี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ แม้ดูจะเย็นชากับผู้อื่น แต่ยามสนทนากับนางเฒ่ามุตตานั้นยังไว้ด้วยท่าทางอ่อนน้อม

“เขาไม่ใช่มนุษย์ เช่นเจ้าเรอะ”

สรษดานิ่งขึง เผลอเงยหน้ามองเจ้าเมืองน้อยอย่างกังขา ที่อีกฝ่ายรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางภูตชรา

นางเฒ่ามุตตารีบกดหัวเขาลง พลางตอบคำถาม
“เจ้าค่ะ..พ่อแม่ของมันสิ้นแล้ว มันยังเล็กนักดีแต่จะถูกรังแก เลยให้มาอยู่ด้วยกัน..นึกเสียว่าทำบุญเถิดนะเจ้าคะ เจ้านี่น่ะขี้โรค สติก็ไม่ดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใดหรอกนะเจ้าคะ อิฉันจะให้เขาอยู่แต่ที่เรือน ไม่ให้ออกมายุ่มย่ามที่อื่น ขอเจ้าเมืองน้อยโปรดเมตตามันด้วยเถอะนะเจ้าคะ”

“เจ้าไม่ต้องพูดให้มากความ เรื่องแค่นี้ข้าไม่ขัดใจเจ้าหรอก..หากมันสติไม่ดี ก็จงดูแลให้ดีๆล่ะ”

“เจ้าค่ะ..ขอบคุณท่านเจ้าเมืองน้อยมากนะเจ้าคะ” นางภูตไหว้ปลกๆ พลางจับหัวโอรสสวรรค์กดลงก้มต่ำจนติดพื้นอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าเขากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับความรู้สึกยามต้องก้มหัวให้มนุษย์

แต่เรื่องทุกอย่างมันได้ผ่านไปแล้ว และขณะนี้ ผู้คนในเรือนของเจ้าเมืองต่างรู้กันทั่วว่า เขาเป็นหลานชายของนางเฒ่ามุตตาที่มีสติไม่สมประดี เนื้อตัวสกปรกมอมแมมด้วยดินโคลน ส่วนดวงตามารนั้น นางเฒ่าใช้มนตร์พรางตาให้ดวงตาข้างนั้นมีสีดำ แต่ด้วยนางเฒ่าเป็นเพียงภูตงูดินธรรมดา เวทมนตร์ของนางสามารถบดบังสายตาของมนุษย์ทั่วไปได้เท่านั้น แต่ไม่อาจบดบังสายตาของผู้มีอาคมแก่กล้าได้ ดังนั้น นางเฒ่าจึงกำชับให้เขาอยู่แต่ที่เรือน อย่าออกไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็น และเพื่อไม่ให้เขารู้สึกเบื่อจนเกินไป นางเฒ่าจึงสอนวิธีกลั่นเหล้า อันเป็นสูตรลับเฉพาะให้ 

โดยนางลืมไปแล้วหรือไรว่า เขาเป็นเพียงเด็กชายวัย 10 ขวบ!

จวบจนวันศารทวิษุวัตใกล้มาเยือน จอมมารวฤตระตื่นจากหลับใหล ใคร่กระทำตามใจ ทว่า..ในจิตใต้สำนึกยามนี้ เขากำลังยื้อยุดอยู่กับจิตของสรษดา เมื่อเด็กน้อยเฝ้าขอคำสัญญาไม่ให้เขาไปก่อเรื่องก่อราวที่ไหน ให้อยู่ช่วยยายเฒ่ามุตตาทำงาน ในขณะที่จอมมารหนุ่มนั้นอยากกลับแดนมารใจจะขาด

“ช่างนางเฒ่าปะไร! เหตุใดข้าต้องฟังคำของเจ้า กว่าข้าจะหลุดพ้นสู่อิสระได้ต้องรอถึงหนึ่งปีเต็ม แล้วมีเวลาแค่สามวันเท่านั้น ข้าจะทำในสิ่งที่อยากทำเท่านั้น”

เขาพยายามดิ้นรน แต่เด็กน้อยนั้นเกาะเกี่ยวเหนียวแน่นหนึบ ทั้งๆที่ดวงตานั้นฉ่ำปรือใกล้หลับเต็มทน ชายหนุ่มไม่สนใจ พุ่งเข้าควบคุมร่างของสรษดาทั้งอย่างนั้น และหมายนำพากายหยาบนี้มุ่งสู่จุดหมาย ทว่า จิตของโอรสสวรรค์นั้นไม่ยอมปล่อยวาง ยังคอยเหนี่ยวรั้งราวกับว่า ร่างทั้งร่างได้กอดเกี่ยวขาของชายหนุ่มไว้แน่น ยามจอมมารหนุ่มเคลื่อนไหวจึงมีสภาพยักแย่ยักยันให้ขบขันต่อสายตาผู้คน จนชายหนุ่มจำต้องกลับเข้าจิตใต้สำนึกอีกครั้งเพื่อเจรจา

“เจ้านี่ช่างอกตัญญูและแล้งน้ำใจนัก ไม่สำนึกบุญคุณยามที่ข้าปลอบโยนเลยสักกะผีกริ้น ชีวิตของเจ้ามีอิสระเสวยสุขเป็นปี แต่ข้ามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องขัดขวาง รึเจ้าผู้เป็นเทพมีความสุขได้ แต่ข้าที่เป็นมารไม่มีสิทธิ์เช่นนั้นเรอะ”

สรษดาเองก็เห็นใจ แต่สิ่งที่จอมมารหนุ่มมุ่งมั่นในการทำลายสวรรค์ ได้เชื่อมโยงให้รับรู้ เขาจึงไม่อาจยินยอมได้
“ดวงจิตของข้านั้นผูกพันอยู่กับท่านมาทั้งชีวิต ข้าก็เสมือนตัวตนของท่านเช่นกัน แล้วเหตุใดต้องแบ่งแยกว่าข้าเป็นเทพ ท่านเป็นมารด้วยเล่า..สำหรับข้า ท่านไม่ต่างอะไรกับพี่ชายที่คอยห่วงใยข้าเพียงหนึ่งเดียวในสามโลกนี้ หากไม่มีท่าน ชีวิตของข้าคงอ้างว้างกว่าที่เป็นอยู่นี้มาก”

จอมมารหนุ่มได้ยินประโยคแสนออดอ้อนเช่นนี้จิตใจก็อ่อนยวบ แต่ยังคงแสดงท่าทีแข็งขึง
“เจ้าไม่ต้องใช้คำหวานมาล่อลวง สิ่งที่บิดาของเจ้ากระทำนั้นข้าไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด..แล้วตัวเจ้าเองเล่า ไม่แค้นเคืองพระนางมาทรีบ้างเรอะ ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสยามถูกควักดวงตานั้นยังฝังใจข้าไม่ลืมเลือน แล้วความ อยุติธรรมที่เจ้าได้รับครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าก็ไม่คิดติดใจบ้างเรอะ”

“เหตุใดจะไม่คิดเล่า..เพียงแต่ยามนี้ร่างกายของพวกเรายังเล็กนัก เกินกำลังที่จะทำการใหญ่ สู้สั่งสมประสบการณ์ไว้ใช้ยามเติบใหญ่ไม่ดีกว่าเรอะ”

จอมมารนิ่วหน้า
“เชอะ ! คารมของเจ้ามันช่างเกินตัวนัก แต่มันไม่อาจดับไฟแค้นในใจของข้าหรอกนะ”

“ความคับแค้นใจของท่านนั้นข้าก็รับรู้เช่นกัน แต่ยามนี้พวกเราไม่อาจทำอะไรได้ ก็ถือว่าเป็นการหลบมาพักผ่อนชั่วคราว เติมพลังงานให้ชีวิตก็ได้..ยามนี้ ชีวิตของข้ารู้สึกสงบและผ่อนคลายลงมาก ไม่ต้องวุ่นวายจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ไม่ต้องคอยหวาดระแวงใจว่าจะถูกทำร้าย..ข้ามีความสุขนะ แล้วข้าก็อยากให้ท่านรับรู้ความสุขสงบนี้ร่วมกับข้าด้วยเช่นกัน” สรษดาพยายามพูดโน้มน้าวทั้งๆที่เปลือกตานั้นหนักอึ้งจะปิดอยู่รอมร่อ สมองมึนงง ทั้งแขนขากอดเกี่ยวลำขาแกร่งของจอมมารหนุ่มแน่น ตามด้วยศีรษะที่โงนเงนซบลงอย่างหาหลักพิง

วฤตระกอดอกก้มมองเด็กน้อยด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะเอ็นดู หรือชิงชังดี เขาลองก้าวถอย หวังว่าสองแขนเล็กๆนี้จะหลุดจากขา ทว่า ทั้งสองแขนสองขาที่รัดรึงนั้นกลับกอดเกี่ยวแน่นขึ้น ทั้งๆที่ดวงตาทั้งคู่นั้นปิดลงไปแล้ว แต่มีเสียงพึมพำอย่างไม่ยอมแพ้เล็ดลอดผ่านลำคอ 

“ข้าไม่ปล่อย..ท่านสัญญากับข้าก่อน..”

จอมมารหนุ่มเป่าปากอย่างหัวเสีย
“ไอ้เด็กอกตัญญู ข้าเป็นถึงจอมมารผู้ยิ่งใหญ่นะ เจ้าหัดมีความเกรงกลัวข้าบ้างได้ไหม”

“เช่นนั้น..สัญญามาสิ” สรษดาตอบเสียงยานคางกับท่อนขาที่ซุกซบ พลางพร่ำพูดคำว่า “สัญญา ๆ” อยู่เช่นนั้น  

“เจ้านี่มัน !” วฤตระไม่รู้จะทำเช่นไร จะกระทำรุนแรงก็ไม่ได้ เพราะหากเจ้าเด็กแสบนี่เจ็บตัว เขาก็เจ็บด้วยเช่นกัน..เช่นนั้นแล้ว ก็แสร้งยอมรับคำไปเพื่อตัดรำคาญก็แล้วกัน

“ก็ได้..ข้าสัญญา”

สรษดาผละแขนข้างหนึ่งออกจากท่อนขาเพื่อชูขึ้นหมายเกี่ยวก้อยสัญญา ทั้งๆที่ศีรษะยังซุกซบที่เดิม

จอมมารหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ทอดถอนใจ
“นี่ข้าต้องมากระทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ด้วยเรอะ..รู้ถึงไหน อายถึงนั่น”

ปากก็บ่น แต่มือนั้นยื่นไปเกี่ยวก้อยสัญญา
“เอ้า ข้าสัญญาแล้ว ปล่อยข้าเสียทีสิ”

วฤตระได้ยินเสียงตอบรับเบาๆมาจากอีกฝ่าย และรู้สึกว่าแรงกระชับกอดที่ขาก็เริ่มคลายลงแล้ว จึงลองใช้นิ้วชี้ค่อยๆยันใบหน้าของสรษดาให้พ้นไปจากท่อนขาได้โดยง่าย แต่เมื่อเห็นว่าร่างนั้นจะหงายหลังล้มตึงลงไป เขาก็รีบโผเข้าประคองศีรษะเด็กชายในทันใด

“ให้ตายสิ! ฤทธิ์เดชเมื่อครู่ของเจ้าไปไหนหมดกัน ทีนี้ละหลับไม่รู้เรื่องเลย เจ้าเด็กบื้อเอ้ย” แล้วก็ช้อนร่างที่หลับลึกนั้นไปวางยังที่ๆเขาเคยนอน ก่อนทะยานออกจากจิตใต้สำนึกเข้าควบคุมกายหยาบของเด็กน้อยด้วยความลิงโลด

“สรษดาเอ๋ย เจ้ามันช่างอ่อนต่อโลกนัก เหตุใดข้าต้องทำตามคำสัญญาที่ข้าไม่เต็มใจด้วยเล่า ข้าจะไปไหน จะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า” ชายหนุ่มยิ้มกระหยิ่มใจ แต่ก็ต้องรีบปัดความคิดนี้ให้หายไปจากหัวโดยเร็ว เพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นดวงจิตของโอรสสวรรค์ให้ตื่นขึ้นมาขัดขวางอิสรภาพของตนอีก

(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่